ตอนที่แล้วตอนที่ 295 หยิ่งผยอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 297 มุดแดนอนันต์ เทพมารนับพันรวมตัว

ตอนที่ 296 ระดับของกฏ (ฟรี)


ตอนที่ 296 ระดับของกฏ

“มันน่าอึดอัดใจจริงๆ เมื่อข้าต้องการก็ไม่มีใครมาสู้กับข้า”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องเสี่ยงดวงดูว่าจะหาอสูรโกลาหลได้สักตัวหนึ่งได้ไหม?”

เมื่อไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นเวลานาน ซูหยางก็นึกถึงอสูรโกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าโชคดีเข้าไปในระยะ การค้นหาอสูรโกลาหลไม่ใช่เรื่องยาก

ท้ายที่สุดแล้ว ออร่าของอสูรโกลาหลไม่สามารถปกปิดได้ มันแผ่ซ่านไปทั่วแดนลับโกลาหล

แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนเป้าหมาย แต่ซูหยางก็ไม่ได้เก็บงำออร่ากลับไป เผื่อว่าในระยะทางจะดึงดูดเทพมารมาได้ในระหว่างที่เขาพยายามค้นหาอสูรโกลาหล

ในแดนลับโกลาหล อสูรโกลาหลเป็นทรัพยากรที่พบได้บ่อยที่สุด พวกมันมักจะแผ่ออร่าออกมาตลอดเวลา

แต่ในสถานที่พิเศษบางแห่ง ออร่าของสัตว์ร้ายจะถูกบดบังเอาไว้ด้วยบางสิ่ง

หากซูหยางพบสถานที่พิเศษเหล่านั้น เจออสูรโกลาหลที่อยู่ข้างใน เขาก็จะมีโอกาสได้รับสมบัติโกลาหล

แต่โดยปกติแล้ว สถานที่พิเศษเหล่านี้ยากจะหาพบท่ามกลางความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่

อย่างไรก็ตาม เมื่อซูหยางใช้วิชาดาบกรรม สถานการณ์ของเขาก็จะแตกต่างออกไป

แม้ว่าพลังของวิชาดาบกรรมจะถูกระงับในแดนลับโกลาหล และไม่สามารถล็อคเข้ากับอสูรโกลาหล หรือแม้แต่สถานที่พิเศษได้โดยตรง

แต่ตราบใดที่อยู่ในระยะครอบคลุมของเจตจำนงดาบ และไม่ได้ถูกปกปิดไว้เป็นอย่างดี เขาก็จะสามารถหาตำแหน่งได้

ความสามารถนี้ค่อนข้างทรงพลังจริงๆ แต่ซูหยางรู้สึกว่ามันยังอ่อนแออยู่เล็กน้อย

หากเขาต้องการให้วิชาดาบกรรมปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มแม้จะอยู่ในแดนลับโกลาหล เขาก็คงต้องพัฒนามันขึ้นไปอีกขั้น

ดูเหมือนต้องพัฒนาวิชาดาบกรรมด้วยพลังเซินเต๋า

น่าเสียดายที่เขามีเมล็ดเต๋าเพียงชิ้นเดียว และได้ใช้มันไปแล้ว

เขาเพียงโชคดีที่ได้รับเมล็ดเต๋าระดับสูงจากถนนโบราณแห่งความโกลาหล

ไม่มีวิธีตายตัวที่จะได้สิ่งนี้มา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโอกาส ถ้าได้เจอก็ถือว่าโชคดี ถ้าไม่ก็ทำอะไรไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ โดยที่ซูหยางไม่รู้ตัว เทพมารจำนวนมากได้มารวมตัวกัน

ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่เทพมารเท่านั้นที่ค้นพบซูหยาง แต่ยังรวมถึงผู้ฝึกฝนแห่งแดนอมตะด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยการที่ซูหยางแผ่ออร่าออกไปอย่างเต็ม และเดินทางไปรอบๆ เขาก็ต้องผ่านที่ๆ ผู้ฝึกฝนบางคนอยู่ และคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาย่อมรับรู้ได้

แต่พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหว พวกเขาเพียงให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของซูหยางเท่านั้น

เทพมารกังวลว่านี่เป็นกับดัก และผู้ฝึกฝนเหล่านี้เองก็กังวลเช่นกันว่านี่คือ กับดักจากเทพมาร

ท้ายที่สุดแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ จะไม่มีใครเปิดเผยตำแหน่งของตนอย่างจงใจ ต้องมีเหตุผลที่จะกล้าทำเช่นนั้น

พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร แต่พวกเขาจะไม่เสี่ยงอย่างแน่นอนก่อนที่จะมั่นใจเต็มที่

ความปลอดภัยของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขาพยายามตรวจสอบตัวตนของผู้ที่กำลังแผ่ออร่าออกมาอยู่

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับซูหยาง

“ชายคนนี้คือ ซูหยาง ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในรายการจัดอันดับ เขาเป็นผู้ฝึกฝนแห่งแดนอมตะของเราจริงๆ และมันไม่ใช่แผนการของเหล่าเทพมาร”

ในกลุ่มนี้ มีฝึกฝน 10 คนมารวมตัวกัน และหนึ่งในนั้นก็พูดออกมา

“เขาคือซูหยาง?”

“งั้นนี่ก็คงเป็นหนึ่งในร่างโคลนของเขา?”

“ความสำคัญของเขาถูกจัดอยู่ในระดับสูงมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะยืนยันเรื่องนี้”

“เข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้าเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองอย่างไร้ยางอาย”

“แต่แม้ว่าเขาจะสามารถควบแน่นร่างโคลนได้อย่างไร้ขีดกำจัด จุดประสงค์ของเขาในการเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองคืออะไรกัน?”

“ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในฐานะกึ่งปราชญ์ขั้นต้น อาจเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับเทพมารตนอื่นๆ”

“แม้ว่าเขาจะกำลังมองหาอสูรโกลาหลเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากร เขาก็คงไม่สามารถจัดการมันได้โดยลำพัง”

เมื่อหาสาเหตุที่ซูหยางทำเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาจึงสับสน

“เจ้าคิดว่าเราควรติดต่อเขาไหม”

“เจ้าอยากเชิญเขาเข้าร่วมกลุ่มของเรางั้นรึ”

“ใช่ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ความสามารถของเขาถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญจริงๆ”

"นั้นเป็นความคิดที่ดี แต่เป็นไปไม่ได้"

“พฤติกรรมของเขาในตอนนี้จะถูกเปิดเผยในสายตาของเหล่าเทพมารอย่างแน่นอน ที่พวกมันยังไม่ทำอะไรก็เพราะกลัวว่าซูหยางมีแผนการบางอย่าง และต้องกำลังสะสมความแข็งแกร่งอย่างลับๆ เพื่อจัดการเขาให้ได้ในคราวเดียว ถ้าเราลากซูหยางเข้ามาเอี่ยว กลุ่มของเราจะต้องประสบกับหายนะ”

“ซูหยางไม่กลัวตาย เพราะนั้นเป็นเพียงร่างโคลนของเขาเท่านั้น แต่เรากลัว”

“การตกเป็นเป้าหมายของเทพมารไม่ใช่เรื่องตลก”

หลังจากได้ยินเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ตระหนักได้ถึงความเสี่ยงของเรื่องนี้

เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ เห็นด้วย ฉีเกาก็กล่าวต่อ "แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย ข้าได้ยินมาว่าเผ่ามนุษย์กำลังมองหาร่องรอยของเขา เราจะแจ้งข่าวนี้ให้กับเผ่ามนุษย์"

"ตกลง"

ผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้นี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะติดต่อหาซูหยางหลังจากค้นพบตัวเขา เพราะการกระทำของซูหยางนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง หากพวกเขาติดต่อกับซูหยาง ตำแหน่งของพวกเขาก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง พวกเขาจะไม่ติดต่อกับซูหยาง

ท้ายที่สุดแล้ว การติดต่อกับซูหยางอาจไม่มอบประโยชน์อะไรให้แก่พวกเขา แต่ก็มีข้อเสียที่ชัดเจน

อันที่จริง เนื่องจากความพิเศษของซูหยาง พวกเขาจึงสามารถจากไปโดยไม่สนใจอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม ฉีเกาบังเอิญรู้ว่าเผ่ามนุษย์กำลังมองหาซูหยาง ดังนั้นเขาจึงพร้อมที่จะแจ้งข่าวแก่เผ่ามนุษย์

ในไม่ช้า ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ในเขตสงครามที่ 97 ก็ได้รับข่าว และรู้ถึงตำแหน่งของซูหยาง

พูดให้ถูกก็คือ พวกเขารู้ว่าซูหยางกำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าพวกเขาต้องการหาตำแหน่งของซูหยาง มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ท้ายที่สุดแล้ว ซูหยางก็มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนอื่นๆ อย่างเช่น หลี่เต้าเกา

หลังจากได้รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมอันไร้ยางอายของซูหยาง พวกเขาก็ตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาถึงความพิเศษของร่างโคลนของซูหยาง พวกเขาก็ยอมรับได้

