บทที่ 22 ไร่วิญญาณอุดมสมบูรณ์
ลู่จือเวยจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เช่อชิงชิงยืนอยู่ที่เดิม มองถุงเมล็ดพันธุ์หญ้ารากจันทร์อย่างเลิ่กลั่ก
"หญ้ารากจันทร์..."
นางมองต้นท้อวิเศษที่มุมสวนสมุนไพร แล้วก็เหลือบไปมองถุงเมล็ดพันธุ์ในมือ
การลงทุนปลูกพืชในสวนสมุนไพรที่นิกายเคยกล่าวไว้ ตอนนี้จะเริ่มขึ้นแล้วสินะ
บางทีการฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญปรุงยา ก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งในการลงทุนสวนสมุนไพรก็ได้
สำหรับหญ้ารากจันทร์ชนิดนี้ นางยังพอรู้จัก เข้าใจวิธีการปลูกอยู่
ในระหว่างที่หญ้ารากจันทร์เติบโต จำเป็นต้องดูดซับแสงจันทร์ ต้องปลูกกลางแจ้ง ถือว่าดูแลง่ายกว่าสมุนไพรชนิดอื่นในสวนมาก
หลังจากใช้ความคิดกับถุงเมล็ดพันธุ์ในมือสักพัก เช่อชิงชิงก็เริ่มลงมือ
นางมองหาพื้นที่ว่าง หยิบจอบขุดดิน เริ่มปลูกหญ้ารากจันทร์ ท่วงท่าชำนาญยิ่ง
...
รอจนกระทั่งลู่จือเวยออกมาจากศาลาเก็บตำรา ก็ผ่านไปแล้วสองชั่วยาม
เนื่องจากนิกายขาดแคลนกำลังคน ศาลาเก็บตำราจึงไม่ได้รับการดูแลมานาน เพื่อค้นหาตำราที่ลู่ผิงมอบหมาย ลู่จือเวยจึงได้กวาดตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ นางยังได้คัดเลือกตำราอีกสามเล่ม ได้แก่ "พืชสมุนไพรฉบับสมบูรณ์" "บันทึกการปรุงยาฉบับรวม" และ "สมุดข่อยปรุงยาแห่งชู"
รวมเป็นเจ็ดเล่ม ลู่จือเวยได้ทำสำเนาเสร็จสิ้น นำกลับไปที่สวนสมุนไพรมอบให้เช่อชิงชิงทั้งหมด กำชับนางให้ตั้งใจศึกษา โดยเฉพาะสี่เล่มที่ลู่ผิงพูดถึง สำคัญที่สุด
การเริ่มต้นของผู้เชี่ยวชาญปรุงยา จริงๆแล้ว ล้วนเริ่มจากความรู้ด้านทฤษฎีทั้งนั้น หมวดหมู่นี้ถูกเรียกรวมว่าเป็นศิษย์ปรุงยา หลังจากเข้าใจความรู้ทฤษฎีอย่างถ่องแท้แล้ว ก็สามารถลองปรุงยาชั้นหนึ่งคุณภาพต่ำได้
การปรุงยาชั้นหนึ่งคุณภาพต่ำไม่ถือว่ายาก ตราบใดที่ตั้งใจเรียนรู้ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ เพียงแต่โอกาสสำเร็จจะขึ้นอยู่กับวิธีการปรุง ความสามารถของผู้ปรุง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน
หากสามารถปรุงยาชั้นหนึ่งคุณภาพต่ำได้หนึ่งชนิด ก็ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาชั้นหนึ่งคุณภาพต่ำแล้ว ต้องบอกว่าเกณฑ์ไม่สูง ง่ายต่อการเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากชั้นหนึ่งคุณภาพต่ำ ความยากในการยกระดับของผู้เชี่ยวชาญปรุงยาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทรัพยากรที่ใช้ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
"เช่อชิงชิง ตั้งใจพยายามให้ดีนะ"
เห็นการปลูกหญ้ารากจันทร์เสร็จสิ้นแล้ว ลู่จือเวยก็ลุกขึ้นจากไป
"ข้าจะทำเจ้าค่ะ"
มีผลงานก็ย่อมต้องมีผลตอบแทน การได้รับความชื่นชมจากนิกายเช่นนี้ เช่อชิงชิงรู้สึกได้ว่าตนแบกภาระหนักอึ้งบนบ่า แต่ภาระนี้กลับเป็นแรงผลักดันให้ก้าวหน้าได้
นางสาบานว่าจะต้องตั้งใจศึกษาการปรุงยา ไม่เพียงเพื่อตนเอง แต่ยังเพื่อนิกายอีกด้วย
หลังจากออกจากสวนสมุนไพร ลู่จือเวยไปที่ถ้ำหลังภูเขาหนหนึ่ง รายงานเรื่องเช่อชิงชิงแก่ลู่ผิง
