ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 1120 หอคอยกระดูก (อ่านฟรี)
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 1120 หอคอยกระดูก (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
ในทุ่งโล่งกว้างและหมู่บ้านรกร้าง ปราณหยินปกคลุมไปทั่วแผ่นดินทำให้มันแห้งแล้งและเงียบกริบยิ่งกว่าภัยพิบัติตั๊กแตน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอบๆอีกต่อไป แม้สิ่งมีชีวิตจะปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว พวกมันก็จะกลายเป็นพลเมืองของพิภพวิญญาณทันที
หลี่ฉิงซานยืนอยู่บนดินแดนแห่งความตายนี้และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นี่คือความเกลียดชังโดยสัญชาตญาณที่คนเป็นมีต่อความตาย
ทันใดนั้นเสียงกีบเท้าม้าพลันดังมาจากด้านหลัง ม้าผีดิบพุ่งเข้ามา ร่างกายส่วนใหญ่ของมันเน่าเปื่อยและเผยให้เห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ภายใน แสงสีเขียวส่องประกายออกมาจากดวงตาของมันซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อสิ่งมีชีวิต
หลี่ฉิงซานชำเลืองมองย้อนกลับไป เขาสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของม้าผีดิบมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะกล้าวิ่งเข้ามาหาเขาจริงๆ ‘พวกมันสูญเสียสัญชาตญาณพื้นฐานที่สุดไปแล้วงั้นหรือ?’
มีบางอย่างอยู่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านปรากฏตัวขึ้นบนถนน ร่างกายของพวกเขาล้วนเน่าเปื่อย การเคลื่อนไหวของพวกเขาเชื่องช้าและแข็งทื่อ เมื่อพวกเขาเห็นหลี่ฉิงซาน พวกเขาก็ทำตัวเหมือนคนอดอาหารมาสามวันและเห็นเนื้อชิ้นโต พวกเขาพุ่งเข้าหาอาหารทันที ท่ามกลางผีดิบมนุษย์ยังมีภูตผีจำนวนมาก
เสียงกรีดร้องของวิหคเพลิงอมตะดังขึ้น
หลี่ฉิงซานทะยานขึ้นสู่อากาศและกลายเป็นเปลวไฟพุ่งไปทางเหวหมื่นภูตผี หมู่บ้านที่อยู่ด้านหลังถูกไฟเผาจนกลายเป็นจุล
มีเมืองและหมูบ้านอีกมากมายในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรที่ถูกปราณหยินกลืนกิน
ย้อนกลับไป ผู้คนมารวมตัวกันและอาศัยอยู่ใกล้กับนิกายเงาเพื่อหลบหนีจากภัยพิบัติตั๊กแตน แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะรอดจากภัยพิบัติตั๊กแตนเพียงเพื่อที่จะพบกับภัยพิบัติภูตผีและถูกเปลี่ยนเป็นผีหรือผีดิบ
เมืองใหญ่ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า มันไม่เล็กไปกว่าเมืองชิงเหอ เว้นเพียงความรุ่งโรจน์ของมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นดินแดนแห่งความตายไปอย่างสมบูรณ์โดยมีผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนเดินเตร่อยู่รอบๆ แม้แต่หนังสยองขวัญที่เขาเคยดูในชีวิตก่อนหน้าก็ยังไม่ใกล้เคียงกับสิ่งนี้
หลี่ฉิงซานนึกถึงเหตุการณ์ที่เทพมารดรบัวขาวสังหารหมู่มนุษย์นับแสนคนเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณในตำนานและเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับคำกล่าวที่ว่าชีวิตของมนุษย์ธรรมดาไร้ค่าหมายถึงสิ่งใดซึ่งทำให้เขาถอนหายใจอย่างหนัก
เมื่อมาถึงเมืองใหญ่ เขาเร่งความเร็วขึ้นโดยใช้ความสามารถโดยกำเนิดสนามแม่เหล็กโลก เขากลายเป็นอุกกาบาตเพลิงพุ่งไปยังใจกลางเมือง
คลื่นดินปะทุขึ้นทุกที่ที่เขาเคลื่อนผ่าน สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดพังทลายลง ผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฝังกลบ ราวกับเกิดแผ่นดินใหวครั้งใหญ่ที่ทำลายล้างทุกสิ่ง
เมื่องมองไปรอบๆอีกครั้ง เมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างก็กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว เขามองมือของตนและคิด ‘นี่คือพลังในปัจจุบันของข้า มันเป็นเพียงร่างแยก แต่ข้ายังสามารถปลดปล่อยพลังระดับนี้ออกมาได้ ข้าควรใช้พลังนี้ทำสิ่งใด เพื่อช่วยโลกและผดุงความยุติธรรม หรือทำทุกอย่างตามใจตัวเอง?’
เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและเดินทางต่อขณะที่ซากปรักหักพังกลายเป็นฝุ่งผงปลิวไปตามสายลม
“ขอโทษด้วย ข้าเห็นใจในความโชคร้ายของพวกเจ้า แต่ข้าไม่ได้สู้เพื่อพวกเจ้า!”
เมื่อเขามาถึงระยะหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตรจากเหวหมื่นภูตผี เขาก็กล่าวว่า “แสงสะท้อนส่องสว่างทุกสิ่ง!”
ทันใดนั้นภาพของก้นเหวหมื่นภูตผีก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาซึ่งทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก “นี่คือ...”
หอคอยกระดูกสูงสามพันเมตรตั้งตระหง่านขึ้นสู่อากาศ แต่ดูเหมือนมันจะยังเป็นเพียงรากฐานเท่านั้น ความสูงหลังจากสร้างเสร็จไม่อาจจินตนาการถึง
คนงานจำนวนมากกำลังทำงานอย่างหนักอยู่บนหอคอย
เมื่อหลี่ฉิงซานใช้แสงสะท้อนส่องสว่างทุกสิ่งสอดแนมคนงานเหล่านั้น คนงานเหล่านั้นก็สัมผัสได้ถึงเขาเช่นกันแต่พวกมันยังเพิกเฉย
คนงานที่กำลังสร้างหอคอยกระดูกแท้จริงแล้วเป็นราชาผีดิบ หัวหน้าคนงานเป็นดวงวิญญาณที่ร่างกายผันผวนตลอดเวลา มันดูบอบบางมาก แต่มันกลับทำให้ราชาผีดิบหวาดกลัว แส้กึ่งโปร่งใสฟาดลงบนแผ่นหลังราชาผีดิบซึ่งทำให้เกิดบาดแผลบนร่างกายที่สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณในตำนานอาจไม่สามารถทิ้งร่องรอยเอาไว้
“ทำงานต่อไป! อย่าหยุด! หากเราไม่สามารถทำเสร็จตามกำหนดการ โลกนี้จะไม่เพียงปฏิเสธพวกเจ้าแต่พวกเจ้าจะไม่มีที่อยู่แม้แต่ในพิภพวิญญาณ!”
สายตาเย็นชาจากดวงวิญญาณมองผ่านกระจกของกระดองเต่าจิตวิญญาณมาที่หลี่ฉิงซานทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นไปทั้งร่าง เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ไม่ว่าพิภพวิญญาณจะวางแผนการใด พวกเขาก็ตั้งใจที่จะกำจัดเสี่ยวอัน หากเขาเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ มันจะนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเขาในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่กองทัพผีแตกต่างจากกองทัพปีศาจ ผีดิบเหล่านี้สร้างฐานที่มั่นของพวกมันขึ้นมาแล้ว หอคอยกระดูกอาจยังไม่เสร็จ แต่เห็นได้ชัดว่ามันเริ่มทำงานแล้วซึ่งทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย
ประตูพิภพวิญญาณด้านล่างขยายใหญ่กว่าเดิมมาก ตอนนี้มันเหมือนปากขนาดใหญ่ที่อ้ากว้างและพยายามกลืนกินโลกใบนี้
.....
