ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 10
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 13

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 11


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 11

ไปร้านอุปกรณ์เวทย์มนตร์

มันเป็นคำพูดที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย ผมสามารถเข้าใจคำแนะนำนี้ได้ในทันที

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ผมกำลังเผชิญคือเรื่อง :

เงิน

ทันทีที่ผมเห็นคำว่า ร้านอุปกรณ์เวทย์มนตร์ ผมคิดอย่างอื่นนอกจากเรื่องนี้ไม่ได้ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรนอกจากเสื้อผ้า ร่างกายและแรงกาย บวกกับม้วนคัมภีร์ที่อยู่ในหนังสือเก็บคัมภีร์

หากผมจะขายคัมภีร์พวกนี้ที่ร้านไอเทมเวทย์มนตร์ อ๋อ แน่ล่ะผมขายแน่ มันคงจะได้เงินมาเป็นจำนวนมาก ยังไงคัมภีร์พวกนี้ก็ราคาแพงอยู่แล้ว

ความตั้งใจแรกที่สุดคิดจะขายมันเพื่อรับเงินก้อนใหญ่กลับดับวูบไปเพราะผมไม่แน่ใจนัก คำแนะนำของนักเขียนนั้นอาจจะดีแต่มักนำไปสู่เหตุการณ์ต่างๆมากมาย มันแนะนำผมว่า ควรจะขายคัมภีร์เพื่อหาเงิน

ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นคือ การที่ผมโดนกดราคา

เนื่องจากผมไม่รู้ราคากลางตลาดดังนั้นพวกเจ้าของร้านก็คงพยายามจะกินหัวผมที่ไม่รู้ราคาที่แท้จริงของคัมภีร์เวทย์

แต่ผมจำคำพูดที่ไดรัสพูดได้อย่างชัดเจนที่บอกว่า :

'ปราสาทจอมมารนี่มันสุดยอดจริงๆ แม้แต่คัมภีร์เวทย์ระดับต่ำก็ยังราคาแพงกว่าเงินเดือนของผมเสียอีก '

คัมภีร์ระดับต่ำนั้นราคาแพงกว่าเงินเดือนของทหารม้ายศร้อยโทแห่งจักรวรรดิ

ว่าแต่ เงินเดือนพวกทหารม้าร้อยโทนี่เท่าไหร่กันนะ ?

ในฐานะ(เคลมตัวเอง)ที่ผมนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง แฟนตาซียุคกลาง ,ผมรู้เรื่องนี้อยู่

โดยมากแล้วก็มักจะนิยามกันว่า กี่เหรียญโกลด์ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อเลี้ยงครอบครัวสี่คน เช่นเดียวกันกับเงินเดือนที่คนธรรมดาได้ในแต่ละเดือนนั่นแหละ

ผมเป็นคนเขียนมันเองแหละ ผมเลยรู้

ในนิยายเรื่องนี้ ผมได้เขียนเอาไว้ว่า หนึ่งโกลด์นั้นเท่ากับค่าอาหารของครอบครัวขนาดสี่คน และสำหรับคนธรรมดาทั่วไปนั้นที่ทำงานก็จะได้เงินมา 2 โกลด์ต่อเดือน

ดังนั้น ผมคิดว่า 1  โกลด์  = 1 ล้านวอน ( 730 $ = 26,000 บาท) เพื่อให้เข้าใจง่ายผมจะแปลงหน่วยแบบนี้ละกัน

แล้วครอบครัวที่มีสี่คนจะใช้ชีวิตด้วยเงินหนึ่งล้านวอนต่อเดือนได้ยังไงกันล่ะ ? เจ้าพวกนั้นไม่ต้องกินข้าวกันหรือยังไง ? บ้านเราใช้อย่างน้อยๆก็เกือบ 400$ ไปกับอาหารแล้วรู้ไหม ?

ผมได้รับความเห็นแบบนั้นเสมอแต่ก็ปล่อยผ่านไป

จำนวนนั้นน่ะมันไม่ใช่ค่าครองชีพ มันเป็นแค่ค่าอาหารเฉยๆไง มันยังไม่นับรวมค่าประกันสังคม ประกันสุขภาพ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารอื่นๆในโลกใบนี้ด้วยไง๊!

