บทที่ 209 ล้างคอรอข้าก่อนเถอะ!
หูซิงยันกายลุกขึ้นจากเตียง พร้อมสืบเท้าเดินออกจากห้องยืดเส้นยืดสาย หลังนั่งบ่มเพาะจนเหน็ดเหนื่อยอยู่หลายกว่าจะสำเร็จ
ครั้นมองเห็นแสงอันเรืองรองจากพระอาทิตย์ยามเช้าตรู่เบื้องหน้า ความรู้สึกสุขสำราญพลันสุกสว่างเบ่งบานในกายใจ
ขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่!
หากมิใช่เพราะเคล็ดวิชากายดาราช่วยในการบ่มเพาะปราณ ช่วงเวลานี้ เขาคงมิได้มีความรู้สึกอิ่มเอมประหนึ่งกำลังล่องลอย
ตอนข่าวการแข่งขันระดับสำนักประกาศออกมาก่อนหน้า เขาไม่มั่นใจมากนักว่าจะเป็นอับดับหนึ่งในอาณาจักรเสินไห่ได้หรือไม่ แต่พอตอนนี้ ที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่แล้ว ความมาดมั่นจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
อันดับหนึ่งในการแข่งขันประลองฝีมือระดับสำนัก ต้องเป็นของเขา
สำนักเทียนโต้วและผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรจะได้ประจักษ์เห็นว่าเขา หูซิงผู้นี้มีพรสวรรค์กับความแข็งแกร่งสมเป็นอัจฉริยะมากเพียงใด
ระหว่างหูซิงกำลังเพลิดเพลินกับความสำเร็จตนอยู่นั้น เวลานี้เอง หลี่ฉือ ศิษย์ฝ่ายในของสำนักเสินเจี้ยน ก็เดินปรี่เข้ามารายงานเรื่องสำคัญบางอย่างแก่เขา
“ศิษย์พี่หู ข่าวใหญ่ มีคนบอกว่าหยางเสี่ยวเทียนจะเข้าร่วมการแข่งขันประลองฝีมือระดับสำนัก ที่อาณาจักรเสินไห่ครานี้ด้วย”
แม้สถานะหยางเสี่ยวเทียนในสำนักเสินเจี้ยนตอนนี้ จะเป็นถึงเจ้าตำหนักกระบี่ผู้ทรงเกียรติ ที่บรรดาศิษย์กับอาจารย์ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือ ซึ่งหากพิจารณาจากตำแหน่งแลอำนาจเขาแล้ว หลี่ฉือ กลับยังคงเลือกติดตามหูซิงอย่างผู้ภักดีมิคลาย
เพราะหูซิง นับเป็นผู้มีพระคุณต่อเขา ด้วยเคยช่วยเหลือบิดามารดาตนจากเหตุการณ์เลวร้ายมาก่อน
“เจ้าว่าอะไรนะ หยางเสี่ยวเทียนก็จะเข้าร่วมด้วยหรือ” หูซิงอุทานเสียงหลง ด้วยรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ใช่ ข้าสอบถามแล้ว และหลายคนก็พูดแบบนั้น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง” หลี่ฉือยืนยัน
ครั้นหลี่ฉือกล่าวจบ หูซิงก็พลันแสยะยิ้มก่อนระเบิดหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่า สวรรค์ช่างเข้าข้างข้าเสียจริง หยางเสี่ยวเทียน ข้าไม่คิดจริงๆ ว่าเจ้าจะเข้าร่วมแข่งขันระดับสำนักครานี้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ในเมื่อสวรรค์เปิดทางให้ข้าแล้ว ครั้งนี้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง หยางเสี่ยวเทียน!”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ กลิ่นไอพลังปราณขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ ก็พลันระเบิดกวาดออกไปทั่วเรือนพักศิษย์อย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง
หลี่ฉือสะดุ้งหันมองหูซิง หลังรู้สึกถึงกลิ่นไออันน่าทึ่งก่อนเปิดปากชื่นชมด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่หู ท่านทะลวงเข้าสู่ระดับสี่แล้ว!”
