ตอนที่แล้วตอนที่ 27 ‘ผู้ปลูกฝังมาร’
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 29 ‘ท่านเซียน’

ตอนที่ 28 ความอัดอั้นตันใจของตัวเอกชาย


ตอนที่ 28 ความอัดอั้นตันใจของตัวเอกชาย

  

เจ้านิกายหลิวอวิ๋นยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของหยวนเฟิง

  

“เอาล่ะ ไม่ต้องอธิบายให้พ่อฟังแล้ว แต่เจ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นใช่หรือไม่?”

  

หยวนเฟิงตอบด้วยความสัตย์จริง “ไม่ขอรับ”

  

“เอาล่ะ ให้ทำเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วใช้ชีวิตต่อไปเหมือนเดิม พ่อจะจัดคนส่งอาหารพิเศษให้เจ้า” เจ้านิกายหลิวอวิ๋นกล่าว

“ท่านพ่อ ท่าน คือท่านไม่คัดค้านที่ข้าพาพี่เยี่ยกลับมาหรือ?” หยวนเฟิงตกตะลึงและกลืนคำพูดที่จะเกลี้ยกล่อมบิดาทั้งหมดลงคอ

  

เขาคิดว่าบิดาจะห้ามและร่วมกล่าวหาพี่เยี่ยด้วยอีกคน เขายังหนักใจว่าจะรับมืออย่างไรดี

  

“พ่อเชื่อในวิสัยทัศน์ของลูกชายนะ”

  

เจ้านิกายหลิวอวิ๋นตบไหล่หยวนเฟิง จากนั้นหันหลังกลับและเดินจากไป

“ท่านพ่อ...”

  

หยวนเฟิงยืนอยู่ที่เดิม สัมผัสแห่งความอบอุ่นปรากฏขึ้นในใจของเขา

  

ในห้องนั้นเยี่ยเสวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพลังเวทที่ควบแน่นได้คลายลง การไม่ต้องลงมือนั้นดีกว่า เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบิดาของพี่หยวน

  

นอกจากนี้หากเขาลงมือย่อมเท่ากับเปิดเผยตัวเองและเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะควบคุมเส้นทางนองเลือดภายในนิกายหลิวอวิ๋นได้

  

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีอีกคนหนึ่งอยู่ห่างออกไปและได้ยินบทสนทนาทั้งหมดระหว่างหยวนเฟิงกับบิดา

  

“จิ๊จิ๊ ไอ้เด็กเวรหยวนเฟิงคนนี้สมรู้ร่วมคิดกับเยี่ยเสวียนจริงๆ ช่างกล้านัก!”

  

ชายชราที่มีผิวหนังเหี่ยวย่นและผมขาวโพลนมองลานบ้านของหยวนเฟิงจากระยะไกลและยิ้มแปลกๆ ออกมา

  

แม้ว่าหยวนเฟิงจะเป็นอัจฉริยะของนิกายหลิวอวิ๋นและเป็นความหวังในการฟื้นฟูนิกายหลิวอวิ๋น แต่ไม่ใช่ทุกคนในนิกายที่จะยอมรับผู้นำรุ่นเยาว์ได้

  

ตัวอย่างเช่น ชายชราผู้มีรอยยิ้มประหลาดคนนี้ เขาเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งของนิกายหลิวอวิ๋นและเป็นมิ่งตานเพียงคนเดียวของนิกาย

  

เขายังเป็นผู้อาวุโสที่สุดของนิกายหลิวอวิ๋น

  

เขามีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ ของเจ้านิกายหลิวอวิ๋น ครั้งหนึ่งเขาเคยแข่งขันกับพี่ชายเพื่อชิงตำแหน่งเจ้านิกายและพ่ายแพ้ไปเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น เขาจึงกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกาย ในที่สุดก็รอจนกระทั่งพี่ชายเสียชีวิตและคิดว่าตัวเองจะรับช่วงต่อในฐานะเจ้านิกายหลิวอวิ๋นคนใหม่

  

กลับกลายเป็นว่าเจ้านิกายคนปัจจุบันทะลวงสู่ระดับมิ่งตานได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และด้วยการสนับสนุนจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ จึงได้สืบทอดตำแหน่งเจ้านิกายคนใหม่

  

ส่วนเขายังเป็นผู้อาวุโสระดับสูงต่อไปเท่านั้น

  

และเนื่องจากความสามารถของหยวนเฟิงบุตรชายของเจ้านิกายคนปัจจุบัน จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำนิกายและว่าที่เจ้านิกายคนต่อไป แต่เขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสระดับสูงค่อยๆ ถูกละเลย

  

เขาไม่เต็มใจยอมรับ!

  

เขาอุทิศเวลาหลายร้อยปีให้กับนิกายหลิวอวิ๋นโดยไม่แต่งงานหรือมีบุตรด้วยซ้ำ เพราะเขาทุ่มเททั้งชีวิตให้กับนิกาย แล้วเหตุใดเขาถึงเป็นเจ้านิกายไม่ได้

  

เหตุใดไม่ปล่อยให้เขาเป็นเจ้านิกาย!

  

แม้ว่าหยวนเฟิงจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของนิกายหลิวอวิ๋นในรอบพันปี แต่เขาก็ไม่ยอมรับ

  

เพียงแต่ในอดีตเขาทำสิ่งใดไม่ได้เลย เพราะผู้อาวุโสและลูกศิษย์ส่วนใหญ่อยู่ข้างสองพ่อลูกหยวนเฟิง

  

แต่ตอนนี้เขาได้พบโอกาสที่จะกำจัดสองพ่อลูกหยวนเฟิงแล้ว

  

‘ผู้ปลูกฝังมาร’ เยี่ยเสวียนที่สร้างภัยพิบัติให้กับผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน แล้วนิกายหลิวอวิ๋นขนาดเล็กจะสามารถแบกรับความผิดเช่นนี้ไหวหรือ

  

ตราบใดที่ข่าวแพร่ออกไป สองพ่อลูกหยวนเฟิงจะต้องตายแบบไม่ต้องสงสัย

  

ทันใดนั้นเขาเกิดลังเลขึ้นมา

เพราะในกรณีนี้นิกายหลิวอวิ๋นทั้งหมดอาจถูกฝังไว้กับสองพ่อลูกด้วย

  

“ช่างเถอะ มันไม่ใช่นิกายหลิวอวิ๋นของข้าอยู่แล้ว ถ้าพังก็ปล่อยมันพังไป!”

เป็นเวลานานที่ความโหดร้ายฉายในดวงตาของเขา

เขาทุ่มเทเพื่อตำแหน่งเจ้านิกายจนกลายเป็นบ้า กล่าวอีกนัยคือรักมากจึงชิงชังมาก

  ……

“โอ้ ข่าวลือของเยี่ยเสวียนแพร่สะพัดไปแล้วหรือ?”

  

ซูอันนอนบนตักของพี่ชิงหลิงและเพลิดเพลินกับการบีบนวดขาจากฉู่อิน เขาต้องแปลกใจเมื่อได้ยินรายงานของหมายเลขห้า

  

เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยเสวียนหลบอยู่ที่ใดและเดิมทีเขาตั้งใจจะรอให้เรื่องเงียบสักพักค่อยเริ่มปล่อยข่าวลือ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนแพร่ข่าวลือก่อนแล้ว

  

แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่กระทบต่อสถานการณ์โดยรวม

  

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าควรออกเดินทางทันทีและอย่าลืมทำลายนิกายหลิวอวิ๋นให้สิ้นซากก่อนคนอื่น!”

        “เจ้าค่ะ!” หมายเลขห้ารับคำสั่งแล้วก้าวถอยหลังออกไปด้วยความเคารพ

  

“เหตุใดต้องทำลายตัดหน้าคนอื่นล่ะ ถ้าปล่อยให้คนอื่นจัดการจะไม่เหมือนกันหรือ?” เยี่ยหลีเอ๋อร์ผู้ถูกแย่งหน้าที่จึงสบโอกาสเข้ามาถามด้วยท่าทางของเด็กขี้สงสัย

  

“ไม่เหมือน ไม่เหมือนเลย...” ซูอันยกมือลูบศีรษะของเยี่ยหลีเอ๋อร์โดยไม่อธิบาย

  

เพราะเป็นการยากที่จะอธิบายเรื่องคะแนนตัวร้ายให้เยี่ยหลีเอ๋อร์ฟัง

“อ้อ” เยี่ยหลีเอ๋อร์พยักหน้าเชื่อฟังและเพลิดเพลินกับสัมผัสของซูอัน จากนั้นนางเหลือบมองฉู่อินที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

ฉู่อิน “...”

  

รูปลักษณ์ของการแข่งขันเพื่อชิงความโปรดปรานนี้ทำให้ฉู่อินทำตัวไม่ถูก

  

เอาล่ะ ถ้าอยากหยิกข้าก็ทำเลย

  

นางคือมิ่งตานผู้มีเกียรติและไม่ต้องการเป็นสาวใช้ แต่นางไม่สามารถต้านทานคำสั่งของคนเลวคนนี้ได้เลย

  

ยิ่งไปกว่านั้นคือ...การต่อต้านในใจของนางเหมือนจะค่อยๆ ลดลงและนางยังรู้สึกหวั่นไหวในใจเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดกับซูอัน เมื่อเห็นหน้าซูอัน หัวใจของนางก็เต้นรัว ประหนึ่งว่านางกำลังมีความรักครั้งแรกและความรู้สึกนี้ทำให้นางซึ่งพยายามยึดมั่นในอุดมการณ์ต้องรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ

  

ซูอันไม่สนใจความคิดที่เปลี่ยนไปของสาวใช้คนใหม่

  

เรือเซียนหันกลับและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ห่างไกลของตงโจว

  

ใกล้ถึงเวลาจัดการกับตัวเอกหญิงคนสุดท้ายของตอนแล้ว

  ……

ใต้ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตงโจว ในพื้นที่ลับซึ่งแสงแดดส่องไม่ถึงปรากฏร่างหลายร่างซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำและมองไปที่หินฉายซ้ำตรงกลางห้อง

  

หินฉายซ้ำกำลังฉายภาพที่เยี่ยเสวียนล่อลวงผู้ฝึกตนอื่นๆ ให้ออกสังหารมังกรอสูร

“ผู้ชายคนนี้ค่อนข้างดี เขาสังหารผู้ฝึกตนจำนวนมากในคราวเดียว เขาเป็นมารที่น่าสนใจมาก!” ภายใต้เสื้อคลุมสีดำมีเสียงแหบแก่ดังขึ้น มันฟังเหมือนเปลือกไม้โบราณชิ้นหนึ่งที่ไม่มีความชื้นอยู่เลยไปขูดแรงๆ กับผนัง

  

“ร่างกายของผู้ชายคนนี้ดูแข็งแรงมาก หากได้เขามาเป็นเตาหม้อคงจะมีความสุขไม่น้อย” เสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์อีกคนพูดขึ้นและเพียงแค่ได้ยินเสียงนี้ก็สามารถจินตนาการถึงรูปร่างที่งดงามภายใต้เสื้อคลุมสีดำของ ‘นาง’ ได้

  

ชายในชุดคลุมสีดำอีกหลายคนอดไม่ได้ที่จะขนลุก หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

  

“เอาล่ะ ตอนนี้เรามาพูดถึงว่าจะรับเยี่ยเสวียนเข้าสู่ลัทธิหรือไม่” เสียงชายวัยกลางคนที่มั่นคงถามขึ้นมา

  

“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ชายคนนี้ยอดเยี่ยมมาก” เสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์เป็นคนแรกที่เห็นด้วย

“หลินต้าจู้ พวกเรากำลังรับสมาชิกใหม่ ไม่ใช่เตาหม้อสำหรับเจ้านะ” เสียงแหบแก่พูดด้วยความไม่พอใจ

“ไอหยา ข้าบอกกี่หนแล้วว่าตอนนี้ข้าชื่อหลินหรูเซียน เรียกข้าว่าเซียนเอ๋อร์ก็ได้นะ~~” น้ำเสียงยานคางนั้นทำให้ทุกคนขนลุก

“แหวะ!”

“สวะนี่ โม่เหล่ากุ่ยเจ้าหมายความว่าอย่างไร!”

“ไม่มีอะไร ช่วงนี้แค่รู้สึกไม่สบายท้อง เมื่อเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจจึงรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเท่านั้น”

  

“เจ้า!”

  

“พอแล้ว พอ!” มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้าหยุดเถียงกันได้แล้ว หลินต้า...หลินหรูเซียนโปรดสำรวมด้วย”

“ลัทธิเซวี่ยเหอสาขาตงโจวของเราไม่มีเลือดสดใหม่เข้ามานานแล้ว เยี่ยเสวียนผู้นี้มีพรสวรรค์ที่ดี อย่างไรก็ลองรับเขาเข้ามาได้”

“ข้าเห็นด้วย!”

“เฮอะ ท่ามกลางผู้ชายเฮงซวยพวกนี้ ข้าย่อมเห็นด้วย”

  

“ถ้าเช่นนั้นก็ลองติดต่อดู”

  

แต่เยี่ยเสวียนผู้ซึ่งกำลังฝึกตนอยู่ในนิกายหลิวอวิ๋นไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของคนหลายกลุ่ม อีกทั้งตาข่ายขนาดใหญ่ชื่อซูอันกำลังจะพุ่งเข้ามาหาเขาด้วย

  

เขาแค่รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจและค่อนข้างกระสับกระส่าย

สุดท้ายเขาได้แต่สบถด่าว่า “ไอ้สารเลวซูอัน!” เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจของตน

……