หม้อของมณฑลชิงโจวถูกแทนที่ด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน รากของมันรัดพันรอบๆเต่าจิตวิญญาณจนหลี่ฉิงซานไม่อาจขยับเขยื้อน
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวสลับสับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ขณะที่รากไม้ขยายวงกว้างออกไปอย่างต่อเนื่อง
ฝนตกลงมาชะล้างดินที่ปนเปื้อนปราณปีศาจ ฐานของภูเขาพระใหญ่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสายฝนขณะที่น้ำไหลลงมาจากกิ่งก้านต้นไทร
ทันใดนั้นเต่าจิตวิญญาณพลันเปิดเปลือกตาขึ้น ร่างของหลี่ฉิงซานค่อยๆเปลี่ยนไป เขาปล่อยแรงสั่นสะเทือนและทำให้หม้อของมณฑลชิงโจวส่งเสียงดังราวกับเสียงระฆังใบใหญ่
“เคร้ง...”
หม้อของมณฑลชิงโจวแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงหลากหลายสีสันและส่งน้ำฝนกับเมฆดำระเบิดออกไป
ไม่นานแสงแดดก็สาดส่องลงมาและลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ มันงดงามและดูรุ่งโรจน์
ต้นไทรสะบัดกิ่งก้านไปรอบๆเพื่อดูดฝุ่นละอองหลายหลายสีสันซึ่งทำให้มันดูเหมือนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นมันก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยประกายแสง หลี่ฉิงซานพุ่งออกจากใต้ต้นไม้และมองย้อนกลับไป ทันทีที่ปราณปีศาจทะลักออกมาจากถ้ำปีศาจ รากไม้ก็แผ่ขยายออกไปปิดผนึกถ้ำปีศาจเอาไว้อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันต้นไทรจำนวนนับไม่ถ้วนก็เติบโตขึ้นและขยายอาณาเขตออกไปโดยมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเฝ้ามองด้วยความประหลาดใจ
กลิ่นอายของราชาต้นไทรบรรพกาลยิ่งใหญ่และลึกล้ำมากขึ้น มันเกินกว่าสิ่งที่ราชาปีศาจจะครอบครองได้ เขาดูราวกับกลายเป็นตัวแทนของโลกใบนี้ไปแล้ว แต่นี่พึ่งเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อเขาปรับแต่งหม้อทั้งเก้าใบ เขาจะกลายเป็นเทพเจ้าของโลกใบนี้อย่างแท้จริงและจะเข้าแทนที่เจตจำนงของโลกใบนี้
หลี่ฉิงซานถามด้วยรอยยิ้ม “รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เป็นเทพเจ้าของมณฑลชิงโจว?”
“ไม่เลว หรือข้าควรตอบว่ามันยอดเยี่ยมมาก!” ราชาต้นไทรบรรพกาลกล่าว
“ท่านสามารถใช้พลังของโลกเพื่อปิดผนึกประตูพิภพวิญญาณหรือไม่?” หลี่ฉิงซานถาม
“ข้าทำไม่ได้ พลังของข้าไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้เช่นกัน หอคอยกระดูกสีขาวที่เจ้าพูดถึงดูเหมือนจะปิดผนึกกฎของโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว เว้นพียงมันจะถูกทำลาย มิฉะนั้นมันจะยากมากที่จะปิดผนึกประตู” ราชาต้นไทรบรรพกาลแนะนำ “หากเจ้าต้องการจัดการมัน เจ้าควรทำอย่างรวดเร็ว หากประตูเปิดกว้างกว่านี้ ทุกอย่างจะสายเกินไป”
หลี่ฉิงซานลูบคางและครุ่นคิดถึงมาตรการตอบโต้ ทันใดนั้นหยินชิงก็ก้าวออกมาจากทุ่งอสูรกายและกล่าวว่า “ฝ่าบาท โปรดเข้าไปดูทุ่งอสูรกายสักครู่ได้หรือไม่? ท่านตระหนักถึงตัวตนของเด็กคนนั้นหรือไม่?”