ผลที่เช่อชิงชิงยอมเรียนรู้การปรุงยา ลู่ผิงก็คาดเดาไว้แล้ว
ตอนที่ลู่ผิงท่องเที่ยวอยู่ที่แคว้นหลิงซี เขาก็เคยเข้าร่วมนิกายหนึ่ง ทำหน้าที่ดูแลสวนสมุนไพร
ก็ในช่วงไม่กี่ปีที่ดูแลสวนสมุนไพรนั่นแหละ จึงค่อยๆเกิดความคิดที่จะศึกษาการปรุงยาขึ้นมา ศึกษาการปรุงยาด้วยตัวเองยามว่าง ต่อมามีโชคได้เซียนชิงซือเป็นอาจารย์ จึงก้าวเข้าสู่เส้นทางปรุงยาอย่างเป็นทางการ
แต่น่าเสียดาย เรียนได้แค่ไม่กี่ปี นิกายก็เกิดสงครามใหญ่กับนิกายอื่น ทำให้นิกายล่มสลายไป
เมื่อนิกายไม่อยู่ ลู่ผิงจึงจำใจต้องจากไป กลับไปเป็นนักเดินทางอีกครั้ง การเรียนรู้วิชาการปรุงยาก็เลยต้องพักไว้ก่อน วางใจอยู่กับการบำเพ็ญเพียรอย่างเดียว
จนกระทั่งบรรลุขั้นแก่นทองคำ ความก้าวหน้าทางการบำเพ็ญช้าลง ลู่ผิงจึงหวนกลับไปศึกษาวิถีแห่งยาอีกครั้ง ในที่สุดก็ไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญปรุงยาชั้นสามได้สำเร็จ
โดยรวมแล้ว เช่อชิงชิงกับลู่ผิงสมัยก่อนนั้นคล้ายกันมาก ต่างก็ตื่นรู้วิถีแห่งการปรุงยาในสวนสมุนไพร
เมื่อเช่อชิงชิงเข้าใจความรู้การปรุงยา มีพื้นฐานระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสอนให้นางปรุงยาได้
อย่างไรก็ตาม เวลารอคอยนี้จะไม่สั้น จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี
ลู่ผิงตัดสินใจที่จะช่วยเช่อชิงชิงให้เร็วขึ้น พยายามย่นระยะเวลาให้สั้นที่สุด
มองดูค่าชื่อเสียงที่เหลืออยู่ 46 แต้ม เขาเปิดร้านค้า ท่ามกลางตัวเลือกมากมาย เขาพบ [ขยันตั้งใจ - 1 ดาว] ใช้ค่าชื่อเสียง 15 แต้มแลกออกมาให้เช่อชิงชิง
พรนี้สามารถคงอยู่ได้หนึ่งปี เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เช่อชิงชิงตั้งใจศึกษา ก้าวเข้าสู่แถวหน้าของวิถีแห่งยาโดยเร็ว
การดำเนินการครั้งนี้ ทำให้ค่าชื่อเสียงเหลือเพียง 31 แต้ม
กาลเวลาผันผ่าน พระอาทิตย์ขึ้นลับฟ้า ฤดูร้อนจากไป ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน
หลังจากที่ลงมือฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยาให้แก่นิกาย ช่วงนี้ลู่ผิงกลับว่างเปล่า
เขาเดินไปเดินมาบนภูเขาชิงเหลียนหลายรอบ บ่อยครั้งที่ได้เห็นศิษย์หัวเราะเล่นด้วยกัน คอยช่วยเหลือกัน มีกระทั่งศิษย์ที่เพิ่งเริ่มหัวใจพองโตคอยรับใช้ศิษย์น้องหญิงที่ตนชื่นชอบอย่างขยันขันแข็ง เต็มใจยิ่ง
ลู่หยวนซาน ลู่จือเวย ลู่ฉางเฟิง ทั้งสามต่างยุ่งอยู่กับกิจการนิกาย บ้างก็ปิดตัวบำเพ็ญ เวลาแต่ละวันแน่นขนัด แทบไม่มีเวลาว่างเหลือ
ส่วนเช่อชิงชิงนั้นตั้งใจจริงยิ่งนัก กลางวันดูแลสวนสมุนไพร กลางคืนศึกษาทฤษฎีการปรุงยา ลู่ผิงเดินผ่านสวนสมุนไพร มักจะเห็นแสงเทียนในห้องของนางสว่างอยู่จนถึงยามดึก
[ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง บรรยากาศในนิกายเริ่มเต็มไปด้วยความชื่นมื่น]
วันนี้ มีหน้าต่างข้อความผุดขึ้นมาต่อหน้าลู่ผิง
ระบบในขณะที่เชื่อมข้อมูล บางครั้งจะแสดงข้อความสถานการณ์บรรยากาศภายในนิกาย เพื่อให้ลู่ผิงเข้าใจสถานการณ์ภายในนิกาย
ลู่ผิงสังเกตเห็น แล้วก็พบที่มาของความชื่นมื่น
ในช่วงเวลาเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ข้าววิญญาณในไร่วิญญาณของนิกายสุกงอมแล้ว พร้อมเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์
ภาพเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ เขาต้องไปดูให้ได้
ลู่ผิงควบคุมร่างจิตวิญญาณ ลอยไปยังทิศทางของไร่วิญญาณ
ไร่วิญญาณของนิกายมีขนาดสิบหมู่ ตั้งอยู่บนเนินเขาด้านบนของภูเขาชิงเหลียน บริเวณที่เรียกว่าริมทะเลสาบเหยี่ยนหยาง เป็นหนึ่งในสามอุตสาหกรรมหลักของนิกาย และเป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้สูงสุดด้วย
ลู่ผิงลอยผ่านทะเลสาบเหยี่ยนหยาง ผิวน้ำใสเขียวราวมรกต ไม่มีคลื่นสาดซัด นิ่งสงบอย่างยิ่ง สะท้อนแสงอาทิตย์อันสดใส ฟ้ากับน้ำเป็นสีเดียวกัน แต่กลับสะท้อนไม่ออกถึงร่างเบาบางของลู่ผิง
"ทะเลสาบขนาดใหญ่เช่นนี้ตั้งอยู่ในนิกาย ใช้สำหรับจัดหาน้ำอุปโภคบริโภคเพียงอย่างเดียว จะไม่เสียของไปหน่อยหรือ"
ทะเลสาบเหยี่ยนหยางมีพื้นที่กว้าง เป็นวงกลมรูปทรงไม่สม่ำเสมอ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามพันเมตร เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดบนภูเขาชิงเหลียน
"หากเพาะเลี้ยงปลาวิญญาณในทะเลสาบเหยี่ยนหยาง รายได้ของนิกายก็จะมีเพิ่มอีกหนึ่งรายการ ดูจะไม่ขัดสนนัก"
ระหว่างทางผ่านทะเลสาบเหยี่ยนหยาง ในใจของลู่ผิงก็เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา
ด้วยการบำรุงเลี้ยงของเส้นลมปราณภูเขาชิงเหลียน ทำให้น้ำในทะเลสาบเหยี่ยนหยางมีปราณต้นกำเนิดอยู่บ้าง พอจะเพียงพอต่อการเลี้ยงปลาวิญญาณชั้นต่ำได้บ้าง
ความคิดที่จะเพาะเลี้ยงปลาวิญญาณนี้ ถือว่าเป็นไปได้จริง
จริงๆแล้ว ลู่หยวนซานเองก็เคยคิดเช่นเดียวกับลู่ผิง เพียงแต่คิดว่า หากจะเพาะเลี้ยงปลาวิญญาณ ในช่วงแรกยังต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อลูกปลา
อีกทั้งปลาวิญญาณมีวงจรการเติบโตช้า การเพาะเลี้ยงมีค่าใช้จ่ายสูง เมื่อพิจารณาประเด็นเหล่านี้แล้ว เรื่องนี้จึงต้องเก็บไว้ก่อน ไม่คิดถึงอีก
เมื่อผ่านทะเลสาบเหยี่ยนหยางมาถึงด้านนอกของไร่วิญญาณ ลู่ผิงก็เห็นมีร่างคนจำนวนมากชุมนุมกันอยู่ในไร่
พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ในนิกาย ตอนนี้กำลังรวมกลุ่มเป็นทีม ถืออาวุธ ก้มตัวยุ่งอยู่ กำลังเก็บเกี่ยวข้าววิญญาณ เป็นภาพชีวิตชาวนาที่ขะมักเขม้น
สำหรับลู่ผิงที่ไม่เคยมีส่วนร่วมในการทำนามาก่อน ภาพนี้ใหม่และแปลกตายิ่งนัก
สายลมโบกพัด ต้นข้าววิญญาณสีทองอร่ามแกว่งไกวเบาๆ
เม็ดข้าววิญญาณขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวเกาะกลุ่มกันใหญ่บนรวงข้าววิญญาณ เต็มรวงแน่นสะพรั่ง หอมกรุ่นโชยมา
เหล่านี้ไม่ใช่เมล็ดพืชธรรมดา ล้วนเป็นข้าวหยกวิเศษ จัดอยู่ในชั้นหนึ่งคุณภาพสูง อุดมไปด้วยแก่นแท้ปราณ หอมหวานถูกปาก
เมื่อข้าวหยกวิเศษสุกงอมแล้ว ต้องเก็บเกี่ยวภายในสามวัน เด็ดเอาเฉพาะเมล็ดข้าววิญญาณมา ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวสั้นมาก
มิฉะนั้น พอพ้นช่วงเก็บเกี่ยวไปแล้ว เมล็ดข้าววิญญาณจะหลุดร่วงลงเอง พอตกลงพื้นดินแล้วจะรีบแตกหน่อ งอก กลายเป็นของที่กินไม่ได้
ดังนั้นเมื่อข้าวหยกวิเศษสุกแล้ว ต้องรีบเก็บเกี่ยวโดยเร็ว ห้ามพลาดช่วงเวลาเก็บเกี่ยว