ตอนที่ 296 ระดับของกฏ (ฟรี)
ตอนที่ 296 ระดับของกฏ
“มันน่าอึดอัดใจจริงๆ เมื่อข้าต้องการก็ไม่มีใครมาสู้กับข้า”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องเสี่ยงดวงดูว่าจะหาอสูรโกลาหลได้สักตัวหนึ่งได้ไหม?”
เมื่อไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นเวลานาน ซูหยางก็นึกถึงอสูรโกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าโชคดีเข้าไปในระยะ การค้นหาอสูรโกลาหลไม่ใช่เรื่องยาก
ท้ายที่สุดแล้ว ออร่าของอสูรโกลาหลไม่สามารถปกปิดได้ มันแผ่ซ่านไปทั่วแดนลับโกลาหล
แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนเป้าหมาย แต่ซูหยางก็ไม่ได้เก็บงำออร่ากลับไป เผื่อว่าในระยะทางจะดึงดูดเทพมารมาได้ในระหว่างที่เขาพยายามค้นหาอสูรโกลาหล
ในแดนลับโกลาหล อสูรโกลาหลเป็นทรัพยากรที่พบได้บ่อยที่สุด พวกมันมักจะแผ่ออร่าออกมาตลอดเวลา
แต่ในสถานที่พิเศษบางแห่ง ออร่าของสัตว์ร้ายจะถูกบดบังเอาไว้ด้วยบางสิ่ง
หากซูหยางพบสถานที่พิเศษเหล่านั้น เจออสูรโกลาหลที่อยู่ข้างใน เขาก็จะมีโอกาสได้รับสมบัติโกลาหล
แต่โดยปกติแล้ว สถานที่พิเศษเหล่านี้ยากจะหาพบท่ามกลางความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่
อย่างไรก็ตาม เมื่อซูหยางใช้วิชาดาบกรรม สถานการณ์ของเขาก็จะแตกต่างออกไป
แม้ว่าพลังของวิชาดาบกรรมจะถูกระงับในแดนลับโกลาหล และไม่สามารถล็อคเข้ากับอสูรโกลาหล หรือแม้แต่สถานที่พิเศษได้โดยตรง
แต่ตราบใดที่อยู่ในระยะครอบคลุมของเจตจำนงดาบ และไม่ได้ถูกปกปิดไว้เป็นอย่างดี เขาก็จะสามารถหาตำแหน่งได้
ความสามารถนี้ค่อนข้างทรงพลังจริงๆ แต่ซูหยางรู้สึกว่ามันยังอ่อนแออยู่เล็กน้อย
หากเขาต้องการให้วิชาดาบกรรมปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มแม้จะอยู่ในแดนลับโกลาหล เขาก็คงต้องพัฒนามันขึ้นไปอีกขั้น
ดูเหมือนต้องพัฒนาวิชาดาบกรรมด้วยพลังเซินเต๋า
น่าเสียดายที่เขามีเมล็ดเต๋าเพียงชิ้นเดียว และได้ใช้มันไปแล้ว
เขาเพียงโชคดีที่ได้รับเมล็ดเต๋าระดับสูงจากถนนโบราณแห่งความโกลาหล
ไม่มีวิธีตายตัวที่จะได้สิ่งนี้มา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโอกาส ถ้าได้เจอก็ถือว่าโชคดี ถ้าไม่ก็ทำอะไรไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ โดยที่ซูหยางไม่รู้ตัว เทพมารจำนวนมากได้มารวมตัวกัน
ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่เทพมารเท่านั้นที่ค้นพบซูหยาง แต่ยังรวมถึงผู้ฝึกฝนแห่งแดนอมตะด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยการที่ซูหยางแผ่ออร่าออกไปอย่างเต็ม และเดินทางไปรอบๆ เขาก็ต้องผ่านที่ๆ ผู้ฝึกฝนบางคนอยู่ และคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาย่อมรับรู้ได้
แต่พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหว พวกเขาเพียงให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของซูหยางเท่านั้น
เทพมารกังวลว่านี่เป็นกับดัก และผู้ฝึกฝนเหล่านี้เองก็กังวลเช่นกันว่านี่คือ กับดักจากเทพมาร
ท้ายที่สุดแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ จะไม่มีใครเปิดเผยตำแหน่งของตนอย่างจงใจ ต้องมีเหตุผลที่จะกล้าทำเช่นนั้น
พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร แต่พวกเขาจะไม่เสี่ยงอย่างแน่นอนก่อนที่จะมั่นใจเต็มที่
ความปลอดภัยของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขาพยายามตรวจสอบตัวตนของผู้ที่กำลังแผ่ออร่าออกมาอยู่
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับซูหยาง
“ชายคนนี้คือ ซูหยาง ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในรายการจัดอันดับ เขาเป็นผู้ฝึกฝนแห่งแดนอมตะของเราจริงๆ และมันไม่ใช่แผนการของเหล่าเทพมาร”
ในกลุ่มนี้ มีฝึกฝน 10 คนมารวมตัวกัน และหนึ่งในนั้นก็พูดออกมา
“เขาคือซูหยาง?”