ตัวผม(เคลมตัวเอง)ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ แฟนตาซียุคกลางจึงตอบว่า :

ไอ้พวกที่มันค้นคว้าแบ็คกราวประวัติศาสตร์อย่างจริงจังน่ะมันพวกมือใหม่เฟ้ย !

มันมีอยู่นะเฟ้ย อะไรที่มองไม่เห็นหากไม่ทำหัวให้โล่งไว้ก่อนน่ะ

ผมล่ะเสียใจจริงๆกับคนที่ไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับความงดงามของแฟนตาซียุคโลก โลกเวทย์มนตร์ , อัศริว โครงสร้างทางสังคมที่ไม่มีวิทยาศาสตร์เนี่ย

ผมใช้ชีวิตด้วยแนวคิดดังนี้ :

เวลาพูดถึงแฟนตาซียุคกลาง ให้โฟกัสไปที่ ส่วนของแฟนตาซี ไม่ใช่ยุคกลางเฟ้ย !

เข้าใจไหม มันคือ ‘แฟนตาซี’ ในธีมยุคกลาง ไม่ใช่ ยุคกลางในธีมแฟนตาซี !

ทำไมคนส่วนมากไม่เข้าใจนะ ยุคกลางไง! แบบว่า มันคือคำย่อไว้ต่อท้ายไง!

ถึงอย่างนั้นแล้ว เราจะทำยังไงกับ  OO ที่มีเซตติ้งของ  XX ล่ะ, lol?

ก็เจนเร แฟนตาซียุคกลางนะสร้างขึ้นด้วยแนวความคิดผิวเผิน , แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเราตอนนี้น่ะมันเป็นโลกสุดแฟนตาซีที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องนักกับยุคกลางยังไงล่ะ !

…เห็นไหมว่า ความน่าอัศจรรย์มันคนละเรื่องกันเลยน่ะ

เอาเหอะ มาขายคัมภีร์เวทย์แล้วใช้ชีวิตรอดต่อไปดีกว่า

ผมที่ไม่ได้เป็นทั้งพ่อมด ทั้งอัศวินแถมยังมีความสามารถในการสั่งการปีศาจอีก แต่ทว่าผมน่ะเป็นเจ้าชายปีศาจที่หล่นปุลงมาอยู่ในเมืองหลวงจักรวรรดิอย่างกาเดียม ซึ่งไม่มีปีศาจอยู่ที่นี่สักตัว

“….…ขอโทษนะครับ ช่วยบอกทางผมหน่อยได้ไหม ?”

“…หา ? อ๋อ บอกทาง ?”

ผมถามคนที่ผ่านไปผ่านมา ที่ดูจะเขินๆตอนที่ผมคุยด้วย นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

“อ๋อ ! นายหลงทางสินะ ?”

ไม่หรอก , เอ่อ  ,นิดหน่อยมั้ง

คนไปร้านอุปกรณ์เวทย์มนตร์ก็คือ พ่อมดกับนักผจญภัย

ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่นิยายแนวผจญภัยถึงจะมีนักผจญภัยอยู่จริงแต่ก็ไม่ได้อธิบายไปหรอกว่า พวกเขาทำอะไรบ้าง

พวกเขาก็คงมีงานทำมั้ง แต่ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน

…พอลองมาคิดๆดู เจ้าพวกนักผจญภัยนี่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ยังไงกันนะ ? พวกเขาได้เควสมาจากกิลด์นักผจญภัย ให้กำจัดมอนสเตอร์เหรอ ? มันมีสิ่งที่เรียกว่า กิลด์นักผจญภัยจริงๆสินะ ?

