บทที่ 39: โรงแรมเฟ่ยหลง
บทที่ 39: โรงแรมเฟ่ยหลง
ในอีกสองวันต่อมาโม่ซิ่วนั้นรู้สึกผ่อนคลายมาก เขาได้ไปเที่ยวทุกที่กับแม่ของเขาและรู้สึกสบายใจมาก
โม่ซิ่วอาจไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนานจากไปที่เมืองหยานจิ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องการใช้เวลากับแม่ของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และวันนี้ก็เป็นวันที่ 14 ของวันหยุดของเขา ซึ่งโม่ซิ่วจะต้องเดินทางไปที่หยานจิ่งในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงเก็บของโดยที่แม่ของเขาก็ช่วยเขาด้วย
ในขณะนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อโม่ซิ่วเปิดประตูออกไปเขาก็เห็นว่าเป็นเจิ้งอี้ แต่ก่อนที่เจิ้งอี้จะทันได้พูดโม่ซิ่วก็ชิงปิดประตูไปทันที
เจิ้งอี้ตะโกนออกมาจากด้านนอกว่า “เฮ้! โมซิ่ว! ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย!”
โม่ซิ่วตอบว่า "ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่เรอะว่าสองสามวันนี้นายไม่ต้องมาหาฉันน่ะ!"
เจิ้งอี้จึงเคาะอีกสองสามครั้งแล้วพูดว่า “เร็วเข้า เปิดประตูเถอะ วันนี้ฉันมีนัดกับเย่เฉียนและหลิวชิงหยูนะ”
จากนั้นโม่ซิ่วก็จําได้ว่าเขาต้องการเลี้ยงข้าวทั้งสองคนนั้นมาโดยตลอด แต่เขาก็ไม่เคยได้ทำเลย
หลังจากที่โม่ซิ่วเปิดประตู เจิ้งอี้ก็เข้ามาและวิ่งไปที่โซฟาเพื่อจะฟ้องลี่หยวน
“คุณป้าครับ โม่ซิ่วน่ะมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนแท้ๆ แต่เขากลับทำกับผมโดยการที่ปล่อยให้ผมอยู่ข้างนอกคนเดียวและพยายามจะตัดเพื่อนที่นัดว่าจะไปกินข้าวด้วยกันวันนี้ด้วยครับ!!”
หลี่หยวนนั้นรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโม่ซิ่วและเจิ้งอี้ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าเขานั้นล้อเล่น
เธอแสร้งทําเป็นโกรธและพูดกับโม่ซิ่วว่า “โม่ซิ่ว ทำไมลูกถึงทำแบบนี้ล่ะ?! รีบไปหาเพื่อนของลูกเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เจิ้งอี้มองไปที่โม่ซิ่วทันที ในขณะเดียวกันโม่ซิ่วก็มองไปที่แม่ของเขา เพราะวันนี้เขาคงไม่สามารถไปเที่ยวกับแม่ของเขาได้แล้ว
ดังนั้นโม่ซิ่วจึงเก็บของให้เป็นระเบียบอีกสักพักก่อนที่จะตามเจิ้งอี้ออกไป
หลังจากขึ้นรถ โม่ซิ่วจึงถามว่า "ทําไมนายถึงต้องชวนพวกเขาไปกินข้าววันนี้ด้วย?"
เจิ้งอี้พูดอย่างประชดประชันว่า “เอ้า! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ? นายมีเวลามากรึไง?! จู่ๆนายก็หายตัวไปเป็นสิบวันพอนายย้ายบ้านมานายก็เอาแต่เที่ยวกับแม่ ถ้าวันนี้ฉันไม่บังคับให้นายมากับฉัน นายก็คงไม่ได้เจอกับพวกเขาอีกแน่ๆ”
โม่ซิ่วรู้ว่าครั้งนี้เขาผิดดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุยแทน "แล้ววันนี้พวกเราจะไปกินข้าวที่ไหนล่ะ?"
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจิ้งอี้จึงหยิบการ์ดหนึ่งออกมาอย่างภาคภูมิใจและยื่นให้โม่ซิ่ว
"นี่มันบัตรสมาชิกระดับไดม่อนของโรงแรมเฟ่ยหลงไม่ใช่เหรอ?"
โม่ซิ่วตกใจมาก เพราะโรงแรมเฟ่ยหลงนั้นเป็นโรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมืองชุน ถ้าหากพ่อของเจิ้งอี้มีบัตรใบนี้โม่ซิ่วก็คงจะไม่สังสัยอะไร แต่ทำไมเจิ้งอี้ถึงได้มีบัตรใบนี้ได้?
"เจิ้งอี้ นี่นายขโมยบัตรของพ่อนายมารึเปล่า?"
เมื่อเจิ้งอี้ได้ยินแบบนี้ เขาจึงทําตัวแปลกไป
“นี่มันบัตรของฉัน เมื่อวานฉันส่งข้อความไปถามเย่หยวนว่ามีร้านอาหารอะไรอร่อยๆแนะนําบ้างไหม หลังจากนั้นเขาก็ส่งบัตรนี้ให้กับฉัน”
โม่ซิ่วยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่คิดเลยว่านายจะคุยกับเย่หยวนด้วย นี่พ่อของนายสั่งให้นายคุยกับเย่หยวนเยอะๆรึเปล่า?”
เมื่อโดนโม่ซิ่วมองออก เจิ้งอี้จึงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่ใช่เรื่องของนายหรอกน่า! นอกจากนี้บัตรสมาชิกของพ่อฉันก็เป็นแค่บัตรแพลตตินั่มเท่านั้น ถ้าฉันเอาบัตรใบนี้กลับไปที่บ้าน สีหน้าพ่อของฉันจะต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ ฮี่ๆๆๆ”
โม่ซิ่วถอนหายใจ เจิ้งอี้นั้นไร้ยางอายมากจริงๆ
พวกเขาเร่งความเร็วไปจนถึงโรงแรมเฟ่ยหลง ซึ่งหลิวชิงหยูก็กำลังรออยู่ที่นั่นแล้ว
โม่ซิ่วและเจิ้งอี้ลงมาจากรถและเดินเข้าไปเพื่อต้อนรับเขาทันที
โม่ซิ่วเป็นคนแรกที่พูด “ไงชิงหยู ขอโทษที่ทําให้นายต้องรอนะ รีบเข้าไปกันเถอะ!”
หลิวชิงหยูยังคงสงบนิ่งและสุภาพเช่นเคย หลังจากนั้นเขาได้พูดว่า “หืม? นายพูดอะไรน่ะ? ฉันเพิ่งมาถึงเองนะ”
หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม ทันทีที่พวกเขาเข้าไปพวกเขาก็เห็นความพิเศษปรากฎอยู่ทั่วทุกที่
มันต่างจากห้องโถงใหญ่ของร้านอาหารอื่นๆ เพราะสถานที่แห่งนี้มีเพียงพนักงานต้อนรับกับห้องโถงที่กว้างขวางและโซฟาที่ทอดยาวเป็นแถว
โรงแรมเฟ่ยหลงนั้นไม่มีบาร์สําหรับแขก แต่ทั้งล็อบบี้นั้นถูกใช้เพื่อรับรองแขกเป็นพิเศษ และเนื่องจากพวกเขามีระบบสมาชิกจึงมีเฉพาะสมาชิกเท่านั้นที่สามารถได้สิทธิพิเศษที่มากขึ้น
เจิ้งอี้เดินตรงเข้าไปคุยกับแผนกต้อนรับในขณะที่โม่ซิ่วและหลิวชิงหยูนั่งบนโซฟาและพูดคุยกัน
โม่ซิ่วพูดว่า “ชิงหยู ขอบคุณที่ช่วยฉันในช่วงที่ฉันไม่อยู่นะ”
หลิวชิงหยูผายมือและพูดว่า “มันเป็นไรหรอก พวกเราสามคนก็เป็นเพื่อนกัน ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ฉันก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
ก่อนที่โม่ซิ่วจะทันได้ตอบกลับ เจิ้งอี้ก็เดินกลับมาแล้ว
โม่ซิ่วถามว่า "เสร็จแล้วเหรอ"
“เรียบร้อย พวกเราได้ห้องที่ดีที่สุด เพราะงั้นพวกเรารีบขึ้นไปก่อนดีกว่า”
โม่ซิ่วมองไปที่ทางเข้าซึ่งเย่เฉียนนั้นยังมาไม่ถึง
เจิ้งอี้จึงเข้าใจทันทีและพูดกับหลิวชิงหยูว่า "ชิงหยู นายกับฉันน่ะขึ้นไปก่อนเถอะ ให้โม่ซิ่วรอเย่เฉียนอยู่ที่นี่แหละ"
“อืม พวกนายขึ้นไปก่อนเถอะ ฉันจะอยู่รอเอง”
ในขณะเดียวกัน เย่เฉียนก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่พร้อมกับเอามือจับเข่าของเธอด้วยท่าทีที่หอบอย่างหนัก และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเธอก็ได้เห็นโม่ซิ่ว
เธอวิ่งไปหาโม่ซิ่ว แต่เมื่อเธอยืนอยู่ตรงหน้าโม่ซิ่ว เธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะต้องพูดอะไรดี
เธอโค้งขอโทษและพูดว่า "รุ่นพี่โม่ ขอโทษนะคะที่มาสาย"
โม่ซิ่วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและช่วยเย่เฉียนให้เงยหน้าขึ้น “อะไรกันๆ ไม่ต้องขอโทษหรอก วันนี้ฉันมาเลี้ยงอาหารพวกเธอนะ ทําไมเธอจะต้องขอโทษด้วย”
เย่เฉียนยืดตัวตงและไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร
โม่ซิ่วยิ้มและพูดว่า “รีบไปกันเถอะ”
เย่เฉียนจึงเดินตามหลังโม่ซิ่วและจัดการผมเพ้าของเธอทันที
...
บนชั้นแปด ในห้องที่สวยงามห้องหนึ่ง...
อย่างที่เจิ้งอี้พูดเอาไว้ นี่เป็นห้องที่ดีที่สุด เพราะไม่เพียงแต่มีโต๊ะทานอาหารเท่านั้น แต่ยังมีห้องนอน เลานจ์ และมีแม้กระทั่งสระว่ายน้ำอีกด้วย ซึ่งมันแทบไม่ต่างอะไรกับวิลล่าลอยฟ้าเลย
ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในห้อง อาหารก็พร้อมเสิร์ฟบนโต๊ะแล้ว ซึ่งโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหาร แต่โม่ซิ่วนั้นไม่สามารถแม้แต่จะเรียกชื่อของอาหารได้แม้แต่จานเดียว
ในตอนนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนกําลังคุยกันด้วยความตื่นเต้น
โม่ซิ่วและเจิ้งอี้ขอบคุณหลิวชิงหยูและเย่เฉียนอีกครั้ง ที่ช่วยพวกเขาในตอนที่พวกเขาเผชิญกับความยากลำบาก
เจิ้งอี้ถามว่า “ชิงหยู นายจะไปเข้าเรียนที่ไหนต่องั้นเหรอ? คะแนนของนายน่าจะมากพอที่จะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหยานจิ่งได้ ใช่มั้ย?”
หลิวชิงหยูยิ้ม “ใช่ คะแนนของฉันสูงพอ แต่ฉันน่ะไม่ชอบมหาวิทยาลัยหยานจิ่ง ฉันเลยจะไปที่มหาวิทยาลัยวู่แทน”
โม่ซิ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่คนที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิ่งได้ แต่กลับเลือกที่จะไม่ไปที่นั่น
“ทำไมล่ะ? นายไม่ชอบมหาวิทยาลัยหยานจิ่งตรงไหนงั้นรึ?”
