บทที่ 26 ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าเสียที
"ชูเหลียง เกิดเรื่องแล้ว.." หลินเป่ยที่จู่ๆ บุกเข้ามาในห้องก็ตะโกนออกมา
เขาดูตื่นตระหนกมาเมื่อวิ่งเข้ามาและเมื่อเขาเห็นฉากนี้ตาของเขาก็เบิกกว้าง
"โอ้ท่านซ่งก็มาหรือ อืม ที่นี่ดูคึกคักมากเลยนะ" หลินเป่ยแสดงความคิดเห็น
"ท่านมาที่นี่เพราะเหตุใด แล้วหลี่เยว่เล่า" ชูเหลียงถาม
"หลี่เยว่หายไปแล้ว" หลินเป่ยตอบกลับอย่างรวดเร็ว
"อะไรนะ" ชูเหลี่ยงอุทาน
"ข้าเฝ้าเขาอยู่ด้านนอก ทว่าข้างในไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลานานข้าจึงรู้สึกแปลกๆ ข้าออกสำรวจรอบๆ และพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่ ข้าไม่รู้ว่าหลี่เยว่หายไปอยู่ที่ใดแล้ว ข้าจึงรีบมาหาท่าน" หลินเป่ยอธิบาย
“แล้วท่านได้ยินเสียงผิดปกติอะไรบ้างหรือไม่” ชูเหลียงถาม
“ไม่เลย” หลินเป่ยส่ายหัว “ไม่มีวี่แววของพลังใดๆ หรือเสียงแปลกๆ แน่นอน ข้าสงสัยว่าเขาอาจจะแอบออกไปเอง แต่ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงต้องทําเช่นนี้
ชูเหลียงคิ้วขมวด "บางทีเขาอาจปิดบังเราอยู่ หลี่เยว่ก็อาจเป็นเหยื่อของซือถูเหยียน.. แต่เราไม่รู้ว่าที่อยู่ของเขา เราจะทําอย่างไรต่อไปดี"
"ข้า.. ข้าอาจช่วยได้" ซ่งชิงอี้พูดอย่างกะทันหัน
"ท่านมีวิธีหาตัวหลี่เยว่งั้นหรือ" หลินเป่ยและชูเหลียงต่างก็มองเธอ
"ใช่แล้ว" ซ่งชิงอี้พูดพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นและหยิบกระดาษสีทองเก่าๆ ครึ่งแผ่นออกมา มันดูว่างเปล่า แต่มีพลังชีวิตจางๆ แผ่ออกมา
เธอใช้มือขวาเลียนแบบการเคลื่อนไหวของการเขียนพู่กันและนิ้วของเธอเคลื่อนไหวเบาๆ บนกระดาษ ทันใดนั้นแสงสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นและเมื่อปลายนิ้วของเธอเต้นรํา คําก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
หลี่ เยว่
หลังจากเขียนชื่อเสร็จ ซ่งชิงอี้ก็โยนกระดาษครึ่งแผ่นนั้นขึ้นไปในอากาศ มันหมุนสามรอบในอากาศและดูเหมือนจะหาทิศทางได้ มันลงจอดด้วยแสงสดใสและลอยออกไปนอกหน้าต่าง
"ตามมันไป" ซ่งชิงอี้สั่งไปพลาง ไล่ตามไฟนําทางไปพลาง
"ต้องมีคนคนคอยดูเสี่ยวหยู่" ชูเหลียงชี้ไปที่เหยียนเสี่ยวหยู่
"ข้าจะดูเขาเอง" ครั้งนี้หลินเป่ยอาสา
ชูเหลียงพยักหน้าแล้วตามซ่งชิงอี้ออกไป
ในห้องเหลือเพียงเหยียนเสี่ยวหยู่และหลินเป่ยสองคน มองหน้ากัน
หลังจากเงียบไปสั้นๆ เหยียนเสี่ยวหยู่ก็ถามอย่างระมัดระวังว่า ถ้าอย่างนั้น.. ตอนนี้เราควรทําอย่างไรดี"
หลินเป่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า.. มาสั่งอาหารกันก่อนเถอะ
"เอ๊ะ? " เหยียนเสี่ยวหยู่ตกใจมาก
หลินเป่ยนอนอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายๆ "จากนั้นเราก็จะปลุกพวกเขาให้เล่นเพลงต่อไป!"
"..เอ่อนี่เป็นความคิดที่ดีหรือ" เหยียนเสี่ยวหยู่เกาหัวแล้วถาม "ข้ายังตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่หรือ"
"มีข้าอยู่ทั้งคน วางใจได้" หลินเป้ยตบไหล่เขาและพูดว่า "แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.. มันก็แค่อุบัติเหตุ หวังว่าครั้งนี้จะจบลงด้วยดี.."
...
ระหว่างนั้นย้อนกลับไปที่ฉากก่อนหน้า
ชูเหลียงและซ่งชิงอี้ตามกระดาษทองครึ่งเผ่นนั้นและบินออกจากเมือง
ระหว่างทาง เขาอดชื่นชมไม่ได้ว่า “วัตถุวิเศษชิ้นนี้ของท่านสะดวกเกินไป ตราบใดที่ท่านรู้ชื่อของเป้าหมาย ก็ไม่มีใครที่ท่านติดตามมิได้สินะ”
"มิได้ง่ายเพียงนั้น ระดับการบ่มเพาะของข้ายังไม่สูงพอ ดังนั้นข้าจึงสามารถติดตามได้ภายในขอบเขตของเมืองหยานเจียวเท่านั้น" ซ่งชิงอี้อธิบาย
“ก็ยังถือว่าดี” ชูเหลียงตอบ
"กระดาษทองคำนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ของข้ามอบให้ข้ามาเพื่อทําภารกิจนี้ให้สําเร็จ มันมีประโยชน์มากมาย แต่ข้ายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้" ซ่งชิงอีกกล่าวตอบ
ชูเหลียงตกอยู่ในความเงียบชั่วคราว
เธอมีอาจารย์ที่ดีนะ หือ เหตุใดข้าจึงรู้สึกเศร้ากันนะ
อย่างไรก็ตาม ชูเหลียงเข้าใจว่านี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของตี้หนิวเฟิ่งเท่านั้น ในนิกายฉูซาน การที่ศิษย์จะมีสมบัติวิเศษที่ได้รับจากอาจารย์ผู้สอนนั้นหายากมาก เว้นแต่ศิษย์จะมีพรสวรรค์หรือมีชื่อเสียง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่ยอดเขาหยินเจี้ยน แต่ประโยคนี้ยังคงเป็นจริง
แต่ในหมู่นิกายเซียนอื่นๆ การมอบสิ่งประดิษฐ์วิเศษให้ศิษย์เป็นเรื่องปกติมาก ปัญหาหลักอยู่ที่ความแตกต่างในเส้นทางการบ่มเพาะของนิกายต่างๆ โดยเฉพาะนิกายที่สอดคล้องกับกลุ่มสามชุดความคิดหลัก
ในนิกายเหล่านี้ ผู้ฝึกตนที่ปฏิบัติตามลัทธิขงจื๊อนั้นแตกต่างจากผู้ฝึกตนที่ปฏิบัติตามหลักคําสอนของอีกสองชุดความคิดอย่างสิ้นเชิง นอกจากการบ่มเพาะความสามารถทางจิตวิญญาณแล้ว ลัทธิขงจื๊อยังให้ความสําคัญกับความรู้และคุณภาพทางศีลธรรมมากกว่า ลักษณะนี้ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหอขุนนาง
ด้วยระดับการบ่มเพาะของซ่งชิงอี้ เธอจะไม่ได้รับความสนใจมากนักในนิกายเซียนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในห้องหอขุนนาง ความรู้และคุณธรรมที่โดดเด่นของเธออาจได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่และศิษย์ระดับสูงจนได้รับสิ่งของต่างๆ มาใช้
กระดาษสีทองค่อยๆ ช้าลง
ไม่นานนักมันก็หยุดที่จุดที่คุ้นเคย นั่นคือทะเลสาบหลังสำนัก
"นั่นหลี่เยว่" ซ่งชิงอี้พูดเบาๆ "เราอย่ารีบร้อน เราควรสังเกตก่อน"
หลังจากทั้งสองยืนยันตําแหน่งของหลี่เยว่แล้ว ซ่งชิงอี้ก็เก็บกระดาษวิเศษ ทั้งสองก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ท้องฟ้ายามค่ําคืนเงียบสงัด ในไม่ช้า พวกเขาก็พบร่างที่เรียวยาวริมทะเลสาบ
"เหราะเหตุใด..." ร่างผอมพึมพํากับผิวน้ํา
มองจากเสียงและรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว นี่เป็นหลี่เยว่จริงๆ
"เหตุใดเจ้าถึงพรากชีวิตคนไปมากมายเพียงนี้..." เสียงของหลี่เยว่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด "ความตายของเจ้าอยู่ในมือของข้า เจ้าสามารถมาฆ่าข้าได้ เหตุใดเจ้าถึงเอาชีวิตคนอื่นไปเช่นนี้เล่า"