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าซูหยางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

ในฐานะผู้นำของเผ่ามนุษย์ในเขตสงครามที่ 97 สวี่จู๋เป็นถึงกึ่งปราชญ์สวรรค์

ตอนนี้เขายังอยู่ในระหว่างการทดสอบความเข้าใจ หลังจากทราบข่าว เขาก็ส่งคนๆ หนึ่งออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของซูหยาง

ส่วนที่เหลือยังคงรวบรวมทรัพยากรสำหรับกึ่งปราชญ์ต่อไป

ทรัพยากรเหล่านี้มีไว้สำหรับซูหยางจากคำสั่งของปราชญ์เหรินเต๋าแห่งเผ่ามนุษย์

หลังจากที่เขาออกจากถนนโบราณแห่งความโกลาหล เขาจะติดต่อไปหาซูหยางโดยเร็วที่สุด

แน่นอนว่าต้องหลังจากเขาเสร็จสิ้นการทดสอบทั้งสามแล้ว

ปัจจุบัน เขามาถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่ห้าแล้ว แม้รางวัลในขั้นนี้จะมากมาย แต่หากเขาสามารถก้าวไปถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่หกได้ รางวัลที่เขาจะได้รับจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เขาย่อมจะไม่มีวันยอมแพ้

ความล่าช้าเพียงไม่กี่วัน ในความเห็นของเขาจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการฝึกฝนซูหยาง ท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงเวลานี้เขาก็ได้ขอให้คนอื่นๆ รวบรวมทรัพยากรเตรียมเอาไว้แล้ว

ขณะนี้มีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้น แค่ส่งคนๆ หนึ่งไปเฝ้าดูก็ถือว่ามากพอ

นอกจากนี้เขายังรู้ด้วยว่านี่เป็นเพียงร่างโคลนของซูหยาง ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าซูหยางจะต้องพบเจออันตรายถึงตาย

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สวี่จู๋ก็อิจฉามากเช่นกัน ร่างโคลนของซูหยางนั้นทรงพลังเกินไปจริงๆ ถ้าเขาครอบครองพลังนี้ เขาก็จะทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย

น่าเสียดายที่กฏแห่งร่างโคลนนั้นยากที่ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญถึงระดับเดียวกับซูหยาง

มีกฎมากมายซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกฎพื้นฐาน กฎผสาน กฎขั้นสูง และกฎพิเศษ

สิ่งที่ง่ายที่สุดในการปรับปรุง และทำความเข้าใจคือ กฎพื้นฐาน

รองลงมาคืออ กฎผสาน

สิ่งที่ยากที่สุดคือ กฎขั้นสูง อย่างเช่น เวลา และมิติ...

กฎพิเศษก็ยากพอๆ กับกฎขั้นสูง

เหตุผลหลักที่ถูกเรียกว่ากฎพิเศษก็คือ การทำความเข้าใจกฏเหล่านี้ต้องใช้ทรัพยากรพิเศษ

ยิ่งมีความพิเศษมากเท่าไร ทรัพยากรเหล่านั้นก็ยิ่งหาได้ยาก

เมื่อทรัพยากรขาดแคลน เป็นเรื่องยากโดยธรรมชาติที่จะพึ่งพาตนเองเพียงอย่างเดียวในการทำความเข้าใจกฏ

มีกฎพิเศษบางข้อที่ผิดปกติจนไม่มีทรัพยากรพิเศษที่เกี่ยวกฏข้อนั้นเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ความยากในการทำความเข้าใจก็สูงยิ่งกว่ากฏขั้นสูงเสียอีก

กฎแห่งร่างโคลนนี้ก็ถือเป็นกฎพิเศษข้อหนึ่ง และเป็นการยากที่จะได้รับทรัพยากรเกี่ยวกับกฏข้อนี้

แม้ร่างโคลนจะดูเหมือนไม่ได้สร้างได้ยากเย็นอะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับของร่างโคลนด้วย

หากต้องการร่างโคลนที่มีความแข็งแกร่งถึงเจ็ดส่วนของร่างหลัก และเป็นร่างโคลนที่สมบูรณ์แบบ มันย่อมเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะยิ่งฐานการบ่มเพาะสูงมากเท่าไร ความยากก็จะเพิ่มสูงขึ้น

ถ้ามันเป็นแค่ร่างโคลนที่มีพลังเพียงเล็กน้อยของร่างหลัก มันก็จะง่าย แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ร่างโคลนของซูหยางจึงมีความพิเศษของอย่างยิ่ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด