บทที่ 28 วิกฤต
ขณะที่ชูเหลียงกลับมาถึงคฤหาสน์หลี่และหลินเป่ยยังไม่กลับ ชูเหลียงจึงนั่งขัดสมาธิลงรวบรวมสมาธิและถือโอกาสรับรางวัลของเขา
หลังจากเข้าไปในเจดีย์สีขาวเขาเห็นวิญญาณสีทองอ่อนๆ ถูกขังอยู่ในห้องขัง
ก่อนหน้านี้ชูเหลียงเคยสงสัยว่าเจดีย์เป็นเครื่องมือวิเศษที่ชั่วร้ายที่ใช้สำหรับนำวิญญาณไปแลกกับของมีค่าหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เขาพบว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น เจดีย์ขาวไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดของวิญญาณ ภาพลวงตาสีทองที่ในเจดีย์นั้นเป็นเหมือนสัญลักษณ์มากกว่า พวกมันใช้เพื่อพิสูจน์ว่าเขาได้จัดการสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นไปแล้วจริงๆ
หลักฐานที่ดีที่สุดคือร่างเงาสีทองของผีย้อมหนังที่อยู่ตรงหน้าเขาในปัจจุบันและวิญญาณแมวในอดีต หลังจากกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ พวกมันก็เป็นเพียงวิญญาณ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีร่างกาย
ถ้าเจดีย์สีขาวนี้นำวิญญาณเข้ามากักขังจริง ลักษณะและสถานะของพวกมันในเจดีย์ก็จะไม่ต่างกับร่างที่อยู่ภายนอก อย่างไรก็ตาม ในเจดีย์สีขาวมีเพียงร่างสีทองจางๆ ที่ไม่มีสตินึกคิดเพียงเท่านั้น
เจดีย์สีขาวเป็นเพียงอาคารในเชิงสนับสนุนที่ช่วยให้เขายังคงล่าปีศาจและกำจัดความชั่วร้าย
เมื่อพิจารณาแล้ว เขาก็สัมผัสไปที่คำว่า "ชำระล้าง" อย่างไม่ใส่ใจ
ครืน..
ภาพตรงหน้าเขาสว่างขึ้น จากนั้นได้คว้าของรางวัลในมือและพบว่ามันเป็นเครื่องรางหยกขาวใสโปร่งแสง
[คาถาสลับวิญญาณ : สิ่งนี้นี้จะช่วยให้ท่านสามารถแลกเปลี่ยนวิญญาณกับสิ่งมีชีวิตอื่นที่มีร่างกายในระยะเวลาอันสั้น - ระยะเวลาสามลมหายใจ ขอแนะนำให้ท่านใช้มันกับสิ่งมีชีวิตในสายพันธุ์ของท่านเพียงเท่านั้นเนื่องจากการเข้าสู่ร่างกายของสายพันธุ์อื่น จะมิใช่ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์ เวลาเพียงสามอึดใจนั้นสั้นมาก แต่บางครั้งก็อาจเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ]
ชูเหลียงเม้มปาก เขาผิดหวังกับรางวัลนี้มาก
พูดตรงไปตรงมาเครื่องรางหยกนี้ไม่สามารถถือเป็นเครื่องรางได้ มันเป็นราวกับคาถาที่ถูกเก็บไว้ในหยกชิ้นนี้มากกว่า
ผู้บ่มเพาะใช้วิธีการที่ซับซ้อนในการเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ในเครื่องรางหยกได้อย่างปลอดภัย เครื่องรางหยกที่ทำด้วยกระบวนการชั้นสูงจะสร้างความสามารถในการจัดเก็บที่ดีขึ้น เหมือนเครื่องรางหยกขาวในมือชูเหลียง ที่ยังคงมีอานุภาพที่สูง
เครื่องรางหยกเหล่านี้มีประโยชน์ที่น่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น พวกมันสามารถใช้ร่ายคาถาที่ซับซ้อนได้ในทันที หรือใช้สำหรับเก็บคาถาป้องในยามฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตามการใช้เครื่องรางหยกมีข้อจำกัดมากมายและยังมีต้นทุนที่สูง ดังนั้นมันจึงไม่นิยมใช้กัน
เหมือนเครื่องรางหยกนี้ ที่ซ่อน “คาถาสลับวิญญาณ” ไว้ข้างใน
ชูเหลียงไม่เห็นประโยชน์ของมันมากนัก แม้แต่หยกขาวที่ว่างเปล่าก็ยังดีกว่าสิ่งนี้ นี่เป็นวัสดุที่หายากที่สามารถขายได้ในหออาวุธด้วยราคาดี อย่างไรก็ตาม เครื่องรางหยกขาวที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้กลับมีคาถาขยะอยู่ภายในไปเสียแล้ว ซึ่งทำให้มันมีมูลค่าไม่มากนัก..
