ตอนที่ 28 ความอัดอั้นตันใจของตัวเอกชาย
ตอนที่ 28 ความอัดอั้นตันใจของตัวเอกชาย
เจ้านิกายหลิวอวิ๋นยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของหยวนเฟิง
“เอาล่ะ ไม่ต้องอธิบายให้พ่อฟังแล้ว แต่เจ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นใช่หรือไม่?”
หยวนเฟิงตอบด้วยความสัตย์จริง “ไม่ขอรับ”
“เอาล่ะ ให้ทำเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วใช้ชีวิตต่อไปเหมือนเดิม พ่อจะจัดคนส่งอาหารพิเศษให้เจ้า” เจ้านิกายหลิวอวิ๋นกล่าว
“ท่านพ่อ ท่าน คือท่านไม่คัดค้านที่ข้าพาพี่เยี่ยกลับมาหรือ?” หยวนเฟิงตกตะลึงและกลืนคำพูดที่จะเกลี้ยกล่อมบิดาทั้งหมดลงคอ
เขาคิดว่าบิดาจะห้ามและร่วมกล่าวหาพี่เยี่ยด้วยอีกคน เขายังหนักใจว่าจะรับมืออย่างไรดี
“พ่อเชื่อในวิสัยทัศน์ของลูกชายนะ”
เจ้านิกายหลิวอวิ๋นตบไหล่หยวนเฟิง จากนั้นหันหลังกลับและเดินจากไป
“ท่านพ่อ...”
หยวนเฟิงยืนอยู่ที่เดิม สัมผัสแห่งความอบอุ่นปรากฏขึ้นในใจของเขา
ในห้องนั้นเยี่ยเสวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพลังเวทที่ควบแน่นได้คลายลง การไม่ต้องลงมือนั้นดีกว่า เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบิดาของพี่หยวน
นอกจากนี้หากเขาลงมือย่อมเท่ากับเปิดเผยตัวเองและเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะควบคุมเส้นทางนองเลือดภายในนิกายหลิวอวิ๋นได้
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีอีกคนหนึ่งอยู่ห่างออกไปและได้ยินบทสนทนาทั้งหมดระหว่างหยวนเฟิงกับบิดา
“จิ๊จิ๊ ไอ้เด็กเวรหยวนเฟิงคนนี้สมรู้ร่วมคิดกับเยี่ยเสวียนจริงๆ ช่างกล้านัก!”
ชายชราที่มีผิวหนังเหี่ยวย่นและผมขาวโพลนมองลานบ้านของหยวนเฟิงจากระยะไกลและยิ้มแปลกๆ ออกมา
แม้ว่าหยวนเฟิงจะเป็นอัจฉริยะของนิกายหลิวอวิ๋นและเป็นความหวังในการฟื้นฟูนิกายหลิวอวิ๋น แต่ไม่ใช่ทุกคนในนิกายที่จะยอมรับผู้นำรุ่นเยาว์ได้
ตัวอย่างเช่น ชายชราผู้มีรอยยิ้มประหลาดคนนี้ เขาเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งของนิกายหลิวอวิ๋นและเป็นมิ่งตานเพียงคนเดียวของนิกาย
เขายังเป็นผู้อาวุโสที่สุดของนิกายหลิวอวิ๋น
เขามีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ ของเจ้านิกายหลิวอวิ๋น ครั้งหนึ่งเขาเคยแข่งขันกับพี่ชายเพื่อชิงตำแหน่งเจ้านิกายและพ่ายแพ้ไปเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น เขาจึงกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกาย ในที่สุดก็รอจนกระทั่งพี่ชายเสียชีวิตและคิดว่าตัวเองจะรับช่วงต่อในฐานะเจ้านิกายหลิวอวิ๋นคนใหม่
กลับกลายเป็นว่าเจ้านิกายคนปัจจุบันทะลวงสู่ระดับมิ่งตานได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และด้วยการสนับสนุนจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ จึงได้สืบทอดตำแหน่งเจ้านิกายคนใหม่
ส่วนเขายังเป็นผู้อาวุโสระดับสูงต่อไปเท่านั้น
และเนื่องจากความสามารถของหยวนเฟิงบุตรชายของเจ้านิกายคนปัจจุบัน จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำนิกายและว่าที่เจ้านิกายคนต่อไป แต่เขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสระดับสูงค่อยๆ ถูกละเลย
เขาไม่เต็มใจยอมรับ!