“งั้นนี่ก็คงเป็นหนึ่งในร่างโคลนของเขา?”
“ความสำคัญของเขาถูกจัดอยู่ในระดับสูงมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะยืนยันเรื่องนี้”
“เข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้าเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองอย่างไร้ยางอาย”
“แต่แม้ว่าเขาจะสามารถควบแน่นร่างโคลนได้อย่างไร้ขีดกำจัด จุดประสงค์ของเขาในการเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองคืออะไรกัน?”
“ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในฐานะกึ่งปราชญ์ขั้นต้น อาจเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับเทพมารตนอื่นๆ”
“แม้ว่าเขาจะกำลังมองหาอสูรโกลาหลเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากร เขาก็คงไม่สามารถจัดการมันได้โดยลำพัง”
เมื่อหาสาเหตุที่ซูหยางทำเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาจึงสับสน
“เจ้าคิดว่าเราควรติดต่อเขาไหม”
“เจ้าอยากเชิญเขาเข้าร่วมกลุ่มของเรางั้นรึ”
“ใช่ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ความสามารถของเขาถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญจริงๆ”
"นั้นเป็นความคิดที่ดี แต่เป็นไปไม่ได้"
“พฤติกรรมของเขาในตอนนี้จะถูกเปิดเผยในสายตาของเหล่าเทพมารอย่างแน่นอน ที่พวกมันยังไม่ทำอะไรก็เพราะกลัวว่าซูหยางมีแผนการบางอย่าง และต้องกำลังสะสมความแข็งแกร่งอย่างลับๆ เพื่อจัดการเขาให้ได้ในคราวเดียว ถ้าเราลากซูหยางเข้ามาเอี่ยว กลุ่มของเราจะต้องประสบกับหายนะ”
“ซูหยางไม่กลัวตาย เพราะนั้นเป็นเพียงร่างโคลนของเขาเท่านั้น แต่เรากลัว”
“การตกเป็นเป้าหมายของเทพมารไม่ใช่เรื่องตลก”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ตระหนักได้ถึงความเสี่ยงของเรื่องนี้
เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ เห็นด้วย ฉีเกาก็กล่าวต่อ "แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย ข้าได้ยินมาว่าเผ่ามนุษย์กำลังมองหาร่องรอยของเขา เราจะแจ้งข่าวนี้ให้กับเผ่ามนุษย์"
"ตกลง"
ผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้นี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะติดต่อหาซูหยางหลังจากค้นพบตัวเขา เพราะการกระทำของซูหยางนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง หากพวกเขาติดต่อกับซูหยาง ตำแหน่งของพวกเขาก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง พวกเขาจะไม่ติดต่อกับซูหยาง
ท้ายที่สุดแล้ว การติดต่อกับซูหยางอาจไม่มอบประโยชน์อะไรให้แก่พวกเขา แต่ก็มีข้อเสียที่ชัดเจน
อันที่จริง เนื่องจากความพิเศษของซูหยาง พวกเขาจึงสามารถจากไปโดยไม่สนใจอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ฉีเกาบังเอิญรู้ว่าเผ่ามนุษย์กำลังมองหาซูหยาง ดังนั้นเขาจึงพร้อมที่จะแจ้งข่าวแก่เผ่ามนุษย์
ในไม่ช้า ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ในเขตสงครามที่ 97 ก็ได้รับข่าว และรู้ถึงตำแหน่งของซูหยาง
พูดให้ถูกก็คือ พวกเขารู้ว่าซูหยางกำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าพวกเขาต้องการหาตำแหน่งของซูหยาง มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ท้ายที่สุดแล้ว ซูหยางก็มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนอื่นๆ อย่างเช่น หลี่เต้าเกา
หลังจากได้รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมอันไร้ยางอายของซูหยาง พวกเขาก็ตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาถึงความพิเศษของร่างโคลนของซูหยาง พวกเขาก็ยอมรับได้
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าซูหยางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
ในฐานะผู้นำของเผ่ามนุษย์ในเขตสงครามที่ 97 สวี่จู๋เป็นถึงกึ่งปราชญ์สวรรค์
ตอนนี้เขายังอยู่ในระหว่างการทดสอบความเข้าใจ หลังจากทราบข่าว เขาก็ส่งคนๆ หนึ่งออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของซูหยาง
ส่วนที่เหลือยังคงรวบรวมทรัพยากรสำหรับกึ่งปราชญ์ต่อไป
ทรัพยากรเหล่านี้มีไว้สำหรับซูหยางจากคำสั่งของปราชญ์เหรินเต๋าแห่งเผ่ามนุษย์
หลังจากที่เขาออกจากถนนโบราณแห่งความโกลาหล เขาจะติดต่อไปหาซูหยางโดยเร็วที่สุด
แน่นอนว่าต้องหลังจากเขาเสร็จสิ้นการทดสอบทั้งสามแล้ว
ปัจจุบัน เขามาถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่ห้าแล้ว แม้รางวัลในขั้นนี้จะมากมาย แต่หากเขาสามารถก้าวไปถึงบันไดสวรรค์ขั้นที่หกได้ รางวัลที่เขาจะได้รับจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เขาย่อมจะไม่มีวันยอมแพ้
ความล่าช้าเพียงไม่กี่วัน ในความเห็นของเขาจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการฝึกฝนซูหยาง ท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงเวลานี้เขาก็ได้ขอให้คนอื่นๆ รวบรวมทรัพยากรเตรียมเอาไว้แล้ว
ขณะนี้มีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้น แค่ส่งคนๆ หนึ่งไปเฝ้าดูก็ถือว่ามากพอ
นอกจากนี้เขายังรู้ด้วยว่านี่เป็นเพียงร่างโคลนของซูหยาง ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าซูหยางจะต้องพบเจออันตรายถึงตาย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สวี่จู๋ก็อิจฉามากเช่นกัน ร่างโคลนของซูหยางนั้นทรงพลังเกินไปจริงๆ ถ้าเขาครอบครองพลังนี้ เขาก็จะทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย
น่าเสียดายที่กฏแห่งร่างโคลนนั้นยากที่ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญถึงระดับเดียวกับซูหยาง
มีกฎมากมายซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกฎพื้นฐาน กฎผสาน กฎขั้นสูง และกฎพิเศษ
สิ่งที่ง่ายที่สุดในการปรับปรุง และทำความเข้าใจคือ กฎพื้นฐาน
รองลงมาคืออ กฎผสาน
สิ่งที่ยากที่สุดคือ กฎขั้นสูง อย่างเช่น เวลา และมิติ...
กฎพิเศษก็ยากพอๆ กับกฎขั้นสูง
เหตุผลหลักที่ถูกเรียกว่ากฎพิเศษก็คือ การทำความเข้าใจกฏเหล่านี้ต้องใช้ทรัพยากรพิเศษ
ยิ่งมีความพิเศษมากเท่าไร ทรัพยากรเหล่านั้นก็ยิ่งหาได้ยาก
เมื่อทรัพยากรขาดแคลน เป็นเรื่องยากโดยธรรมชาติที่จะพึ่งพาตนเองเพียงอย่างเดียวในการทำความเข้าใจกฏ
มีกฎพิเศษบางข้อที่ผิดปกติจนไม่มีทรัพยากรพิเศษที่เกี่ยวกฏข้อนั้นเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ความยากในการทำความเข้าใจก็สูงยิ่งกว่ากฏขั้นสูงเสียอีก
กฎแห่งร่างโคลนนี้ก็ถือเป็นกฎพิเศษข้อหนึ่ง และเป็นการยากที่จะได้รับทรัพยากรเกี่ยวกับกฏข้อนี้
แม้ร่างโคลนจะดูเหมือนไม่ได้สร้างได้ยากเย็นอะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับของร่างโคลนด้วย
หากต้องการร่างโคลนที่มีความแข็งแกร่งถึงเจ็ดส่วนของร่างหลัก และเป็นร่างโคลนที่สมบูรณ์แบบ มันย่อมเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะยิ่งฐานการบ่มเพาะสูงมากเท่าไร ความยากก็จะเพิ่มสูงขึ้น
ถ้ามันเป็นแค่ร่างโคลนที่มีพลังเพียงเล็กน้อยของร่างหลัก มันก็จะง่าย แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ร่างโคลนของซูหยางจึงมีความพิเศษของอย่างยิ่ง