..เมื่อหลินเป่ยกลับมา ชูเหลียงก็รับรางวัลของเขาเสร็จเรียบร้อย
"เป็นอย่างไรบ้าง" หลินเป่ยถาม
"ทุกอย่างราบรื่นดี ผีย้อมหนังถูกกําจัดไปแล้ว" ชูเหลียงตอบ
หลินเป่ยยิ้มและพูดว่า "เยี่ยมมาก ทุกอย่างในฝั่งข้าก็ราบรื่นมาก ตอนนี้เหยียนเสี่ยวหยู่ถือว่าข้าเป็นพี่ใหญ่ของเขาแล้วและสาบานว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี"
ชูเหลียงพยักหน้า
จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ให้หลินเป่ยฟัง
"แต่.. นี่มิแปลกหรือ" หลินเป่ยพูดอย่างงงงวยหลังจากรู้ภาพรวมจากชูเหลียง "เหยื่อทั้งหมดเป็นคนที่เคยรังแกเธอ เหตุใดซือถูเหยียนไม่เกลียดเหยียนเสี่ยวหยู่ล่ะ เขาหวาดกลัวถึงเพียงนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ปรากฏในรายชื่อแก้แค้นของเธอด้วยซ้ำ"
"อาจจะเป็น.. เพราะเหยียนเสี่ยวหยู่ไม่ได้ดูถูกเธอเพราะหน้าตาของเธอ" ชูเหลียงคาดเดา "เขารีดไถเงินจากซือถูเหยียน แต่เขาก็ทํากับคนอื่นเหมือนกัน เขารีดไถเงินจํานวนเท่ากันกับที่เขาทำกับผู้อื่น แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่ในด้านนี้เขาก็ปฏิบัติต่อซือถูเหยียนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ คนที่ทําร้ายซือถูเยี่ยนจริงๆ คือคนที่มองเธออีกมุมหนึ่งต่างหาก"
"อืม สมเหตุสมผล.." หลินเป่ยพยักหน้า
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาว
...
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ เวลาที่ทุกสิ่งควรจะอยู่ในความเงียบงัน
ซ่งชิงอี้กลับไปที่สำนักภูเขาใต้ ที่นั่นเธอนั่งสมาธิและกระตุ้นการไหลเวียนชี่ของเธอ หลังจากฝึกตนไปสักพัก เธอก็นอนลง
ผู้ฝึกตนในด่านมนุษย์ต้องการการนอนหลับเพื่อฟื้นฟูพลังงาน อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาไปถึงจุดหนึ่ง พวกเขาสามารถแทนที่การนอนหลับด้วยการบ่มเพาะ อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นมิได้สบายเท่ากับการพักผ่อนและหลับให้สบายไปจริงๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ฟ้าใกล้สว่าง จู่ๆ เธอก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
"หือ" ซ่งชิงอี้ลุกขึ้นนั่งและได้ยินว่ามีเสียงร้องไห้เบาๆ มาจากนอกหน้าต่างจริงๆ
เธอรีบใส่เสื้อผ้าและกระโดดออกไปข้างนอก
ที่พักของซ่งชิงอี้จัดโดยสำนักภูเขาใต้เป็นพิเศษสําหรับเธอ มันห่างไกลจากจุดที่อาจารย์คนอื่นๆ พักอาศัย และมีเพียงไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้
เสียงร้องไห้งั้นหรือ
เธอมองหาที่มาของเสียงร้องไห้และพบร่างเล็ก มัดผมเป็นซาลาเปาลูกเล็กสองลูกซึ่งกำลังขดตัวอยู่ในมุมใกล้ๆ เด็กคนนั้นร้องไห้หันหลังให้เธอ
"เจ้าหนู" ซ่งชิงอี้ตะโกนไปพลางและรีบเดินเข้าไป "เกิดอะไรขึ้น"
ในเวลานี้เรื่องผีย้อมหนังได้สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตื่นตัวนัก และเมื่อเด็กคนนั้นหันกลับมา ความรู้สึกของซ่งชิงอี้ถูกกระแทกด้วยชี่แห่งความตายที่หนักหน่วง จนเธอต้องถอยหลังอย่างรวดเร็ว
แต่มันสายเกินไปแล้ว
เธอเห็นใบหน้าของเด็กคนนั้น มันมืดมนและน่ากลัว มีเส้นเลือดที่บิดเบี้ยวและปูดโปนอย่างน่าสยดสยอง มันเหมือนแตงโมที่เน่าเปื่อย นิ่มและแตก เสียงกริ๊งที่ดังก้องอยู่ในหัวของเธอเหมือนค้อนหนักที่ตีส่วนลึกของจิตวิญญาณของเธอ
ซ่งชิงอี้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่เธอไม่ได้ป้องกันการโจมตีครั้งนี้และทันใดนั้นเธอก็ถูกคุมสติจนเกือบหยุดนิ่งไป
ตอนนั้นเอง มีเสียงอะไรบางอย่างระเบิดออกมาจากบริเวณเท้าของเธอ มือผีที่ผอมแห้งเหมือนศพและมีเล็บสีดําประมาณเจ็ดหรือแปดมือโผล่ออกมาจากพื้นดินและจับข้อเท้าของเธอไว้
ซ่งชิงอี้กัดปลายลิ้นอย่างรุนแรงเพื่อที่จะบังคับให้ตัวเองหลุดออกจากสภาพตกตะลึง เธอกวาดเถียฉี่หยกเพื่อตัดมือที่เหมือนผีร้ายเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความหนาวเย็นที่เสียดแทงกระดูกได้พัดมาจากด้านหลังของเธอ เธอรู้สึกหนาวสะท้านจนไม่สามารถขยับตัวได้เลย
อย่างไรก็ตาม หากใครมองเธอจากด้านข้างจะเห็นผีผู้หญิงเสื้อคลุมสีขาวผมยาวกำลังจับไหล่เธอไว้แน่น
"เจ้าเป็นใครกัน" ซ่งชิงอี้ถามอย่างจริงจัง
แม้จะอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย แต่ซ่งชิงอี้ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การที่มีวิญญาณมากมายปรากฏพร้อมกันเช่นนี้ย่อมต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลังพวกมันเป็นแน่
"ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นผู้หญิงจากหอขุนนาง.." เสียงแหบแห้งชวนแสบแก้วหูดังมาจากด้านข้างของเธอ
มีชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อคลุมสีดำโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ เสียงของเขาฟังดูเหมือนคนแก่ แต่ร่างกายและท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่ามิได้เป็นเช่นนั้น
"เจ้าไม่ควรแตะต้องผีย้อมหนังที่ข้าสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน.." ชายชุดดํากล่าวด้วยน้้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้นและความโกรธ "มันควรจะสะสมวิญญาณให้ข้าได้อีกมากมายนัก"
"..ข้าโกรธมาก"
"เจ้าต้องชดใช้.."
