ตอนที่แล้วบทที่ 20 บันทึกสายน้ำสีน้ำเงิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 22 ไร่วิญญาณอุดมสมบูรณ์

บทที่ 21 ข้าพร้อมแล้ว


ถ้าไม่มีเซียนขั้นสร้างรากฐาน นิกายชิงซานในเขตหลูซานก็ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงใดๆ

ธุรกิจ เครือข่าย ทรัพยากร ที่นิกายทำอยู่ ก็ได้รับผลกระทบทั้งหมด อิทธิพลของนิกายชิงซานจึงยิ่งลดลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนการรับศิษย์เข้านิกายเพิ่ม ขยายกำลังคน ไม่ต้องแม้แต่จะคิด

ประการแรก พื้นฐานและความสามารถของนิกายอ่อนแอมาก ไม่สามารถดึงดูดผู้มีพรสวรรค์ให้มาฝึกตนด้วย แข่งกับนิกายอื่นไม่ได้

ประการที่สองก็กลับมาที่ปัญหาเศรษฐกิจของนิกาย

ตอนนี้ แม้แต่เรื่องการจัดสรรค่าตอบแทนให้ศิษย์ในนิกายยังลำบากเป็นที่สุด ไม่มีทรัพยากรเหลือเฟือที่จะไปฝึกศิษย์ใหม่

อย่างน้อยในสามปีหน้านี้ ลู่ผิงไม่มีความคิดที่จะรับศิษย์ใหม่

แท้จริงแล้ว ลู่หยวนซานก็คิดเช่นนี้ด้วย

เป้าหมายของเขาตอนนี้คือการหาหินวิญญาณ แก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของนิกายให้ได้ก่อน เมื่อเศรษฐกิจของนิกายคลายตัวลงจึงจะเร่งฝึกเซียนขั้นสร้างรากฐานขึ้นมาหนึ่งคน

พอมีเซียนขั้นสร้างรากฐาน สถานการณ์ของนิกายก็จะดีขึ้นมาก จะได้รับศิษย์เข้านิกายได้กว้างขวาง ขยายอาณาเขตได้

"แต่การฝึกเซียนขั้นสร้างรากฐาน ต้องหายาสร้างรากฐานมาก่อนจึงจะได้"

"ไม่ใช้ยาสร้างรากฐานแล้วบังคับสร้างรากฐาน ความเสี่ยงสิบส่วนรอดแค่หนึ่งมันสูงไป พวกเขาไม่คุ้มที่จะเสี่ยง"

ถ้าไม่มียาสร้างรากฐาน แล้วให้ศิษย์บังคับสร้างรากฐาน ความเสี่ยงนั้นสูงมากจริงๆ

เมื่อสร้างรากฐานล้มเหลว เส้นลมปราณแตกสลาย ร่างกายพังพินาศ ผลที่ตามมาน่าสยดสยอง

สูงเช่นนี้แล้วยังจะเรียกว่าสิบส่วนรอดแค่หนึ่งก็ไม่เกินจริง ไม่งั้นก็คงไม่เกิดยาสร้างรากฐานแบบนี้ขึ้นมาหรอก

ประโยชน์ของยาสร้างรากฐานคือนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างรากฐานของผู้ฝึกตนให้ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว ยังช่วยคุ้มครองเส้นลมปราณหลักของผู้ฝึกตน รักษาชีวิตเขาไว้ได้ด้วย

ต่อให้สร้างรากฐานล้มเหลว ร่างกายผู้ฝึกตนก็ไม่ได้รับผลกระทบ สามารถหายาสร้างรากฐานอีกหนึ่งเม็ด ลองสร้างรากฐานใหม่ได้

ยาสร้างรากฐานดีก็จริง แต่แพงชะมัด

สิ่งที่นิกายชิงซานขาดแคลนที่สุดตอนนี้ก็คือหินวิญญาณ

นิกายชิงซานในอดีตมีฐานะมั่งคั่ง มีลู่ผิง เซียนขั้นแก่นทองคำผู้นี้คุ้มครอง ในเขตหลูซาน ถือเป็นนิกายชั้นสูงแห่งหนึ่ง เซียนในเขตหลูซานได้ยินชื่อนิกายชิงซาน ต่างยกนิ้วโป้งให้

