บทที่ 24 นักปราบเซียนบนเขาสองเกลอ
ตามความคิดของลู่หยวนซานแล้ว ในการขยายไร่ปลูกพืชวิญญาณนั้น เงินทุนจำเป็นต้องพึ่งพารายได้จากการขายข้าววิญญาณนี้เป็นหลัก จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง
หากระหว่างทางถูกโจรกรรม หากฝีมือของลู่ฉางเฟิงและคนอื่นๆไม่สามารถต่อกร ก็ยังสามารถพึ่งพาความเร็วในการวิ่งของสัตว์ขี่หมอกสำหรับหลบหนีได้ จุดประโยชน์นี้ใช้ได้จริงๆ
ค่าเช่าสัตว์ขี่หมอกห้าตัว ราคาสิบก้อนหินวิญญาณ กำหนดเช่าสามเดือน นิกายจ่ายหินวิญญาณจำนวนนี้ไหวอยู่ ก็ไม่สามารถประหยัดได้
ลู่หยวนซานยังคงระมัดระวังพอสมควร รอบคอบไตร่ตรองเกือบจะครอบคลุมทุกประเด็น รู้จักแยกแยะสิ่งสำคัญออก
"สัตว์วิญญาณนี้แม้จะใช้งานดีจริง แต่ราคาแพง ค่าเช่าสัตว์หนึ่งตัวต้องจ่ายถึงสองก้อนหินวิญญาณ นิกายจะมีสัตว์ขี่หมอกเป็นของตัวเองได้ตอนไหนกันนะ?"
ลู่ฉางเฟิงบ่นอุบอิบสองสามประโยค อดไม่ได้ที่จะลูบไล้สัตว์ขี่หมอก เขาชอบสัตว์วิญญาณชนิดนี้มาก
หลังจากจัดเตรียมห่อข้าววิญญาณเรียบร้อย แล้วก็นำเอาขนและหนังต่างๆของหมาจิ้งจอกถ้ำต้นไม้ที่ล้างสะอาดเสร็จแล้วมาพร้อมกัน ลู่ฉางเฟิงก็นำศิษย์แปดคนออกเดินทาง มุ่งสู่ตลาดชิงเหอ
ระหว่างออกจากนิกายไปครั้งนี้ นอกจากขายข้าววิญญาณและขนหนังหมาจิ้งจอกถ้ำต้นไม้แล้ว ยังจะซื้อแลกเปลี่ยนสินค้าบางอย่างด้วย
ทางด้านไร่ปลูกพืชวิญญาณ จะซื้อปุ๋ยจำนวนมาก เมล็ดพันธุ์ธัญญาหาร เครื่องมือจอบเสียมวิญญาณ เป็นต้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขยายไร่
ทางด้านสวนสมุนไพร จะซื้อเมล็ดพันธุ์สมุนไพรวิญญาณ เช่น หญ้าสงบจิต เถาหยกหลัน เห็ดม่วงเมฆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขยายปริมาณการปลูก
แน่นอนว่า เวลาเดินทางกลับ ก็ใช้สัตว์ขี่หมอกอารักขาเช่นกัน เพราะได้เช่าระยะเวลาถึงสามเดือน ต้องใช้เวลาให้คุ้ม ไม่อย่างนั้นมันจะขาดทุนเอาได้
ตลอดทาง ลู่ฉางเฟิงก็พยายามจะเร่งเดินทางให้มากที่สุด ถ้าสามารถจะเดินก็เด็ดขาดไม่นั่ง ถ้าสามารถจะบินก็เด็ดขาดไม่เดิน เร่งฝีเท้าบุกตลอดทางอย่างเร็ว
ผลปรากฏว่า การตัดสินใจของลู่หยวนซานในการเช่าสัตว์ขี่หมอกครั้งนี้นั้นถูกต้อง
ในระหว่างการเดินทางราว 300 หลี่เศษ พอผ่านมาถึงเขาสองเกลอ ลู่หยวนซานและคณะก็ต้องเจอสายตาจับจ้องจากนักปราบเซียนจรจัดหกราย
พวกนักปราบเซียนเหล่านี้มีอายุต่างกันไป ระเห็จเร่ร่อนอยู่ในรัศมีร้อยลี้รอบเขาสองเกลอมาหลายปี ฐานะทางบ้านล้วนแต่ไม่ค่อยดีนัก ประกอบกับทรัพยากรในการฝึกฝนก็ขาดแคลน จึงได้ย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางโจรปล้นทรัพย์สินของผู้อื่น
นักปราบเซียนแบบนี้ มักพบเห็นได้ทั่วไปในโลกการฝึกตนของอาณาจักรฉู่ ในนั้นไม่ขาดแม้แต่คนระดับหัวกะทิขั้นฝึกปราณ บางคนเพื่อยาสร้างรากฐานแค่เม็ดเดียวก็กล้าดักปล้นฆ่าฝ่ายนิกายหรือตระกูลนักฝึกตน ไม่เกรงกลัวภยันตรายที่ตนอาจเจอ
คนประเภทนี้ถูกกิเลสตัณหาผลักดันให้ตาบอด ไม่มีจริยธรรมคุณธรรมใดๆเหลืออยู่เลย จะทำเรื่องต่ำช้าใดๆก็ทำได้ทั้งนั้น
นักปราบเซียนที่เขาสองเกลอพวกนี้ มีกำลังยุทธ์ราวๆขั้นฝึกปราณชั้นหกเกือบทั้งหมด จัดอยู่ในกลุ่มย่อย คนนำหน้าหน้ามีแผลเป็นบาดคมบนใบหน้า ถูกขนานนามว่าเอี้ยงรอยดาบ มีระดับการฝึกปรานถึงขั้นฝึกปราณชั้นเจ็ด นับเป็นกำลังสำคัญที่ไม่เล็กเลยทีเดียว
พวกเขาตลอดสองปีมานี้เอาชีวิตเข้าแลก ทำการดักปล้นมาแล้วหลายครั้ง ลิ้มรสความหวานของกำไรแล้ว ก็กลายเป็นคนไร้ยางอายไปเลย ครั้งนี้พวกเขาจับตาสังเกตการณ์ลู่ฉางเฟิงและคณะอย่างรวดเร็ว
แต่ครั้งนี้ ท่าทางของพวกเขาล้มเหลวเสียแล้ว
เมื่อพบว่านักปราบเซียนเขาสองเกลอพวกนี้มาไม่ดี ลู่ฉางเฟิงก็ระวังตัวแจทันที สั่งศิษย์เร่งความเร็วให้มากขึ้น กระตุ้นสัตว์ขี่หมอกวิ่งฝ่าด้วยความเร็วสูงสุด เร็วจนแทบหาที่เปรียบไม่ได้
จะสู้หรือไม่สู้นั้นไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย วิ่งหนีก็ไม่ผิดแน่ๆ
ลู่ฉางเฟิงคิดแบบนี้จริงๆ
ด้วยเหตุนี้ การวิ่งหนีของพวกเขาทำให้พวกนักปราบเซียนเขาสองเกลอได้แต่กินแห้วไปเท่านั้น จ้องมองด้วยสายตาเห็นเหยื่อบินหนีไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง
แต่ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว สัตว์ขี่หมอกแม้จะบรรทุกข้าววิญญาณอยู่แต่เมื่อวิ่งเต็มกำลัง มันก็ไม่ใช่ความเร็วที่นักฝึกตนขั้นฝึกปราณจะไล่ตามทันหรอก
การวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอดจากการต่อสู้ ลู่ฉางเฟิงแน่นอนว่าก็เต็มใจอยู่แล้ว พอดีนี่ก็เป็นเวลาที่จะแสดงคุณค่าของสัตว์ขี่หมอกพอดี
ผลก็คือ การที่ลู่ฉางเฟิงและพวกเขาวิ่งหนีไปครั้งนี้ ทำให้พวกนักปราบเซียนแห่งเขาสองเกลอพยายามไล่ตาม แต่ยิ่งไล่ยิ่งห่างไกล ไล่มาได้หลายสิบหลี่กลับแม้แต่เงาร่างของลู่ฉางเฟิงกับพวกก็มองไม่เห็นอีกเลย
"อย่าไล่แล้ว พวกนักฝึกตนนิกายนี้ลื่นไหลเหลือเกิน!"
ในที่สุดก็ได้แต่หมดหวังและละทิ้งแผนการ พลางหารือกันว่าคราวหน้าจะรอเหยื่อรายต่อไปก็แล้วกัน
หลังจากสลัดพวกนักปราบเซียนโจรปล้นที่พยายามไล่ตามได้ ลู่ฉางเฟิงตลอดเส้นทางก็ไม่ได้เร่งแต่จะวิ่งหนีอย่างเดียวแล้ว เขาแอบจดจำใบหน้าลักษณะเฉพาะของพวกนั้นเอาไว้ในใจ
หลังจากนั้น เส้นทางก็ค่อยๆราบรื่นมากขึ้นมากแล้ว
ใช้เวลาไปครึ่งเดือนเศษ ทุกคนก็มาถึงตลาดชิงเหอ
ตลาดชิงเหอตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำหลิงซีซึ่งเป็นแม่น้ำสายยาวอันดับหนึ่งของแคว้นหลิงซี ก่อตั้งโดยนิกายฉาวเทียน มีอายุเกินกว่า 300 ปี
นิกายฉาวเทียนเป็นนิกายใหญ่ของอาณาจักรฉู่ ภายในมีหลินจื่อ (เซียนอาวุโสขั้นแก่นทองคำ) ปกป้องคุ้มครอง มีการสืบทอดกันมานานนับพันปีแล้ว มั่งคั่งรำรวยและมีอำนาจมาก ไม่ว่าจะทั้งกำลังความสามารถหรือสถานะ ในอาณาจักรฉู่ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง จนสามารถส่งผลกระทบต่อการผลัดเปลี่ยนของราชวงศ์ฉู่ได้เลยทีเดียว
จากชื่อเสียงของนิกายฉาวเทียน ทำให้ตลาดชิงเหอหลายปีที่ผ่านมาได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก ดึงดูดตระกูลนักฝึกตน นักปราบเซียนอิสระ และนักฝึกตนจากนิกายต่างๆให้มารวมตัวกันเพื่อติดต่อซื้อขายเป็นจำนวนมาก
น่าสนใจตรงที่ ราว 100 กว่าปีก่อน ตลาดชิงเหอเคยเกิดเรื่องอื้อฉาวจากการประมูลขายยาสร้างรากฐาน ภายหลังก่อให้เกิดคดีฉาวโฉ่นักปราบเซียนอิสระหลายคนเพราะถูกความโลภครอบงำ พากันชิงยาสร้างรากฐานกันในเขตตลาด ก่อความเสียหายต่อชื่อเสียงของตลาดอย่างมาก ทำลายเสียงลือเลื่องไปเยอะ
ภายหลังเหตุการณ์นั้น นิกายฉาวเทียนเพื่อจะฟื้นฟูชื่อเสียงของตลาด จึงออกประกาศว่าห้ามมีการประมือด้วยกระบี่ดาบในรัศมี 50 หลี่รอบตลาดชิงเหอ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกนิกายฉาวเทียนประหารชีวิตหรือเนรเทศ โดยเด็ดขาดไม่มีข้อยกเว้น
จากกฎที่รัดกุมนี้ ชื่อเสียงของตลาดชิงเหอจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ ในช่วงหลายปีมานี้เติบโตขยายตัวเรื่อยมา ดึงดูดพ่อค้ามาลงทุนและนักฝึกตนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ตลาดชิงเหอจึงติดอันดับว่าเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเขตหลูซาน
เมื่อเข้ามาถึงพื้นที่ของตลาดชิงเหอ ลู่ฉางเฟิงและคณะก็คลายความระมัดระวังลงมาบ้าง
ในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมา ภายในตลาดชิงเหอค่อนข้างสงบสุขปลอดภัย ไม่มีผู้ใดกล้าก่อเรื่องหักหน้านิกายฉาวเทียน ความปลอดภัยจึงได้รับการยืนยันแล้ว
ภายในตลาดห้ามเหาะขึ้นสูง ทุกคนจึงต้องเดินด้วยเท้า ราวกับปุถุชนทั่วไป
ภายในตลาดมีทั้งหมด 6 เส้นทาง มีร้านรวงจำนวนมากตั้งอยู่สองฟากถนน
ตอนที่ลู่ฉางเฟิงมาถึงก็ใกล้พลบค่ำแล้ว แต่ภายในตลาดก็มิได้เงียบเหงา กลับยังคงมีผู้คนพลุกพล่านอยู่
ตลาดเปิดให้บริการ 12 ชั่วยามต่อวัน การค้าขายที่นี่สามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่จำกัดกีดกัน
ช่วงดึกดื่นค่ำคืน ยังจะมีตลาดวิญญาณเปิดขึ้นอีกด้วย
ในตลาดวิญญาณ จะมีตำราวิชา อาวุธวิญญาณ ยาโอสถ และของลึกลับแปลกประหลาดจากที่ต่างๆโผล่ออกมาให้เห็นนิดๆหน่อยๆ ดึงดูดนักปราบเซียนอิสระจำนวนมากให้หาโชคกันเอง
ในตลาดวิญญาณ การทำธุรกรรมส่วนใหญ่จะเป็นการขายแบบลับๆ ไม่เปิดเผย แต่สิ่งที่ยังต้องปฏิบัติตามก็คือ ห้ามเด็ดขาดที่จะใช้กระบี่ดาบกันในบริเวณตลาด
ลู่ฉางเฟิงเองก็มิใช่มาตลาดเป็นครั้งแรก รู้จักทางเลี้ยวลัดในตลาดเป็นอย่างดี เลยสามารถนำทางคนอื่นๆไปยังร้านค้าของนิกายชิงซานได้อย่างคุ้นเคย
ในยุครุ่งเรืองของนิกายชิงซาน พวกเขาเคยควบคุมร้านค้ากว่าสิบแห่งในตลาด แต่น่าเสียดายที่ใน 30 ปีมานี้อำนาจอ่อนแอลง จำเป็นต้องขายร้านค้าออกไปหลายแห่ง เหลือเพียงร้านเดียวที่ยังดิ้นรนทำการค้าอยู่
ร้านนี้ชื่อว่า ชิงซานจู่(หมู่บ้านชิงซาน)
เมื่อลู่หยวนซานก้าวเข้ามาในร้านชิงซานจู่ คนที่ดูแลร้านชื่อว่าซู่เย่เฉิง เป็นศิษย์ขั้นฝึกปราณชั้นสามของนิกาย ได้รับมอบหมายให้ดูแลร้านค้าร่วมกับศิษย์อีกคนหนึ่งชื่อว่าเฉียนอิงไฉ ทั้งสองจัดการงานได้ดีพอใช้
คนทั้งสองมีระดับขั้นต่ำ ธาตุวิญญาณก็ธรรมดาทั่วไป แต่นิสัยใจคอเป็นที่ถูกอกถูกใจ ดังนั้นนิกายจึงใช้หลักการใช้งานให้เต็มประโยชน์ จัดให้พวกเขามาดูแลกิจการร้านค้าแทน
เมื่อเห็นลู่หยวนซานเข้ามาในร้าน ซู่เย่เฉิงก็รีบเดินมาต้อนรับทันทีว่า "อาจารย์ใหญ่ลู่ ท่านมาแล้วหรือ เชิญเข้ามาข้างในเลยขอรับ"
ลู่ฉางเฟิงพยักหน้า ชี้ไปที่สัตว์ขี่หมอก "ไม่ต้องหรอก ยกข้าววิญญาณลงมาก่อนเถอะ สินค้าปีนี้ต้องขายออกให้เร็วที่สุด เราจะได้นำเงินมาใช้ได้"
"ขอรับ"
ซู่เย่เฉิงตอบรับคำหนึ่ง รีบเรียกคนในร้านมาช่วยขนสินค้าลง