เขาอุทิศเวลาหลายร้อยปีให้กับนิกายหลิวอวิ๋นโดยไม่แต่งงานหรือมีบุตรด้วยซ้ำ เพราะเขาทุ่มเททั้งชีวิตให้กับนิกาย แล้วเหตุใดเขาถึงเป็นเจ้านิกายไม่ได้
เหตุใดไม่ปล่อยให้เขาเป็นเจ้านิกาย!
แม้ว่าหยวนเฟิงจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของนิกายหลิวอวิ๋นในรอบพันปี แต่เขาก็ไม่ยอมรับ
เพียงแต่ในอดีตเขาทำสิ่งใดไม่ได้เลย เพราะผู้อาวุโสและลูกศิษย์ส่วนใหญ่อยู่ข้างสองพ่อลูกหยวนเฟิง
แต่ตอนนี้เขาได้พบโอกาสที่จะกำจัดสองพ่อลูกหยวนเฟิงแล้ว
‘ผู้ปลูกฝังมาร’ เยี่ยเสวียนที่สร้างภัยพิบัติให้กับผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน แล้วนิกายหลิวอวิ๋นขนาดเล็กจะสามารถแบกรับความผิดเช่นนี้ไหวหรือ
ตราบใดที่ข่าวแพร่ออกไป สองพ่อลูกหยวนเฟิงจะต้องตายแบบไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้นเขาเกิดลังเลขึ้นมา
เพราะในกรณีนี้นิกายหลิวอวิ๋นทั้งหมดอาจถูกฝังไว้กับสองพ่อลูกด้วย
“ช่างเถอะ มันไม่ใช่นิกายหลิวอวิ๋นของข้าอยู่แล้ว ถ้าพังก็ปล่อยมันพังไป!”
เป็นเวลานานที่ความโหดร้ายฉายในดวงตาของเขา
เขาทุ่มเทเพื่อตำแหน่งเจ้านิกายจนกลายเป็นบ้า กล่าวอีกนัยคือรักมากจึงชิงชังมาก
……
“โอ้ ข่าวลือของเยี่ยเสวียนแพร่สะพัดไปแล้วหรือ?”
ซูอันนอนบนตักของพี่ชิงหลิงและเพลิดเพลินกับการบีบนวดขาจากฉู่อิน เขาต้องแปลกใจเมื่อได้ยินรายงานของหมายเลขห้า
เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยเสวียนหลบอยู่ที่ใดและเดิมทีเขาตั้งใจจะรอให้เรื่องเงียบสักพักค่อยเริ่มปล่อยข่าวลือ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนแพร่ข่าวลือก่อนแล้ว
แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่กระทบต่อสถานการณ์โดยรวม
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าควรออกเดินทางทันทีและอย่าลืมทำลายนิกายหลิวอวิ๋นให้สิ้นซากก่อนคนอื่น!”
“เจ้าค่ะ!” หมายเลขห้ารับคำสั่งแล้วก้าวถอยหลังออกไปด้วยความเคารพ
“เหตุใดต้องทำลายตัดหน้าคนอื่นล่ะ ถ้าปล่อยให้คนอื่นจัดการจะไม่เหมือนกันหรือ?” เยี่ยหลีเอ๋อร์ผู้ถูกแย่งหน้าที่จึงสบโอกาสเข้ามาถามด้วยท่าทางของเด็กขี้สงสัย
“ไม่เหมือน ไม่เหมือนเลย...” ซูอันยกมือลูบศีรษะของเยี่ยหลีเอ๋อร์โดยไม่อธิบาย
เพราะเป็นการยากที่จะอธิบายเรื่องคะแนนตัวร้ายให้เยี่ยหลีเอ๋อร์ฟัง
“อ้อ” เยี่ยหลีเอ๋อร์พยักหน้าเชื่อฟังและเพลิดเพลินกับสัมผัสของซูอัน จากนั้นนางเหลือบมองฉู่อินที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ฉู่อิน “...”
