บทที่ 213 พวกเรามิอาจปกป้องท่านเจ้าตำหนักเอาไว้ได้
หลังได้ยินหยางเสี่ยวเทียนกล่าวว่าไม่มีใครทำร้ายเขาได้ในการแข่งขันระดับสำนัก เฉินฉางชิง และหลินหยงก็ต่างเหลียวมองหน้ากัน ก่อนแต่ละคนจะแสดงรอยยิ้มแหยๆ
ไฉนเจ้าตำหนักของพวกเขายังคงมีอารมณ์ขันเช่นนี้ พวกเขาล้วนเข้าใจว่าหยางเสี่ยวเทียนมีระดับพลังยุทธ์อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ ไยจึงกล่าวว่าขั้นราชันยุทธ์มิอาจทำอันตรายเขาได้ หากมิใช่อารมณ์ขันแล้วจะแปลว่าอะไร
ครั้นหลินหยงประสบว่าหยางเสี่ยวเทียนยังมิเห็นอันตรายที่อาจเกินขึ้นกับตนเอง เขาจึงเปิดปากกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านเจ้าตำหนัก เราได้ทราบมาว่าในการแข่งขันครั้งนี้ มีบรรดาศิษย์ในอาณาจักรเสินไห่เข้าร่วมมากกว่าแสนสี่หมื่นคน”
“ซึ่งอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับเจ็ดขึ้นไป มากถึงเก้าส่วน”
“และอีกหลายพันคน ยังอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบรรดาศิษย์อีกหกหรือเจ็ดร้อยคนที่อยู่ในขั้นราชันยุทธ์”
“หกหรือเจ็ดร้อยคนอยู่ในขั้นราชันยุทธ์งั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ในอดีต การแข่งขันระดับสำนักของอาณาจักรเสินไห่นั้น มีผู้ที่อยู่ในขั้นราชันยุทธ์เข้าร่วมเพียงสองหรือสามคนเท่านั้น ไฉนครานี้กลับมีมากถึงหกหรือเจ็ดร้อยคน
เฉินฉางชิงแสดงรอยยิ้มแห้งๆ แล้วกล่าวเสริมอีกผู้ “เพราะสองเดือนก่อนหน้า มีข่าวว่าเจ้าตำหนัก จะเข้าร่วมการประลองระดับสำนักในครั้งนี้ นั่นจึงสร้างความฮึกเหิมให้แก่บรรดาศิษย์จากหลายตระกูลและสำนักโดยรอบอาณาจักรเสินไห่”
“พวกเขาจึงต่างเร่งลงทะเบียนแข่งขันครั้งนี้ด้วย อีกทั้งพวกเขายังฝึกฝนกันอย่างบ้าคลั่งตลอดกลางวันและกลางคืน”
“ศิษย์หลายคนที่ก่อนหน้าอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ ก็ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์กันเป็นจำนวนมาก นี่ล้วนเป็นผลมาจากเจ้าตำหนักทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หยางเสี่ยวเทียนจึงเผยยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ เช่นนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ข้าไม่คิดเลยว่า การที่ข้าเข้าร่วมแข่งขันจะสร้างผู้แข็งแกร่งในขั้นราชันยุทธ์ให้แก่อาณาจักรเสินไห่ได้มากถึงเพียงนี้”
เมื่อเห็นว่า หยางเสี่ยวเทียนยังคงไม่ตระหนักถึงความอันตราย หลินหยงจึงกล่าวเสริม
“ข้าได้ยินมาว่าเฉิงหลงถูกเจียงอวี๋ขับออกจากสำนักเมื่อเดือนก่อน นั่นทำให้เฉิงหลงเกลียดเจ้าตำหนักมากเสียยิ่งกว่าสิ่งใด”
“เพราะเขารู้สึกว่าการที่เขาถูกขับออกจากสำนัก ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้าตำหนักทั้งสิ้น หากเจ้าตำหนักยังเข้าร่วมแข่งขันในคราวนี้ เกรงว่าเขาคงหาโอกาสลงมือทำร้ายท่านเจ้าตำหนักเป็นแน่”
ความเป็นจริง มิใช่เพียงเฉิงหลงเท่านั้น ที่ต้องการให้หยางเสี่ยวเทียนตาย แต่ยังมีผู้คนอีกมากที่หมายประสงค์ร้ายต่อเขาอยู่เช่นกัน
เพียงแค่ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอย่างเปิดเผย แต่หากหยางเสี่ยวเทียนเข้าร่วมแข่งขันระดับสำนักในครานี้ นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้พวกเขาลงมือเท่านั้นเอง
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ” หยางเสี่ยวเทียนเหยียดยิ้มมุมปาก เมื่อได้ยินว่าเฉิงหลงกำลังวางแผนจะทำร้ายตนอยู่ ซึ่งในใจเขากลับคิด ว่าคนอย่างเฉิงหลงจะทำเช่นไรกับเขากันนะ
ครั้นยังเห็นใบหน้าของหยางเสี่ยวเทียนที่กำลังยิ้มอย่างมิเป็นกังวลใจ และยังคงไม่ตระหนักถึงความอันตรายต่อตนเอง เฉินหยวนจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสริมอีกครั้ง
