Chapter 16 ถ้ามีเงินก็คงดี
เมื่อหลี่โหยงเห็นจี้หยวนหยวนสวมเสื้อกั๊กแล้ว เขาจึงลุกขึ้น "เอาล่ะ พวกคุณรีบกินให้เสร็จและพักผ่อนซะนะ ฉันกลับก่อนนะเด็กๆ”
“อืมม ใช่แล้ว ที่คุณบอกว่าหลี่เล่ยจะกลับมาเร็วๆ นี้ คุณหมายความว่ายังไงนะ?” ทันใดนั้นหลี่ซู่ ก็นึกถึงสิ่งที่ หลี่โหย่ง พูดกับจี้เจียนกั๋ว
หลี่เล่ยเป็นลูกชายคนโตของตระกูลหลี่ เขารับราชการในกองทัพมานานหลายปีแล้ว
“ที่ฉันกลับมาครั้งนี้เพราะว่าฉันได้รับจดหมายจากพี่ใหญ่” หลี่โหย่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันเพิ่งเปิดอ่านมันที่บ้านพร้อมกับพ่อแม่ของเรา พี่ใหญ่ตัดสินใจปลดประจำการในเดือนกันยายนปีหน้าและจะก็กลับมา”
หลี่เล่ยเข้าร่วมกองทัพเมื่ออายุ 20 ปีนี้เป็นปีที่เจ็ด
“เขาตัดสินใจดีแล้วเหรอ?” ถ้าเขาออกมาชีวิตเขาก็จะอยู่ในความเสี่ยงหลังจากนั้นนะ หลี่ซูถามอย่างสงสัย
หลี่เล่ยมีความฝันที่จะเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เขายังเด็ก เขาอยากเข้ากองทัพมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาสมัครเข้าร่วมคัดเลือกตอนอายุ 18 ปี เขาถูกปฏิเสธเนื่องจากน้ำหนักเขาไม่ผ่านเกณฑ์ และในปีถัดมาเขาก็ผ่านทั้งหมด แต่เมื่อกำลังจะเข้าประจำการกองทัพ ก็เกิดเหตุให้เขาขาหัก จนเข้าสู่ปีที่ 3 ในที่สุดเขาก็ได้เข้าร่วมกองทัพอย่างราบรื่น
หลายปีที่ผ่านมาเขาทำหน้าที่ได้ดีมากในกองทัพ หลี่ซู่ เคยคิดว่าเขาจะอยู่ในกองทัพต่อไปอีกนาน แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาก็มีความคิดที่จะออกจากกองทัพ
เมื่อหลี่โหยงพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ “คู่ของเขาคงจะรอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พี่ใหญ่ยังบอกว่ากองทัพจะให้ค่าฟื้นฟูจำนวนมากแก่เขาเมื่อเขาออกจากกองทัพ เขาจะมีเงินสำหรับแต่งงาน นอกจากนั้น เขายังสามารถลงทุนทำธุรกิจเล็กๆ กับเงินส่วนที่เหลือได้อีก”
ปีที่แล้ว หลี่เล่ยกลับบ้านมาเยี่ยมครอบครัว พ่อแม่ได้จัดเตรียมนัดบอดให้กับเขา
ผู้หญิงคนนั้นมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง พวกเขาเตรียมจะแต่งงานกันหลังจากที่เขากลับมา เดิมทีพวกเขาวางแผนจะแต่งงานกันหลังจากผ่านไปซักหนึ่งหรือสองปี
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปีนี้ไป พวกเขาได้เปลี่ยนแผน พวกเขาบอกว่า ถ้าหลี่เล่ยยังไม่กลับมา พวกเขาก็จะไม่ยอมแต่งงาน
เมื่อ หลี่ซู่ คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ปล่อยเขาไปเถอะ มันเป็นการเลือกของเขาเอง แต่อย่าเสียใจกับมันทีหลังก็แล้วกัน”
ขณะที่เธอพูด หลี่ซู่ก็ลุกขึ้นและหยิบกล่องขนมปังพีชที่ฉินเสี่ยวหมิ่นมอบให้เธอในตอนเช้าและเธอยังนำเนื้อสัตว์และผักที่เธอซื้อมาจากในเมืองมาด้วย “เอาของพวกนี้กลับไปให้พ่อแม่ของเราด้วยนะ”
หลี่โหยงคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นความกตัญญูของพี่สาวของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปฏิเสธและนำของเหล่านั้นกลับมา
จี้หยวนหยวนอยู่ในห้องด้านหลัง กำลังฟังคำพูดของหลี่ซูและหลี่โหยงอย่างใจจดใจจ่อ
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เกิดจากการไม่มีเงิน!
น้าชายคนโตและน้าชายคนที่สองยังไม่ได้แต่งงาน นอกจากนี้ น้าสาวคนเล็กยังเรียนหนังสืออยู่ ตอนนี้สมาชิกทั้งสี่คนของครอบครัวย้ายกลับมาแล้ว คุณตาและคุณยายคงตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการมีเงิน แต่พวกเขาจะได้มันมาได้อย่างไร?
จี้หยวนหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่
เธอจะใช้ประโยชน์จากมิติสวรรค์ของเธอได้อย่างไร? เธอมีสิ่งวิเศษอยู่ในกำมือ แต่เธอกลับใช้มันไม่ได้ มันเป็นการสิ้นเปลืองของขวัญจากพระเจ้าซะจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่โหย่งก็เข้ามา เขานำอาหารมาด้วยจำนวนนึง “พ่อกับแม่ขอให้ฉันเอามาให้ พวกเขาไปที่ทุ่งนาเพื่อเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง ถึงเวลาปลูกข้าวสาลีกันแล้ว”
ขณะที่เขาพูดเขาก็พับแขนเสื้อขึ้น “ขวานอยู่ไหน? ฉันจะสับฟืนไว้ให้คุณ แล้วน้ำฉันจะเติมถังน้ำให้คุณทีหลัง”
เมื่อพูดถึงการใช้งานน้องชายของเธอหลี่ซู่ มักจะไม่ค่อยเกรงใจ เธอหยิบขวานทันทีและส่งให้กับหลี่โหย่ง
หลี่โหย่ง หมกมุ่นอยู่กับงานของเขาทันที ขณะที่ หลี่ซู่ ก็นั่งซักเสื้อผ้าอยู่ถัดออกไป
ในยุคนั้นยังไม่มีเครื่องซักผ้า ดังนั้นเสื้อผ้าจึงต้องซักด้วยมือเท่านั้น มือของ หลี่ซู่ ถูกันจนแดง
“ยังมีอีกเรื่อง เรื่องทะเบียนบ้านค่อนข้างจะจัดการยาก” จู่ๆ หลี่โหย่งก็พูดขึ้น “มันง่ายถ้าคุณจะมาอยู่ในสมุดทะเบียนบ้านของพวกเรา แต่ถ้าเป็นของซีซวนและซีอังนั้นจัดการได้ยากหน่อย”
ทะเบียนบ้านของเด็กสองคนอยู่ฝั่งจี้เจียนกั๋ว คงไม่ง่ายนักที่จะย้ายออกมา
หลี่ซู่รู้ดีว่ามันยากที่จะรับมือ แต่ปัญหาเรื่องโรงเรียนของลูกสองคนล่ะ?
“ทำไมเราไม่ปล่อยให้พวกเขาไปโรงเรียนเดิมล่ะ? อย่างมากสุด ฉันจะไปรับ-ส่งพวกเขาทุกวัน” หลี่ซูกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
หลี่โหย่งกำลังสับไม้ เขาถอนหายใจและพูดว่า “คงจะดีกว่านี้ถ้าพวกเรามีเงิน เราจะสามารถซื้อบ้านในเมืองได้ และถ้า จี้เจียนกั๋ว ยินยอม ทะเบียนบ้านก็สามารถโอนไปที่เมืองได้”
ใช่แล้ว คงจะดีมากถ้าเรามีเงิน!
การแสดงออกของ หลี่ซู่ มืดมนเล็กน้อย
จี้หยวนหยวนนั่งอยู่ข้างๆเธอ จับคางด้วยมือเล็กๆของเธอและครุ่นคิด
ทันใดนั้นประตูลานบ้านก็เปิดออก ร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ที่ประตู "พี่สาวหลี่"
ฉินเสี่ยวหมิ่น ยืนอยู่ที่ประตูและร้องออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลี่โหย่งกำลังสับไม้ เมื่อได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมองดู
เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู ผิวของเธอเรียบเนียน รูปร่างของเธอสง่างาม ดวงตาและคิ้วของเธอราวกับภาพวาด
หลี่โหย่ง ตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น
ฉินเสี่ยวหมิ่น เดินผ่านประตูเข้ามาและมีคนจำนวนหนึ่งตามเธอเข้ามาด้วย
คู่รักวัยกลางคน เด็ก และชายชราถือไม้เท้า
ผู้คนเหล่านี้แต่งตัวดูทันสมัยมากและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มาจากชนบท
คู่รักวัยกลางคนถือสิ่งของมากมายไว้ในมือ
จี้หยวนหยวนรู้จักคู่รักวัยกลางคนนี้เป็นอย่างดี
นี่คือพ่อสามีของเธอ ฉินห่าวเหวิน และแม่สามีของเธอ เชิงซู่ฉิน ในชีวิตก่อนหน้านี้ ทั้งคู่รักใคร่กันมาก
ชื่อของเขา ฉิน มู่เชิง เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ฉินห่าวเหวิน รักใคร่ เชิงซู่ฉิน เป็นอย่างมาก
( มู่ แปลว่า 'โหยหา' ดังนั้น ฉินมู่เชิง แปลว่า “ฉิน” โหยหา “เชิง” )
อย่างไรก็ตาม ฉินห่าวเหวิน เสียชีวิตหลังจาก จี้หยวนหยวน แต่งเข้ามาในบ้านได้ไม่นาน ตั้งแต่นั้นมา เชิงซู่ฉินก็ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเหมือนพระโพธิสัตว์และไม่สนใจกิจกรรมของโลกมนุษย์อีกต่อไป
แม้ว่าจี้หยวนหยวนจะไม่เคยเห็นชายชราผู้ที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย แต่เธอก็เคยเห็นรูปถ่ายของเขาแล้ว
เขาเป็นปู่ของฉินมู่เชิง, “ฉินจูนชัน” ชายชราเขาเป็นทหารมาทั้งชีวิต เขาเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่จี้หยวนหยวนจะเข้ามาในบ้าน
ตอนนี้เมื่อเขาเห็นผู้คนเหล่านี้อีกครั้ง จี้หยวนหยวนก็รู้สึกหัวใจของเธอเต้นแรงมาก
หลี่ซู่ ผงะไปเล็กน้อย เมื่อเธอเห็นผู้คนมากมาย เธอยืนขึ้นและเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนที่สวมบนตัวของเธอ เธอพูดเสียงหลง “นี่คือ…”
ฉินเสี่ยวหมิ่น กล่าวอย่างรวดเร็วว่า “นี่คือพ่อแม่และปู่ของมู่เชิง พวกเขาเดินทางข้ามคืนมาจากเมือง B เพื่อมาขอบคุณที่ช่วยมู่เชิงโดยเฉพาะ”
หลี่ซู่ ยิ้มเจื่อนๆ “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ เชิญเข้ามาข้างในกันก่อน ข้างนอกมันหนาว…”
เธอพูดพร้อมกับทำท่าทางต้อนรับ
หลี่โหย่ง เมื่อตั้งสติได้ ก็รีบพูดขึ้นว่า "ฉันจะไปซื้อชามาชงให้นะ"
ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป ฉินห่าวเหวินเดินไปหยุดเขา “พี่ชาย อย่าสุภาพนักเลย พวกเราไม่ดื่มชา เข้ามาคุยกับพวกเราก่อนเถอะ”
หลี่โหยงถูกเขาหยุดไว้และทำได้เพียงเดินตามเขาเข้ามาในบ้านได้เท่านั้น
บ้านหลังเล็กๆ เต็มไปด้วยผู้คนมากมายในทันที
แม้ว่าบ้านหลังนี้จะใหม่ แต่ หลี่ซู่ เพิ่งย้ายเข้ามาจึงยังไม่มีแม้แต่ที่นั่ง
ฉินมู่เชิง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยชายชรานั่งบนเตียงอิฐอุ่น
ชายชราลูบเตียงอิฐอันอบอุ่นแล้วยิ้ม “พูดก็พูดเถอะ ฉันก็คิดถึงมันจริงๆ ย้อนกลับไปตอนที่ฉันทำงานที่นี่ ฉันก็นอนบนเตียงอิฐอุ่นๆแบบนี้ละ”
ฉินห่าวเหวิน อธิบายว่า “พ่อของฉันเคยอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปี ถือได้ว่าเป็นบ้านเกิดหลังที่สองของเขา”
หลี่ซู่ เป็นผู้หญิงที่พูดไม่ค่อยเก่ง เธอทำได้เพียงยิ้มและพยักหน้า
จี้ซีอังซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องติดกันได้ยินเสียงก็วิ่งออกไป เมื่อเขาเห็นกล่องของขวัญมากมายในห้อง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
ฉินห่าวเหวิน มีสายตาที่เฉียบคม เขาเห็นจี้ซีอังในทันที “เพื่อนตัวน้อย มาหาลุงทางนี้สิ!”