ในความมืดก่อนรุ่งสาง ชายในชุดดําคนนี้พูดด้วยน้ําเสียงที่น่ากลัวซึ่งทําให้ผู้ใดก็ตามที่ได้ยินต้องตัวสั่น
ซ่งชิ่งอี้ไม่ได้พูดอะไร เธอก็วาดมือซ้ายของเธอ แสงสีทองลอยขึ้นและบินวนอยู่เหนือศีรษะ นั่นคือกระดาษสีทองของเธอนั่นเอง
กระดาษสีทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและแสงส่องมาที่เธอ มือและร่างวิญญาณทั้งหมดที่อยู่รอบซ่งชิงอี้ปล่อยควันดําออกมาทันทีพร้อมกับเสียงฟู่อย่างต่อเนื่องเมื่อมือถูกเผาไหม้ และในอากาศก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องที่น่าขนลุกและเสียงครวญครางที่เจ็บปวด
"อ๊าาา"
มือผีและวิญญาณหญิงเสื้อคลุมขาวถอยกลับ ซ่งชิงอี้ก็ฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหวทันที อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้พยายามโจมตีชายชุดดำ เขาได้พิสูจน์แล้วว่าระดับการบ่มเพาะของเขาเหนือกว่าเธอมาก อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับแกนทองคำ อีกอย่าง วิธีการแปลกๆ ของเขาแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นผู้ฝึกตนในเส้นทางแห่งมาร
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือการหลบหนี เธอหันหลังและหนีไปอย่างรวดเร็วในทันที
อย่างไรก็ตาม ชายชุดดําไม่ตามเธอ เขาเพียงแค่ยิ้มแปลกๆ และจับไม้เท้าเหล็กสีดําขนาดใหญ่ เขากำมันไว้แน่น จากนั้นเขาก็สั่งเบาๆ "ไป"
เปรี้ยง!!
สายฟ้าฟาดผ่านทิวทัศน์ยามค่ำคืน
ซ่งชิงอี้ตัวสั่นกลางอากาศอย่างกะทันหัน เธอรู้สึกว่าถูกของมีคมแทงเข้าอย่างจัง แต่เธอไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเธอก็แข็งทื่อและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ตุ้บ!
ซ่งชิงอี้รู้สึกหนาวจนแข็งทื่อไปทั้งตัว แม้แต่การขยับนิ้วของเธอก็เป็นเรื่องยากมาก
“หมุดวิญญาณ” ชื่อนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
มันเป็นเครื่องมือมาร เป็นของพวกใช้ศาสตร์มืด หมุดนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ มันไร้ร่องรอยและมุ่งเจาะไปที่จิตวิญญาณมนุษย์ เมื่อถูกมันตอกเข้าไปที่วิญญาณ ร่างกายก็จะถูกตรึง
ชายชุดดำเดินมาช้าๆ เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากข้างหลังและค่อยๆ เข้าใกล้เธอมาทุกที จากนั้นเขาก็งอนิ้วและดูเหมือนจะดึงสายที่มองไม่เห็นบนร่างกายของซ่งชิงอี้ จู่ๆ ซ่งชิงอี้ก็ลุกขึ้น
“ตามข้ามา” ชายชุดดํากล่าว
เขาส่งเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกและเดินไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป ซ่งชิงอี้ที่ร่างกายแข็งทื่อและไม่สามารถหลบหนีได้ก็ถูกบังคับให้เดินตามหลังชายเสื้อคลุมสีดําคนนั้น
..ในมุมที่ไม่มีใครสังเกตเห็น กระดาษสีทองซึ่งเดิมปกป้องซ่งชิงอี้ก็ได้หายไปอย่างเงียบๆ...