“ท่านเจ้าตำหนัก ความแข็งแกร่งของเฉิงหลงนั้นหาใช่ธรรมดา ตามที่ได้ยินมาเขาน่าจะอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสามขั้นปลาย นั่นมิใช่เรื่องง่ายที่ท่านเจ้าตำหนักจะรับมือ”
“อีกทั้ง สำนักยวินฮุยยังมีความแค้นเคืองฝังลึกต่อสำนักเสินเจี้ยนของเราอยู่ หากท่านเจ้าตำหนักเข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนัก เกรงว่าศิษย์ของสำนักยวินฮุย อาจอาศัยโอกาสนี้ทำร้ายท่านเจ้าตำหนักเป็นแน่”
“ส่วนโอกาสที่ว่านั้น หมายถึงช่วงเวลาการแข่งขันล่าสัตว์อสูรในป่า ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเรามิอาจปกป้องท่านเจ้าตำหนักเอาไว้ได้”
“ด้วยเหตุนี้ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านเจ้าตำหนักจะนำไปไตร่ตรองอีกครั้ง” เฉินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
หยางเสี่ยวเทียนมองไปยังเฉินฉางชิง หลินหยง เฉินหยวนและคนอื่นๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “พวกท่านอย่าได้กังวลใจไป ข้าไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
ในขณะที่เฉินฉางชิงกำลังจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หยางเสี่ยวเทียนจึงกล่าวแทรกขึ้นว่า “เอาล่ะ พวกเราอย่าได้กล่าวถึงเรื่องการแข่งขันระดับสำนักอีกเลย”
จากนั้นเขาก็หยิบโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ออกมาร้อยขวดหยก แล้วมอบให้หลินหยง พร้อมกับกล่าวว่า “ในฐานะเจ้าตำหนักกระบี่ ทุกวันนี้ข้าเอาแต่ฝึกเพลงกระบี่เท่านั้น และไม่สามารถชี้แนะบรรดาศิษย์ของสำนักได้ นี่เป็นโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์หนึ่งร้อยชุด ที่ข้าหลอมมันขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสำนักแทนคำชี้แนะ”
โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์อีกหนึ่งร้อยชุดงั้นหรือ!
หลินหยงและคนอื่นๆ ต่างยืนตกตะลึงด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“เจ้าตำหนัก ท่านช่วยเหลือสำนักมามากพอแล้ว แม้แต่โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ที่ท่านมอบให้เมื่อคราวก่อนยี่สิบขวดหยก ทางสำนักยังใช้ไม่หมดเลย เราไม่อยากรบกวนท่านเจ้าตำหนักไปมากกว่านี้” หลินหยงรีบกล่าวปฏิเสธ
หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “รับไว้เถอะ หากข้าสามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกในการแข่งขันระดับสำนัก และผ่านการประเมินของสำนักเทียนโต้ว เกรงว่าในอนาคตอาจได้กลับมาสำนักไม่บ่อยนัก ดังนั้น สิ่งใดที่ข้าสามารถทำในตอนนี้ข้าก็อยากทำมันให้ดีที่สุด”
หลินหยง เฉินหยวนและเฉินฉางชิง ต่างหันมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา
พวกเขายังคงกังวลเรื่องความปลอดภัยของหยางเสี่ยวเทียนในการแข่งขันระดับสำนักครั้งนี้ แต่เมื่อหยางเสี่ยวเทียนยังยืนยันจะเข้าร่วม พวกเขาก็มิอาจฝืนใจอีกต่อไป จึงทำได้เพียงภาวนาให้เขาสามารถเข้าสิบอันดับแรก และผ่านการประเมินของสำนักเทียนโต้เท่านั้น
สุดท้าย หลินหยงก็มิได้กล่าวสิ่งใดถึงเรื่องการแข่งขันระดับสำนักอีก เพียงรับโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ร้อยชุด แล้วกล่าวแสดงความขอบคุณต่อหยางเสี่ยวเทียน “ท่านเจ้าตำหนัก ข้าขอขอบคุณแทนบรรดาศิษย์ของสำนักด้วย”
หยางเสี่ยวเทียนโบกมือปัดพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ นี่เป็นเรื่องดีๆ ที่ข้าควรทำให้แก่สำนักอยู่แล้ว”
ครั้นกล่าวขอบคุณแล้ว หลินหยงและเฉินหยวนก็ขอตัวลากลับสำนัก พร้อมใบหน้าที่ยังคงมีความกังวลใจแต่ก็มีรอยยิ้ม
ด้วยโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์หนึ่งร้อยชุด มันมากพอจะพัฒนาความก้าวหน้าของบรรดาศิษย์หลายคนในสำนักได้มิใช่น้อย
หลังสนทนากันไปได้สักพัก เฉินฉางชิงและคนอื่นๆ ก็ขอตัวลากลับเช่นกัน