รูปลักษณ์ของการแข่งขันเพื่อชิงความโปรดปรานนี้ทำให้ฉู่อินทำตัวไม่ถูก
เอาล่ะ ถ้าอยากหยิกข้าก็ทำเลย
นางคือมิ่งตานผู้มีเกียรติและไม่ต้องการเป็นสาวใช้ แต่นางไม่สามารถต้านทานคำสั่งของคนเลวคนนี้ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ...การต่อต้านในใจของนางเหมือนจะค่อยๆ ลดลงและนางยังรู้สึกหวั่นไหวในใจเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดกับซูอัน เมื่อเห็นหน้าซูอัน หัวใจของนางก็เต้นรัว ประหนึ่งว่านางกำลังมีความรักครั้งแรกและความรู้สึกนี้ทำให้นางซึ่งพยายามยึดมั่นในอุดมการณ์ต้องรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ
ซูอันไม่สนใจความคิดที่เปลี่ยนไปของสาวใช้คนใหม่
เรือเซียนหันกลับและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ห่างไกลของตงโจว
ใกล้ถึงเวลาจัดการกับตัวเอกหญิงคนสุดท้ายของตอนแล้ว
……
ใต้ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตงโจว ในพื้นที่ลับซึ่งแสงแดดส่องไม่ถึงปรากฏร่างหลายร่างซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำและมองไปที่หินฉายซ้ำตรงกลางห้อง
หินฉายซ้ำกำลังฉายภาพที่เยี่ยเสวียนล่อลวงผู้ฝึกตนอื่นๆ ให้ออกสังหารมังกรอสูร
“ผู้ชายคนนี้ค่อนข้างดี เขาสังหารผู้ฝึกตนจำนวนมากในคราวเดียว เขาเป็นมารที่น่าสนใจมาก!” ภายใต้เสื้อคลุมสีดำมีเสียงแหบแก่ดังขึ้น มันฟังเหมือนเปลือกไม้โบราณชิ้นหนึ่งที่ไม่มีความชื้นอยู่เลยไปขูดแรงๆ กับผนัง
“ร่างกายของผู้ชายคนนี้ดูแข็งแรงมาก หากได้เขามาเป็นเตาหม้อคงจะมีความสุขไม่น้อย” เสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์อีกคนพูดขึ้นและเพียงแค่ได้ยินเสียงนี้ก็สามารถจินตนาการถึงรูปร่างที่งดงามภายใต้เสื้อคลุมสีดำของ ‘นาง’ ได้
ชายในชุดคลุมสีดำอีกหลายคนอดไม่ได้ที่จะขนลุก หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“เอาล่ะ ตอนนี้เรามาพูดถึงว่าจะรับเยี่ยเสวียนเข้าสู่ลัทธิหรือไม่” เสียงชายวัยกลางคนที่มั่นคงถามขึ้นมา
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ชายคนนี้ยอดเยี่ยมมาก” เสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์เป็นคนแรกที่เห็นด้วย
“หลินต้าจู้ พวกเรากำลังรับสมาชิกใหม่ ไม่ใช่เตาหม้อสำหรับเจ้านะ” เสียงแหบแก่พูดด้วยความไม่พอใจ
“ไอหยา ข้าบอกกี่หนแล้วว่าตอนนี้ข้าชื่อหลินหรูเซียน เรียกข้าว่าเซียนเอ๋อร์ก็ได้นะ~~” น้ำเสียงยานคางนั้นทำให้ทุกคนขนลุก
“แหวะ!”
“สวะนี่ โม่เหล่ากุ่ยเจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
“ไม่มีอะไร ช่วงนี้แค่รู้สึกไม่สบายท้อง เมื่อเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจจึงรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเท่านั้น”
“เจ้า!”
“พอแล้ว พอ!” มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้าหยุดเถียงกันได้แล้ว หลินต้า...หลินหรูเซียนโปรดสำรวมด้วย”
“ลัทธิเซวี่ยเหอสาขาตงโจวของเราไม่มีเลือดสดใหม่เข้ามานานแล้ว เยี่ยเสวียนผู้นี้มีพรสวรรค์ที่ดี อย่างไรก็ลองรับเขาเข้ามาได้”
“ข้าเห็นด้วย!”
“เฮอะ ท่ามกลางผู้ชายเฮงซวยพวกนี้ ข้าย่อมเห็นด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ลองติดต่อดู”
แต่เยี่ยเสวียนผู้ซึ่งกำลังฝึกตนอยู่ในนิกายหลิวอวิ๋นไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของคนหลายกลุ่ม อีกทั้งตาข่ายขนาดใหญ่ชื่อซูอันกำลังจะพุ่งเข้ามาหาเขาด้วย
เขาแค่รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจและค่อนข้างกระสับกระส่าย
สุดท้ายเขาได้แต่สบถด่าว่า “ไอ้สารเลวซูอัน!” เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจของตน
……