“เมื่อคืนข้าโชคดี ที่ประสบความสำเร็จ” หูซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของวาจาเขา แสดงออกถึงความภูมิใจในความแข็งแกร่งตนจนดูหยิ่งทะนง
หลี่ฉือเผยยิ้มด้วยยินดี พร้อมยกมือกำหมัดอย่างสำราญ “ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่หู ที่ทะลวงเข้าสู่ระดับสี่ได้ในที่สุด คราวนี้ อันดับหนึ่งของอาณาจักรเสินไห่ ต้องเป็นของพวกเราแน่นอน”
หูซิงยิ้มพร้อมกล่าวน้ำเสียงถ่อมตน “ผลแข่งไม่เป็นที่แน่ชัด ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป”
“ข้าไม่คิดว่าหยางเสี่ยวเทียน จะโง่ขนาดกล้าเข้าร่วมแข่งขันประลองฝีมือระดับสำนักจริงๆ!”จากนั้นเขาแสยะยิ้ม นัยน์ตาแฝงด้วยเจตนาฆ่าอย่างเห็นได้ชัด
เพลานี้ เขาแทบทนรอการแข่งขันที่เริ่มใกล้เข้ามาไม่ไหว มันทั้งรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจกับความหวังจะได้ลงมือสังหารหยางเสี่ยวเทียน ศัตรูคู่อาฆาตผู้ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด ก็ดูเหนือไปกว่าตนเสียทุกอย่าง
ถ้าครานี้ เขาจัดการหยางเสี่ยวเทียนให้พ้นทางได้ ความสำเร็จทุกสิ่งอย่างในภายภาคหน้า จะตกเป็นของผู้ใดได้ หากมิใช่เขา
ด้วยเหตุนี้ การลงมือสังหารหยางเสี่ยวเทียนระหว่างแข่งขันระดับสำนัก เป็นอะไรที่ประจวบเหมาะสุด เพราะวันนั้น ไม่ได้มีเฉพาะการประลองแบบตัวต่อตัวเท่านั้น แต่การแข่งขันระดับสำนักทุกครั้ง ยังมีส่วนของการล่าสัตว์อสูรเพื่อสั่งสมคะแนนอีกด้วย
และเมื่อใดก็ตาม ที่หยางเสี่ยวเทียนเริ่มย่างกรายเข้าสู่พื้นที่ล่าสัตว์อสูร ความตายประหนึ่งอุบัติเหตุ ก็จะเริ่มคืบคลานเข้าหาเขาโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ แม้ต้องการค้นหาความจริงก็ตาม
ต่อไป นามหยางเสี่ยวเทียนจะเหลือเพียงชื่อให้จดจำ ก่อนค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา
ครั้นหลี่ฉือเห็นสีหน้าแลดูมั่นใจของหูซิง เขาที่มีความลังเลกับเรื่องนี้อยู่ครู่ก่อนเอ่ยเตือนสติ “แต่… ศิษย์พี่หู การที่หยางเสี่ยวเทียนตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันระดับสำนักในครานี้”
“เรายังมิอาจวางใจในความแข็งแกร่งเขาได้ ว่าการเลือกลงมือสังหารเขา จะเป็นเรื่องง่ายหรือยาก” หลี่ฉือกล่าว
หูซิงเหลือบมองหลี่ฉือด้วยสายตามิพึงใจ พานให้ศิษย์น้องผู้ภักดีต้องก้มหน้าหลบสายตาอย่างหวั่นเกรง
แต่ครั้นเห็นอากัปกิริยาเช่นนั้นของหลี่ฉือ เขาจึงทำทีเป็นไม่สนใจพร้อมเปิดปากกล่าวอย่างลำพอง “เจ้าอยากจะบอกว่าหยางเสี่ยวเทียน ซ่อนความแข็งแกร่งของเขาไว้อย่างนั้นหรือ”
“หึ! ต่อให้เขาซ่อนความแข็งแกร่งของตนไว้มากเพียงใด ข้าก็ไม่เชื่อ ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับเก้าหรือสิบ!”
“เขาเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เจ้าคิดว่าเขาจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับเก้าหรือสิบได้งั้นหรือ” เขาหันถามหลี่ฉือ ผู้สร้างความกังวลไร้สาระจนพานให้เขาไม่สบอารมณ์
เมื่อหลี่ฉือได้ยินดังนั้น จึงลองนึกใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งความเป็นไปได้ดังหูซิงกล่าวก็มีน้อยมากจริงๆ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเป็นกังวลใจ
“อย่างไรก็ตามศิษย์พี่หู ในเมื่อหยางเสี่ยวเทียนเข้าร่วมเช่นนี้ เขาจะต้องมีความมั่นใจในฝีมือตนระดับหนึ่ง หาไม่แล้ว ไหนเลยจะกล้าเข้าร่วมการประลองระดับสำนักเช่นนี้ ข้าคิดว่าเราควรระวังเขาไว้จะดีกว่า”
หูซิงเหยียดยิ้มแล้วกล่าวว่า “อย่าได้กังวลใจไป ก่อนหน้าก็มีศิษย์หลายคนเช่นกัน ที่เข้าร่วมการประลองครานี้ ทว่า พวกเขาหาได้ต้องการเป็นสิบอันดับแรกในการแข่งขันไม่ เพียงเข้าร่วมเพื่อหาประสบการณ์เท่านั้นเอง”
“ข้าคิดว่า หยางเสี่ยวเทียนอาจต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันระดับสำนักนี้ก็เป็นได้ ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เราจำต้องเป็นกังวล”
หลี่ฉือพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ นั่นก็เพราะทุกครั้งที่มีการแข่งขันระดับสำนัก ก็ล้วนมีบรรดาศิษย์ร่วมลงทะเบียนแข่งขันจำนวนมาก ซึ่งความเห็นนี้มีความเป็นไปได้มากสุด ของเหตุที่หยางเสี่ยวเทียนเข้าร่วมด้วย
อีกทั้ง จำนวนเหล่าศิษย์ผู้ลงทะเบียนแข่งขันมีประมาณแสนคนแทบทุกครั้ง เนื่องจาก หากพวกเขามัวแต่รอจนกว่าจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอติดสิบอันดับแรกในอาณาจักรเสินไห่ เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกหลายปี
ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงเลือกเข้าร่วมเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการแข่งขัน ซึ่งมันดีกว่าที่พวกเขาไม่พยายามทำอะไรเลย
ในขณะนี้ ข่าวลือที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะเข้าร่วมแข่งขันประลองฝีมือระดับสำนัก ได้แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรแล้ว
เฉินจื่อหาน เติ้งอี้ชุน เฉิงหลง และคนอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ได้ทราบข่าวนี้เช่นกัน
ซึ่งเมื่อเฉินจื่อหานได้ทราบเรื่องนี้ คิ้วนางก็พลันขมวด ก่อนเผยริมฝีปากบางพึมพำอย่างประหลาดใจ “หยางเสี่ยวเทียนก็เข้าร่วมการแข่งขันระดับสำนักนี้ด้วยหรือ”
จากนั้น นางก็กล่าวด้วยความแค้นใจขณะขบเม้มริมฝีปากแน่น “หยางเสี่ยวเทียน ล้างคอรอข้าก่อนเถอะ!”
“ด้วยการแข่งขันระดับสำนักนี้ ข้าจะบดขยี้เจ้า ล้างแค้นให้กับความอัปยศที่เจ้าสร้างในวันแข่งขันหลอมโอสถ!”
น้ำเสียงเฉินจื่อหาน ใสประหนึ่งเสียงระฆัง แต่กลับมั่นคงราวกับปราการเหล็ก เพราะหยางเสี่ยวเทียน มิเพียงสร้างความอับอายให้แก่นางเท่านั้น ทั้งความน่าเชื่อถือแลศรัทธาที่ผู้คนเคยมีต่อนาง กลับแปรเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะคำว่าอัจฉริยะ ที่ทำให้นางรู้สึกละอายใจทุกคราหากต้องใช้มัน เพื่อหมายถึงตนเองต่อหน้าผู้อื่น