ชูเหลียงมองเขาอย่างระมัดระวังและตาของเขาเปล่งประกาย "หือ"
อย่างที่เขาคาดไว้ หลี่เยว่ซ่อนความลับมาตลอด
หลี่เยว่กล่าวต่ออีกว่า "วันนั้นที่เจ้ามัดข้าไว้เพื่อทิ้งรอยแผลเป็นบนใบหน้าของข้า.. ข้ากลัวมาก.. ข้าดิ้นรนและผลักเจ้าลงทะเลสาบโดยมิได้ตั้งใจ ข้ากลัวมากและหนีกลับบ้าน”
"จากนั้นข้าคิดว่าเจ้าอาจจะได้รับอันตรายหลังจากที่เจ้าตกลงไปในทะเลสาบ.. เมื่อข้าต้องการที่จะกลับมา ข้าก็ได้ยินจากคนอื่นๆ ว่ามีคนจมน้ำในทะเลสาบ
"มันเป็นอุบัติเหตุ แต่ข้าทำให้เจ้าตาย”
"ทุกวันนี้.. ข้าอยู่กับความกลัวและหลีกเลี่ยงความจริง แต่ข้าหนีมันไม่พ้น”
"ซือถูเหยี่ยน ถ้าเจ้าเป็นผีจริง จงแก้แค้นข้าและเลิกแก้แค้นคนอื่นเถิด"
เสียงของเขาขาดๆ หายๆ ไปตามลมก็มันก็ยังคงมาถึงหูของชูเหลียงและซ่งชิงอี้
เห็นได้ชัดว่าหลี่เยว่เป็นคนทําให้ซือถูเหยียนจมน้ําตาย ไม่ใช่ซือถูเหยียนที่กระโดดน้ําฆ่าตัวตาย
ไม่น่าแปลกใจที่หลี่เยว่จะกลัวถึงเพียงนั้น เขาถูกทรมานมาหลายวันด้วยความรู้สึกผิดที่ฆ่าคนโดยไม่มีเจตนาและความกลัวต่อจิตวิญญาณแห่งความแค้น วันนี้เหมือนจะเป็นวันที่เขาไม่สามารถทนต่อความทรมานนี้ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะพูดคนเดียวมานาน แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ
หลี่เยว่นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นปากของเขาก็พึมพําออกมา "เจ้าไม่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองสินะ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขอไถ่บาปเอง..."
เขาลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบด้านล่าง..
..เขาต้องการจบชีวิตของตัวเอง
"หลี่---"
ซ่งชิงอี้กําลังจะห้ามแต่กลับถูกชูเหลียงลากกลับไป
"โปรดรออีกหน่อย" ชูเหลียงพูดเบาๆ
หลี่เยว่เดินมาจนถึงริมทะเลสาบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในเวลาไม่นานนักเขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและกระโดดลงไปในน้ำ
ในขณะที่ซ่งชิงอี้กําลังจะเข้าไปช่วย ลมหนาวก็กวาดไปทั่วพื้นที่นี้อย่างกะทันหัน
ลมกระโชกทําให้เกิดระลอกคลื่นในทะเลสาบที่เงียบสงบ ลมหนาวดูเหมือนจะบรรจบกันมาจากทุกทิศทุกทางมันล้อมรอบหลี่เยว่และผลักเขากลับมาที่ฝั่ง
ตุ้บ!
หลี่เยว่ที่ล้มลงบนพื้นรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว "ซือถูเหยียน นั่นเธอหรือ"
ในที่สุดลมหนาวที่โหมกระหน่ําก็มารวมตัวกันในที่เดียวและปรากฏร่างมนุษย์ต่อหน้าเขา
มันปรากฏร่างผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสำนัก ใบหน้าครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัด
ในตอนนี้หลี่เยว่ได้พบกับผีที่เขาหวาดกลัวมานาน
แต่เขากลับโล่งใจและพูดขึ้นว่า "ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าเสียที"
ตอนนี้ชูเหลียงและซ่งชิงอี้อยู่ในภาวะตื่นตัวและเตรียมพร้อมเต็มที่
ปราณแห่งความตายที่แข็งแกร่งแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่วิญญาณแค้นธรรมดา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่าสิ่งใดที่ทำให้เธอมีพลังเช่นนี้..
แต่พวกเขาเชื่ออย่างหนึ่ง.. ซือถูเหยียนเป็นผีย้อมหนังจริงๆ