ก็ในเมื่อมีนักผจญภัย แต่ผมไม่ได้วางเซตติ้งเลยว่าจะได้อะไรหรือมีไปทำไม

หากใครเอะใจตรงนี้ก็จะรู้ทันทีเลยว่า มันแปลกๆ

ตอนที่ผมมาคิดอยู่ว่า นักผจญภัยหาเงินได้ยังไง ,ก็เห็นจะมีแต่วิธีเดียวนั่นคือ สำรวจดันเจี้ยนและกำจัดมอนสเตอร์

ถ้านั่นเป็นวิธีที่นักผจญภัยหาเงินแล้วล่ะก็ มันก็เป้นปัญหาแล้วล่ะ

ก็ในเมื่อมีกองทัพอยู่แล้ว แล้วทำไมพวกฟรีแลนซ์อย่างนักผจญภัยต้องไปทำอะไรอย่างกำจัดมอนสเตอร์ด้วยล่ะ ? หรือประเทศอย่างที่จะใช้เอ้าท์ซอสส่วนตัวในการรักษาความปลอดภัยให้พ้นจากรังและการบุกเข้ามาของพวกมอนสเตอร์เหรอ ? แล้วประชาชนจะจ่ายภาษีไปเพื่ออะไรกันล่ะ?

แม้แต่นักรบผู้กล้าอย่าง อาร์โทเรียส(Artorius)เองที่เป็นคนฆ่าจอมมาร แต่แล้วพวกจักรวรรดิและกองทัพล่ะ พวกนั้นที่มีกำลังทหารมากเพียงพอที่จะรับมือกับกองทัพปีศาจได้ ใช้กิลด์นักผจญภัยแก้ปัญหามอนสเตอร์แทนงั้นเหรอ ? แล้วพวกทหารจะมีไว้ทำไมกันล่ะนั่น?

แล้วถ้าหากกองทัพนั้นคอยจัดการมอนสเตอร์ให้ มันก็ต้องไม่มีเควสหรือภารกิจส่งมาจากกิลด์นักผจญภัยใช่ไหม แล้วพวกนักผจญภัยจะหาเงินได้ยังไงกัน?

เอาล่ะ ถึงโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยดันเจี้ยนให้นักผจญภัยปล้นชิงก็เถอะ แต่แบบนั้นจะไม่แปลกไปหน่อยรึ ? ทำไมพวกไอเทมเวทย์มนตร์หายากแบบนั้นที่นอนกลิ้งอยู่ในดันเจี้ยน ถึงได้ไม่มีประเทศไหนอ้างสิทธิ์เป็นของตัวเองล่ะ ? ปกติแล้วไม่ได้ยึดให้เป็นสมบัติชาติเพื่อไม่ให้นักผจญภัยผูกขาดมันไว้กับตัวเองหรอกเหรอ ?

ไม่ใช่ว่า การมีอยู่ของนักผจญภัยนั้น โดยตัวมันเองเป็นว่าเป็นจุดบั้คในสามัญสำนึกเซตติ้งโลกนี้หรอกรึไง ?

หากจะมีใครใส่ใจในแง่ความแม่นยำทางประวัติศาสตร์สักหน่อยก็จะสะดุดใจเรื่องนี้ เอาเข้าจริงเรื่องนี้มันกวนใจผมชะมัด

แล้วพอคิดมาถึงจุดนี้ มันคือโลกที่ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมเลยพยายามเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

เลิกคิดเรื่องนี้ดีกว่า ดูเหมือนว่าพวกนักผจญภัยผู้หิวโหยจะกลายเป็นขอโทษ รับเศษเงิน และหากนักผจญภัยไม่มีอาชีพก็อาจไปเป็นโจรปล้นชิงก็ได้

และสิ่งเดียวที่ผมสนใจนั่นก็คือ การที่ผมจะต้องไม่โดนกดราคาจากร้านอุปกรณ์เวทย์ ผมควรจะได้อย่างน้อยก็คัมภีร์ละ 1 โกลด์

ผมวางแผนที่จะสบตาจริงจัง ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาเกินไปก็แค่จะเรียกร้องขอราคาที่เหมาะสม