ลู่ผิงแค่ย่ำเท้าสักที เขตหลูซานก็สั่นสะท้านไปทั้งเขต หาได้ยาสร้างรากฐานไม่กี่เม็ด ไม่ใช่ปัญหาเลย

แต่นั่นคืออดีต พูดถึงตอนนี้ไม่มีความหมายแล้ว

"นิกายอับจนเป็นที่สุด อับจนกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว"

ลู่ผิงพึมพำในใจ เขายังต้องพยายามหารายได้เข้านิกายต่อไป ฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยาก็ต้องใช้หินวิญญาณ

"ไม่ว่าใครก็ต้องมีจุดตกต่ำ เรื่องเช่นนี้ไม่ง่ายเลยที่จะผ่านไป"

ขณะที่ลู่ผิงกำลังถอนใจ ลู่จือเวยก็นำเมล็ดหญ้ารากจันทร์มาถึงสวนสมุนไพร

หลังจากจิตใจหมดความหวังไป ลู่จือเวยก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว ต่อให้ผ่านมาก็รีบเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่เคยแวะมาดูสวนสมุนไพรของนิกายเลย จึงรู้สึกแปลกใจกับที่นี่มาก

ลมพัดมาเบาๆ พืชสมุนไพรในสวนโบกไหวไปตามแรงลม สีเขียวอ่อนสดใสน่ารัก บ้างก็มีสีสันหลากหลาย รูปร่างมากมาย

ต้นท้อวิเศษสามต้นเติบโตอยู่มุมหนึ่งในสวน อ่อนเยาว์งดงาม เป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม สะดุดตา

ลู่จือเวยมองดูต้นท้อวิเศษ รู้สึกเพียงสบายตา ไม่รู้ว่านี่เป็นพืชใหม่ที่ปลูกลงไปในสวน

นางค้นหาร่างของเช่อชิงชิง

ขณะนี้เป็นฤดูร้อน แดดแผดเผา

ในฐานะผู้ดูแลสวน เช่อชิงชิงกำลังเคลื่อนไหวสะกดวิชาเรียกฝน หล่อเลี้ยงพืชสมุนไพร ให้มั่นใจว่าดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ให้พืชสมุนไพรได้รับการเลี้ยงดูด้วยน้ำ

เหนือท้องฟ้าของสวน มีก้อนเมฆสีขาวก้อนหนึ่งรวมตัวกันด้วยปราณ ภายใต้การควบคุมของเช่อชิงชิง ร่ายฝนลงมาทั่วทุ่งนาอย่างสม่ำเสมอ

กลิ่นหอมสดชื่นของดินหลังฝนตก ลอยอบอวลในอากาศ

ตอนที่ลู่จือเวยมาถึง การรดน้ำก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ดังนั้นเช่อชิงชิงเพิ่งเก็บวิชาก็สังเกตเห็นลู่จือเวย

"อ... อาจารย์ใหญ่ลู่!"

เห็นลู่จือเวย นางตกใจมาก

ตั้งแต่มาดูแลสวน ต้องคอยเฝ้าสวน และอีกคนก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ชอบสังคม จึงไม่ค่อยได้พบลู่จือเวยบ่อยนัก

แม้แต่ในนิกายเอง การจะเห็นลู่อาจารย์ใหญ่ท่านนี้ก็ยังยากเย็นมาก

วันนี้เช่อชิงชิงพบนางอย่างไม่คาดฝัน และยังเป็นที่สวนสมุนไพรแห่งนี้ด้วย ชั่วขณะหนึ่งนางก็ไม่รู้ว่าควรทักทายอย่างไร ได้แต่รีบมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลู่จือเวย และคำนับ "ท่านอาจารย์ใหญ่ลู่"

"อืม"

ลู่จือเวยสีหน้าสงบนิ่ง มองดูสวนสมุนไพรไปทั่ว

หลังใช้วิชารดน้ำ บนใบของพืชสมุนไพรแต่ละต้นเปียกชื้นด้วยหยดน้ำใส เหมือนเม็ดไข่มุกใส่ดูงดงามยิ่งนัก

หลังจากละสายตากลับมา ก็รู้ตัวว่าไม่ค่อยมีเรื่องจะพูดกับเช่อชิงชิง เรื่องสวนกับประเภทพืชวิเศษ นางก็ไม่ค่อยเข้าใจ ลู่จือเวยจึงตัดสินใจเข้าเรื่องตรงๆ

นางไม่ชอบพูดคุย จึงไม่อ้อมค้อม

"เช่อชิงชิง เจ้าอยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาหรือไม่"

ได้ยินคำพูดนี้ เช่อชิงชิงยิ่งตกใจมากขึ้น

ลู่อาจารย์ใหญ่มาที่สวนสมุนไพรเป็นครั้งแรก ก็เพื่อถามเรื่องนี้?

นางเป็นผู้เชี่ยวชาญหลอมอาวุธ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญปรุงยา

นิกายต้องการฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยาใหม่หรือ

ความคิดวนเวียนไปมา เช่อชิงชิงไม่รู้จริงๆว่าควรตอบอย่างไรดี

อยากก็อยากอยู่หรอก ไม่งั้นคงไม่มาดูแลสวนสมุนไพรหรอก เส้นทางการฝึกตน พรสวรรค์ไม่โดดเด่น เรียนรู้การปรุงยาไปด้วย มันจะเสียหายตรงไหน

"แต่ข้ากลัวว่าข้าจะมีพื้นฐานไม่ดี ไม่มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคนไหนยอมสอน ข้ากลัวจะทำให้ความตั้งใจดีของนิกายสูญเปล่า..."

เช่อชิงชิงก้มหน้าต่ำ มองดูปลายเท้าสกปรกของตัวเอง

เนื่องจากต้องทำงานในสวนสมุนไพรตลอด พื้นรองเท้าของนางจึงเปรอะเปื้อนดินอยู่เสมอ เทียบกับศิษย์หญิงคนอื่นๆที่แต่งตัวเรียบร้อยสะอาด นางดูเหมือนจะเป็นฝ่าย 'สกปรก' กลิ่นพืชสมุนไพรติดตัวไปทั้งตัว

"ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าอยากเรียน นิกายจะฝึกเจ้าอย่างเต็มที่"

ลู่จือเวยอดกลั้นความคิดที่อยากจะลูบหัวนางไม่ได้ "เจ้าอยากเรียนก็พยักหน้า ไม่อยากเรียนนิกายก็ไม่บังคับ คนที่จะสอนการปรุงยาให้เจ้า ในนิกายยังมีอยู่"

ลู่จือเวยไม่ได้บอกชื่อของลู่ผิง นางไม่แน่ใจนักว่าหลังจากชักนำให้เช่อชิงชิงเดินบนเส้นทางการปรุงยาแล้ว ลู่ผิงจะสอนนางอย่างไร จะออกมาสอนเองหรือไม่

นิกายไม่มีกำลังที่จะไปรับผู้เชี่ยวชาญปรุงยาจากภายนอก

"อยากเรียนเจ้าค่ะ ข้าอยากเรียน!"

คราวนี้เช่อชิงชิงตอบรับรวดเร็วมาก

นางพยักหน้าหงึกหงัก "ถ้านิกายไม่รังเกียจพื้นฐานของข้า ข้าจะตั้งใจเรียนรู้ เป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเจ้าค่ะ!"

พูดกันถึงขั้นนี้แล้ว เช่อชิงชิงจะปฏิเสธได้อย่างไร โอกาสอยู่ตรงหน้า นางไม่อยากพลาด

สามารถช่วยเหลือนิกาย เรียนรู้ศาสตร์การปรุงยา ช่างดีเหลือเกิน

"ดี"

ได้รับความยินยอมจากเช่อชิงชิงแล้ว ลู่จือเวยพอใจ

นางหยิบเมล็ดพันธุ์หญ้ารากจันทร์ออกมา

"นี่คือเมล็ดพันธุ์หญ้ารากจันทร์ เจ้าลองปลูกลงไปดูก่อน ดูแลให้ดีในวันข้างหน้า ข้าจะไปที่ห้องคัมภีร์ เอาตำราที่เกี่ยวกับการปรุงยามาให้เจ้า"

"เจ้ารอข้าที่นี่"

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด