บทที่ 210 ฝ่ามือวัชระอมตะ
เติ้งอี้ชุน เฉิงหลง และคนอื่นๆ ต่างก็มีทีท่ามิแตกต่างจากเฉินจื่อหานเท่าใดนัก หรือบางคนอาจมากกว่านางเสียด้วยซ้ำไป
ดั่งเฉิงหลง ผู้มีความเกลียดชังต่อหยางเสี่ยวเทียนอยู่แล้ว มาบัดนี้ กลับยิ่งชิงชังมากขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก
เพราะหลังจากที่อาจารย์เขาเจียงอวี๋กลับไป เขาก็ถูกขับออกจากสำนักในวันรุ่งขึ้น อีกทั้งผู้เป็นอาจารย์ ยังไม่ยอมปริปากบอกเหตุผล แม้นเขาจะพยายามร้องขออยู่หลายหนแล้วก็ตาม แต่กลับมิมีท่าทีเปลี่ยนใจถอดถอนคำสั่งนั้นของเจียงอวี๋ได้
แล้วเขา ผู้มีฐานะเป็นถึงองค์ชาย แต่กลับถูกขับออกจากสำนัก มันเป็นเรื่องน่าอับอายและอัปยศอย่างยิ่งของราชวงศ์
แม้แต่ผู้เป็นบิดาเขาเอง ก็ยังปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาราวกับมิใช่บุตรในช่วงนี้
“เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเพราะเจ้าผู้เดียว หยางเสี่ยวเทียน!” เฉิงหลงพึมพำขณะมือกำหมัดแน่นด้วยโทสะ
เพล้ง!
ยิ่งนึกถึง เขายิ่งเดือดดาลขว้างปาถ้วยชาในมือจนแตกละเอียด หากมิใช่เพราะหยางเสี่ยวเทียน เขาจะลงเอยอย่างน่าอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร
“หยางเสี่ยวเทียน เรามิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้ หากมีข้าจะต้องไม่มีเจ้า!” เฉิงหลงคำรามด้วยความโกรธ ดวงตาพลันแดงก่ำอย่างใคร่สังหาร
“ครั้นถึงเวลาที่ต้องแข่งขันล่าสัตว์อสูร ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดว่าหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะเข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนัก เหล่าศิษย์จากสำนักต่างๆ รวมทั้งวิญญาจารย์ของตระกูลน้อยใหญ่ในอาณาจักรเสินไห่ ก็ต่างเร่งฝึกฝนกันอย่างบ้าคลั่ง
แม้แต่ศิษย์หลายคนที่กำลังรอลงทะเบียนการแข่งขันระดับสำนักครั้งต่อไป ก็พานเปลี่ยนความคิดพวกตนทันที ด้วยผลกระทบจากหยางเสี่ยวเทียน ทุกคนต่างตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนักครั้งนี้เช่นกัน
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักและตระกูลน้อยใหญ่ ต่างรู้สึกประหลาดใจที่เห็นศิษย์ของพวกตน หมั่นฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งทั้งวันทั้งคืนผิดแปลกไปจากปกติ จึงล้วนรู้สึกดีใจแลชื่นชมกันเล็กน้อย
ก่อนที่ไม่ช้า พวกเขาจะทันคิดได้ว่าเหตุไฉนศิษย์ของพวกตนจึงเพียรฝึกฝนกันอย่างบ้าระห่ำเช่นนี้
อีกด้านหนึ่ง หยางเสี่ยวเทียนก็ยังคงหมั่นฝึกฝนเพลงกระบี่ตงเทียน เพลงกระบี่นับร้อย และบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มอย่างยิ่งยวด โดยมิได้ออกจากจวนไปไหนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หลังจากฝึกฝนทักษะระดับมหาจอมเวทย์หมื่นปรานกระบี่จนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว หยางเสี่ยวเทียน ก็เริ่มฝึกฝนทักษะมหาจอมเวทย์อันดับที่สอง นั่นคือ ฝ่ามือวัชระอมตะ
ฝ่ามือวัชระอมตะนี้ ว่ากันว่าทำลายไม่ได้ หากผู้ใดฝึกฝนทักษะนี้จนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานสำเร็จ ด้วยฝ่ามือเดียว แม้แต่ภูเขาขนาดใหญ่ก็สามารถระเบิดเป็นผงได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากรอยมือได้ประทับลงสู่พื้น พลังอำนาจของมันจะไม่สลายไปนานหลายปี ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวขานว่าเป็นอมตะ
หยางเสี่ยวเทียนมุ่งมั่นอ่านคัมภีร์ฝ่ามือวัชระอมตะตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดถึงสองหน ครามั่นใจ เขาก็เริ่มโคจรปราณแท้ตามคำชี้แนะที่ได้เขียนอธิบายไว้ในคัมภีร์ จากนั้นจึงผายฝ่ามือ ผลักออกไปเบื้องหน้าตนทันที
ภายใต้แรงผลักจากฝ่ามือ ปรากฏเป็นภาพธรรมของรอยฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่ กลางอากาศตรงหน้า
ครั้นภาพธรรมจากรอยฝ่ามือนี้ปรากฏขึ้น มันก็ดูเหมือนจะประทับอยู่กลางอากาศ ไม่สลายหายง่ายๆ และยังคงนิ่งอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อประสบว่ามันเห็นผล ร่างกายหยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มไหวสั่นด้วยตื่นเต้น ก่อนจากนั้น เขาจะส่งฝ่ามือพุ่งออกไปเบื้องหน้าอีกหน
แรงผลักจากฝ่ามือครานี้ มันเร็วขึ้น แข็งแกร่งขึ้น แสงสีทองก็สว่างรุ่งโรจน์ขึ้นกว่าเดิมนัก
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็หมั่นฝึกฝนมันอยู่นานหลายวัน จนเกิดชั้นแสงสีทองปรากฏขึ้นทั่วกายเขา เบื้องหลัง ก็มีภาพธรรมขนาดใหญ่ของพระโพธิสัตว์ประจักษ์ขึ้น
เมื่อภาพธรรมของพระโพธิสัตว์ปรากฏขึ้น นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขา ได้ฝึกมันจนบรรลุถึงขั้นวรยุทธไร้เทียมทานสำเร็จแล้ว
หลังเห็นว่าตนฝึกฝนทักษะ “ฝ่ามือวัชระอมตะ” จนประสบความสำเร็จแล้ว หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มฝึกฝนทักษะระดับมหาจอมเวทย์ลำดับที่สาม “มังกรคำราม”
ทักษะมังกรคำราม ไม่ใช่เพลงกระบี่ ทักษะการผนึกฝ่ามือหรือเพลงหมัดมวย แต่เป็นพลังเสียงที่มีมนต์ขลังสูงสุด
ทักษะมังกรคำราม จริงๆ แล้วเป็นพลังเวทย์ระดับมหาจอมเวทย์ของเผ่ามังกร โดยส่วนใหญ่จะใช้พลังของการโคจรปราณแท้ ส่งมันผ่านปากกระจายออกเป็นเสียงเพื่อทำการโจมตี
เดิมที มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่คิดจะฝึกฝนทักษะมังกรคำรามให้สำเร็จได้ แต่เมื่อหยางเสี่ยวเทียนฝึกฝนปราณแท้มังกรอยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเขา
หยางเสี่ยวเทียนยืนอยู่กลางลานฝึก พร้อมเริ่มโคจรปราณแท้อีกครั้ง ก่อนอ้าปากเปล่งเสียงร้อง ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามของมังกรก็ดังออกจากปากเขา กลายเป็นคลื่นเสียงสิบระดับ ระเบิดดังในความว่างเปล่า
นอกเหนือจากการฝึกฝนพลังเวทย์ ระดับมหาจอมเวทย์ทั้งสิบเอ็ดที่เฉาชุ่นทิ้งไว้แล้ว หยางเสี่ยวเทียนยังจัดสรรเวลาบางช่วงหลอมโอสถ และขัดเกลาอาวุธวิญญาณอย่างกระบี่นับร้อย จนอยู่ในขั้นมหาสมบัติ
ในเวลาเดียวกัน เขายังได้ขัดเกลาอาวุธวิญญาณอย่างชุดเกราะขั้นมหาสมบัติสำหรับหลัวชิง หลิวอัน เลี่ยวคุน และคนอื่นๆ มอบให้แต่ละคนสวมป้องกันตนเอง
และทุกๆ วัน เขายังใช้เวลาอยู่กับผู้เป็นบิดามารดาด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านไปหนึ่งเดือน สมุนไพรสำหรับใช้หลอมโอสถเก้าหยาง ก็ถูกใช้หมดไปนานแล้ว
ดังนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงขอให้หลัวชิง เลี่ยวคุนและจางจิงหรงออกเดินทางไปยังอาณาจักรโดยรอบเพื่อหาซื้อวัสดุยา
แต่หลังจากสิบวันต่อมา หลัวชิง เลี่ยวคุนพร้อมจางจิงหรง ต่างกลับมากันอย่างนองเลือด ทุกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะหลัวชิง ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด จนกระทั่งเลี่ยวคุนและจางจิงหรงถึงกับต้องช่วยกันพยุงร่างเขากลับมา