แต่ทว่าหากเจ้าพวกนั้นมันมาบ่นนู่นบ่นนี่เรื่องคุณภาพ ผมจะไม่ขาย

หลังจากได้เงินแล้วผมว่า จะไปหาอะไรกิน ผมหิวสุดๆไปเลย ต่อจากนั้นก็ไปหาโรงแรม แล้วก็จัดระบบความคิดตัวเองเสียใหม่

มีข้อดีอยู่เหมือนกันกับ คำแนะนำนักเขียนที่เห็นชัดเจนเลยว่า ผมควรจะทำอะไร แม้ว่าคำแนะนำนั้นอาจไม่ถูกต้องก็ตาม

หากคำแนะนำนั้นเป็นคำแนะนำที่ดีอย่างไม่มีเงื่อนไข ผมก็แค่ถอดสมองแล้วก็ปล่อยไหลไปตามที่มันบอก

โอ้ะ นั่นสินะสาเหตุที่ว่าทำไมพวกนั้นถึงใส่กับดักมาด้วย ? พวกนั้นอยากให้ผมรู้จักคิดเองสินะ ? คงอยากให้ผมดิ้นรนกระเสือกกระสนหรืออะไรสักอย่างสินะ ?

ในเนื้อเรื่องบทหลัก ผมใส่รายละเอียดของเมืองหลวงกาเดียมค่อนข้างเยอะ

อ่าไม่แฮะ อันที่จริงมันก็ห่างไกลจากการที่ใส่รายละเอียดหินอิฐทุกก้อนอยู่แหละ แต่ก็เป็นรายละเอียดเฉพาะพื้นที่น่ะนะ

ในเรื่องเซตติ้งของสถานที่ในจินตนาการเนี่ย มันเป็นอะไรที่ยาก ยากมากๆ เพราะมีความเป็นไปได้ที่ผมจะทำพลาดแล้วสร้างออกมาได้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ แล้วอาจจะมางงภายหลังด้วย

ดังนั้นแล้ว ผมจึงบอกไปเลยว่า เมืองหลวงกาเดียมนั้นใกล้เคียงกับกรุงโซล

แล้วมันคล้ายกันยังไงล่ะ ?

เอาล่ะ ผมขอสารภาพละกัน มันคือ โซล ในอีกชื่อหนึ่ง

มันคือ นิยามในรูปแบบจักรวรรดิ

'แม่น้ำสายใหญ่ไอรีน(Irene)ทอดยาวผ่านเมืองหลวงกาเดียม  แบ่งเมืองหลวงออกเป็นส่วนเหนือที่พระราชวังตั้งอยู่ และส่วนใต้ที่มีวิหารตั้งอยู่

แม่น้ำสายนั้นนั้นเป็นพรมแดนกั้น '

เห็นรึยัง ?

กังนัม(Gangnam)กับ กังบุกไง (Gangbuk)

'ใจกลางฝั่งเหนือของกาเดียมนั้นมีพระราชวังเอมเพอราทอสตั้งอยู่ (Imperial Palace Emperatos)'

หรือก็คือ พระราชวังจองโน(Jongno)นั่นแหละ โอเค มันอาจไม่ได้ใหญ่เท่ากับพระราชวังคยองบุกกุก (Gyeongbokgung Palace), ถึงอย่างนั้นจองโนก็ถือว่าเป็นพระราชวังอยู่ดีแหละ

'ในทางตอนใต้ที่เป็นเขตอีเรเดียนนั้น( Eredian district) , มีวิหารหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญ

รวมถึงมีสถาบันการศึกษาขนาดมหึมาที่คลาคร่ำไปด้วยคนหนุ่มสาวผู้มีความสามารถ '

หรือก็คือ วิหารนั้นก็คือ ย่านกวานัก(Gwanak District)

ส่วนอีเรเดียนก็คือเขตกวานักนั่นแหละ

สุดท้ายผมก็เลยทำให้เมืองหลวงกาเดียมนั้นมีแผนผังพื้นที่เหมือนกันกับโซล ต่างกันแค่ชื่อเฉยๆ เปลี่ยนเขต ย่านพื้นที่ให้กลายเป็นชื่อที่ฟังดูยุคกลาง