หลิวชิงหยูส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยหยานจิ่งแย่นะ แค่ฉันไม่อยากไปต่อที่นั่นเพราะเหตุผลส่วนตัวเท่านั้นเอง”
เมื่อเห็นว่าหลิวชิงหยูไม่เต็มใจที่จะเล่า โม่ซิ่วจึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม
เมื่อเห็นว่าเย่เฉียนยังคงเงียบอยู่ โม่ซิ่วจึงถามว่า “เย่เฉียน หลังจากที่เธอขึ้นม.6 แล้ว เธอได้คิดเอาไว้บ้างรึยังว่าจะไปเข้าเรียนต่อที่ไหน?”
เจิ้งอี้หยอกล้อ “ใช่ๆน้องเฉียน น้องจะไปเรียนต่อที่ไหนหรอ? หรือว่าจะไปที่มหาวิทยาลัยหยานจิ่งเพื่อไปต่อที่เดียวกับโม่ซิ่วรึเปล่าน้า?”
โม่ซิ่วนั้นต้องการให้เย่เฉียนผ่อนคลาย แต่หลังจากที่ได้ยินคําพูดของเจิ้งอี้ เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกัน เย่เฉียนได้มองไปที่โม่ซิ่วและก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน โทรศัพท์ของเย่เฉียนก็ดังขึ้น ซึ่งเธอหยิบมันออกมาและวางสายทันที
โม่ซิ่วถามว่า “เป็นอะไรรึเปล่า? ใครโทรหาเธอหรอ?”
เย่เฉียนส่ายหัวและพูดเบาๆว่า “เปล่าค่ะ แค่เบอร์แปลกเฉยๆค่ะ”
ก่อนที่เย่เฉียน ทันได้พูดจบก็มีสายโทรศัพท์ดังเข้ามาอีกสายหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเย่เฉียนดูกังวลเล็กน้อย โม่ซิ่วจึงพูดว่า "ไม่เป็นไรหรอก เธอออกไปรับสายก่อนก็ได้"
เย่เฉียนพยักหน้าและเดินออกไปข้างนอกเพื่อรับโทรศัพท์
...
อาหารมื้อนี้จบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นพวกเขาสี่คนเดินก็ออกมาและเตรียมที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
เย่เฉียนก้มหน้าลงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและไม่กล้าพูดกับโม่ซิ่วเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันออกไป เธอกําหมัดแน่นและพึมพํากับตัวเองว่า “เย่เฉียน เธอนี่มันไม่ได้เรื่องเลย ทำไมเธอถึงไม่กล้าบอกลาพี่โม่ซะล่ะ!”
เนื่องจากพวกเขาจะออกจากเมืองชุนไปในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อเตรียมตัว
โม่ซิ่วที่เพิ่งถึงบ้าน จู่ๆโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น ดังนั้นเขาจึงหยิบมันออกมาและเห็นว่าคนที่โทรมาคือเย่หยวน
“ไงโม่ซิ่ว ฉันเพิ่งมาถึงโรงแรมเฟ่ยหลงเองนะ ทําไมนายถึงรีบกลับจังล่ะ?”
“ฉันแค่รีบกลับมาเก็บของและเตรียมตัวน่ะ ขอบคุณสำหรับอาหารวันนี้มากนะ”
“เฮ้ๆๆ ทําไมนายถึงต้องขอบคุณฉันด้วยล่ะ? เอาเถอะ นายไปจัดการเรื่องของนายต่อเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยโทรไปทีหลังก็แล้วกัน”
โม่ซิ่วไม่ได้คาดคิดเลยว่าเย่หยวนจะเดินทางไปที่โรงแรมเฟ่ยหลงด้วยตัวเองแบบนี้..