ต่อจากนี้จะเป็นประโยคจริงจากในนิยาย

[ปาร์ตี้ตัวละครหลักเร่งฝีเท้าจากเขตเกเฮนน่าไปยังเขตอีเรเดียน  ซึ่งนั่นเป็นผลจากการฝึก ]

แต่ภาพจริงๆที่โผล่ขึ้นมาในหัวผมก็คือ :

'ปาร์ตี้ตัวละครหลักวิ่งจากเขตทงจัก(Dongjak) ไปยังเขตกวานัก '

มันก็เป็นอะไรประมาณนี้แหละ ผมก็เลยไม่ต้องการแผนที่อันอื่น ผมสามารถจินตนาการแผนที่กรุงโซลแล้วเปลี่ยนชื่อเขตแทน

มันก็เลยสะดวกสบาย แถมยังรู้สึกดีกับตัวเองด้วย

หากจะต้องวาดแผนที่ในจินตนาการขึ้น แล้วผู้อ่านไม่ค่อยได้ใส่ใจสนใจนักหรอก  สมัยประถมผมทำนะ แล้วก็ยังไง ไม่มีใครสนใจไงเรื่องนั้นฝังใจผมอยู่

แผนที่ในโลกจินตนาการนั่นน่ะมันสำหรับนักเขียนไม่ใช่นักอ่าน เหตุผลที่กาเดียมนั้นเหมือนโซลเกือบทั้งหมดก็เพราะมันเป็นความต้องการของผม

วิหารที่ว่า ก็อยู่ใน กวานัก ส่วนพระราชวังก็อยู่ใน จองโน

สถานที่ที่ผมเทเลพอร์ทไปก็คือ เขต อัล ไลการ์(Al Ligar District) ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเขตเป็น อาร์โทเรียส เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้กล้า แล้วก็สร้างรูปปั้นให้เขาด้วย

แล้วเขตอัลไลการ์ที่ต่อมากลายเป็นชื่ออาร์โทเรียสอยู่ที่ไหนน่ะเหรอ ?

ก็เขตยงซาน(Yongsan)ไง

และถึงจะมีภูมิประเทศที่เหมือนกันแต่อาคารบ้านเรือนต่างๆมันเปลี่ยนไปสิ้นเชิงเหมือนกับเป็นย่านที่ผมไม่เคยไปมาก่อน

ผมมาถึงยงซาน แล้วมุ่งหน้าไปที่ย่านการค้า ที่เคยเป็นตลาดการค้าขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก มาก่อน

ถึงจะเป็นสถานที่ในจินตนาการ แต่มันก็ยังคงเป็นสถานที่ขายของอยู่ดี

“พวกคัมภีร์ขยะนี่มันอะไรกันห้ะ ? ไอ้หนู ,ไปได้มาจากไหนกัน ?”

จากคำพูดแรกที่ออกจากปากเจ้าของร้านผมก็กลับออกมาที่ถนนพลางคิดว่า อยู่ๆผมคงไม่สามารถไปซื้อขายกับเจ้าของได้โดยตรง ผมจำภาพของพวกนักเลงได้ขึ้นใจ เขาพูดงึมงัมอะไรสักอย่างที่ผมได้ยิน

ทุกอาคารรอบข้างในย่านนี้ต่างเป็นร้านค้า

มีคนผ่านไปมามากมาย กวาดสายตาดูสิ่งต่างๆ พวกเขาใช่นักผจญภัยหรือเปล่า  ?

ว่าแต่การเป็นนักผจญภัยนี่หาเงินดีกำไรงามไหมนะ ? หรือมันจะมีวิธีการรายได้ที่ผมไม่รู้อยู่ด้วย?

เอาเข้าใจต่อให้มีวิธีนั้นอยู่จริงก็คงมีไม่กี่คนหรอกที่หาเงินได้เยอะ

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เหมือนกับมีใครบางคนมาเติมเต็มพลอตโฮลให้กับผม

เสียงเจี๊ยวจ้าวดังไปทั่วทุกหัวมุมแห่งนี้

“โอ้ ,นักผจญภัยวัยเยาว์ ! ข้าเปิดร้านแล้วนะ !

เฮ้ มาดูนี่สิ ร้านเปิดแล้ว ข้าขายแค่ครึ่งราคาเองนะสนใจไหม ?”

“โอ้ว , เอ็งจะเอาแต่ดูแล้วจับนู่นจับนี่ไม่ซื้ออะไรเลยงี้รึไง ? ใจคอแกไม่ซื้อสักชิ้นเลยเรอะ ?เหอะ  , แกนี่น่าหัวร่อจริงๆ

มานี่ๆ, ตามข้ามานี่ดิ้ เอ้ย , มาเหอะน่า ,ห้ะ ,ไม่ยอมมาด้วยกันเรอะ ? ไม่ได้โว้ย !

เดี๋ยว่อนดิ ใครทำร้ายแกกัน ? ห้ะ ? อย่ามาทำตัวนักเลงกับข้านะเว้ย  ? โอ้ย  เจ็บเฟ้ย

อยากให้ข้าโชว์ให้ดูใช่ปะ ว่านักเลงของจริงมันยังไง ?หาาา ? อยากให้จัดให้จริงๆใช่ไหม ?!”

“คืนเงินงั้นเรอะ ? ดูไอ้งั่งโน่นดิ้ ขี้รดเกงในยังไม่เช็ดแล้วยังจะคลานมาร้องขอเงินคืนเรอะ ?

หาเรื่องสินะแกน่ะ ,หา ? ไสหัวไปได้แล้วไป๊ !”

“นี่ , พี่ชาย  เมื่อกี้พี่จิกเล็บเป็นรอยเห็นปะ ! แล้วข้าจะขายให้ใครต่อละห้ะ ? มาๆ ข้าจะลดราคาให้ครึ่งนึงแล้วซื้อไปด้วย ! นี่ข้ายอมตัดราคาตัวเองแล้วนะรู้ปะ ?

อะไรยังไม่ยอมซ์้ออีกเรอะ ? นี่จะเอาไง ? จะให้ข้าเรียกยามไหม ? มาดูซิใครจะเข้าคุกกัน หา? แน่ใจแล้วเรอะ? มั่นใจเรอะ ? แกมาจากไหนวะ?

อาแก้น(Argand)เรอะ? รู้จักลูกพี่แรนด์ปะวะเอ็งนะ ? ไม่เคยได้ยินมากน่อรึไง ? เฮ่อ ไอ้ห่านี่แม่ง ! เอ้านี่, เอาไปก่อนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่ อย่าทำให้ข้าอารมณ์เสียนะเว้ย ”

ไม่อะ นี่มันอะไรกันเนี่ย ?

ที่แบบนี้น่ะเหรอ ยงซาน ?

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมมันคือ ยงซานเวอชั่นยุคกลาง

“นี่ที่นี่ทุกคนเป็นกันแบบนี้เองเหรอ ?”

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อตัวหนึ่ง

“เอ่อ เอิ่ม คือ ผมน่ะ … กำลังมองหาสถานที่ ….”

ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ถูกกลืนกิน

– เฮ้ย อย่าไปสบตา พวกนั้น มันมีไอ้ชั่วที่พยายามจะแกะห่อ ไม่ซื้อแล้วยังขโมยไปอีก

– เจ้าพวกนั้นน่ะมันพวกอดีตนักผจญภัย สู้เก่งทั้งนั้น ถ้าจะทะเลาะกับพวกมันมีหวังโดนหักแขนหักขาแน่

แม้แต่คนที่คุ้นเคยที่นี่ก็ยังไม่มาตามลำพัง

พอผมนึกถึงยงซานที่อยู่ในหัวของผม  และที่นี่ผมกลายเป็นเด็กดื้ออายุ 17 ปีที่พยายามจะขายคัมภีร์เวทย์จากดินแดนปีศาจให้กับคนแย่ๆที่นี่

ยงซาน คำเดียวเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกว่า สิ่งที่ผมพยายามมา มันไม่น่าประสบผล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด