ตอนที่ 350
ตอนที่ 350
“ชายคนนี้เป็นใครกัน” ผู้คนมองไปที่แผ่นหลังของเต๋าซุนแล้วก็ถามขึ้น
“ข้าไม่รู้จักเขาและข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพูดเพราะมั่นใจหรือว่าบ้ากันแน่” คนที่อยู่ข้างๆเขาส่ายหัว
ในขณะนี้หลิวจงฟาง ผู้คนสองสามคนจากนิกายอมตะ และทุกคนจากอาณาจักรพุทธต่างก็มีท่าทีครุ่นคิด
พวกเขาไม่เชื่อว่า เต๋าซุน จะจงใจทำเช่นนี้เพื่อโอ้อวดแน่นอน
แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
-
หลุมดำที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังพลุ่งพล่าน และพื้นที่โดยรอบกระเพื่อมอย่างไม่สม่ำเสมอ
กลิ่นอายชั่วร้ายกำลังโหมกระหน่ำอยู่รอบๆ
“เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนสร้างทางเข้านี้” เต๋าซุน ถาม
“จากข้อมูลที่ข้าได้รู้มา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่” ราชาเงียบงันกล่าว
เขายังได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวัดพุทธฝังศพมาก่อน
จู่ๆ เขาก็ตอบสนองเมื่อเขาถูกถาม
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ปรมจารย์ชาวพุทธ… หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับอาณาจักรพุทธหรือเปล่า?
แล้วถ้าใช่ เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิผู่เทียนหรือจักรพรรดิผู่กวงงั้นหรือ?”
เมื่อก่อนเขาไม่เคยเชื่อมโยงตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธเหล่านั้นกับอาณาจักรพุทธมาก่อน
แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นสถานการณ์ต่างๆ ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัว
“ก็ไม่แน่” เต๋าซุนส่ายหัวและยิ้ม
“ผนึกนี้จะถูกเปิดเพียงครั้งเดียวทุกๆ พันปีเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เราจะได้เข้าไปในวัดพระพุทธฝังศพหนึ่งครั้งในพันปี ”
“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย” ราชาเงียบงันกล่าว
“เจ้าจะรู้เมื่อได้เข้าไป” เต๋าซุนยิ้ม
ก่อนหน้านี้เขาใช้ไข่มุกโกลาหลเพื่อเดินทางผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา และค้นหาที่มาของวัดพุทธฝังศพโดยเฉพาะ
หลายสิ่งหลายอย่างทำให้เขารู้สึกอินไปกับมัน
เต๋าซุนกล่าวขณะที่เขาเดินเข้าไปในหลุมดำอันชั่วร้ายนี้
พื้นที่ด้านหน้าเขาหมุนอย่างไม่สม่ำเสมอ และวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่รอบๆ ก็พยายามบุกรุกร่างกายของ เต๋าซุน ตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในใจของเขา วิญญาณชั่วร้ายดูเหมือนจะต้องการทำลายจิตสำนึกของเขา
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายสำหรับเต๋าซุน
เขากระจายพลังแห่งการกำเนิดไปทั่วร่างกายของเขา
พลังแห่งการกำเนิดคือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ มันคือรากฐานของโลก
วิญญาณชั่วร้ายและวิญญาณปีศาจเหล่านี้ล้วนถูกกันออกไป
ในขณะที่พื้นที่รอบตัวเขากำลังปั่นป่วน เต๋าซุนก็รู้สึกเหมือนว่าเขาได้เดินทางผ่านความว่างเปล่ามาเป็นเวลานาน
ร่างกายของเขาลอยขึ้นและล้ม
มีเพียงความมืดเท่านั้นที่อยู่ตรงหน้าเขา ในความมืดนี้ เขาสามารถมองเห็นดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่จ้องมองเขาในความมืด
ในที่สุด หลังจากผ่านไปนาน ดวงตาของเต๋าซุนก็สว่างขึ้น
เขาปรากฏตัวในซากปรักหักพัง
ในเวลาเดียวกัน ร่างของราชาเงียบก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าเช่นกัน
“นี่คือวัดพุทธฝังศพ?” ราชาเงียบงันมองไปรอบ ๆ และถามด้วยความไม่เชื่อ
ในจินตนาการของเขา สถานที่อย่างวัดพุทธฝังศพสมควรถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำและรายล้อมไปด้วยสัตว์อสูร
บรรยากาศน่าหดหู่และชั่วร้ายมาก
แต่ตอนนี้กลับไม่มีบรรยากาศที่เหมือนกับสถานที่ต้องห้ามเช่นนั้นเลย
ที่นี่ ท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาว ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าราวกับภาพวาดที่ลงสีอย่างสวยงาม
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าและอากาศสดชื่นมาก
เพียงแต่พวกเขาสองคนอยู่ในซากปรักหักพัง และสภาพแวดล้อมก็แย่เล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่มีความสยดสยองแท้จริงใดเผยให้ผู้อื่นเห็นง่ายๆ ” เต๋าซุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เพียงแต่ว่าเมื่อความน่าหวาดกลัวเหล่านั้นปรากฏขึ้น มันจะทำลายซึ่งทุกสิ่งด้วยพลังอันท่วมท้น”
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?” ราชาเงียบงันถามอย่างสงสัยขณะที่เขามองดูซากปรักหักพังรอบๆตัว
“คำตอบของคำถามเจ้าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อไปเห็นได้ด้วยตาตัวเอง” เต๋าซุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“เราก็ไปดูกันเถอะ บางทีเจ้าอาจจะเข้าใจ”
ราชาเงียบงันพยักหน้า เขาต้องการเดินขึ้นไปในอากาศ
อย่างไรก็ตาม เขาพบว่ามีแรงกดอากาศกดทับอยู่ และเขาไม่สามารถบินขึ้นไปได้เนื่องจากแรงกดทับนี้
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินสำรวจซากปรักหักพังรอบๆ
พื้นที่ของซากปรักหักพังนี้กว้างใหญ่มาก
มันกว้างใหญ่จนไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ในทันที
มีหินขรุขระอยู่รอบๆ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากซากปรักหักพัง
สถานที่แห่งนี้เคยรุ่งโรจน์เป็นอย่างยิ่ง
“นี่เป็นนิกาย นิกายหนึ่งใช่หรือไม่” ราชาเงียบงันถามขณะที่เขาเดินสำรวจ
“ถูกต้อง” เต๋าซุน พยักหน้า
“เพียงแค่สงครามใหญ่นั้นได้ทำลายล้างทุกสิ่ง”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่ก็เห็นศพสองศพปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
โครงกระดูกนี้เป็นของมนุษย์ และอีกโครงกระดูกเป็นของสัตว์อสูร
“บรรพบุรุษชั่วร้าย?” ราชาเงียบงันถามด้วยความประหลาดใจขณะที่เขามองดูศพของสัตว์อสูร
ศพนี้มีสีดำสนิท มีกรงเล็บแหลมคมและมีฟันเหมือนแวมไพร์สองซี่อยู่ในปาก
ดูคล้ายกับภาพก่อนหน้าที่บรรพบุรุษชั่วร้ายแสดงให้เห็น
ลักษณะทั้งสองศพกำลังต่อสู้กัน
ฟันของสัตว์ประหลาดสองซี่กัดที่คอของศพมนุษย์
ศพมนุษย์แทงสัตว์ประหลาดด้วยดาบสั้นในมือขวา
ราชาเงียบงันเดินไปหาศพทั้งสอง
สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ตายไปแล้วไม่ทราบจำนวนปี แต่พวกมันยังคงรักษาท่าทางสุดท้ายนี้ไว้
ราชาเงียบงันมองออกไปในระยะไกลและพบว่ามีกระดูกเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า
มีทั้งสัตว์อสูรและมนุษย์
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าภูเขาและที่ราบแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยซากศพจำนวนมาก ซึ่งเพียงพอที่จะเผยให้เห็นถึงความโหดร้ายในสงครามที่เกิดขึ้นปีนั้นได้
ทั้งสองคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงกระดูกที่ตายแล้วและเดินต่อไปอีกเล็กน้อย
ไม่นานห้องโถงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
มันเป็นพระราชวังที่ทรุดโทรมอย่างมาก
เพียงแต่เมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆแล้วมันก็ดูแข็งแรงและไม่พังทลาย
ราชาเงียบงันเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องใช้ทางพุทธศาสนามากมายวางอยู่รอบๆ ห้องโถงใหญ่
มีทั้งไม้เท้า ดาบ และจีวร
ยังมีต้นโพธิ์เหี่ยวอีกหลายต้น
มีภาพวาดแขวนอยู่ปลายหน้าห้องโถง
แม้จะถูกกัดเซาะเป็นเวลานาน เนื้อหาบนภาพวาดก็ยังคงมองเห็นได้ชัดเจน
เป็นรูปของชายที่มีศีรษะล้าน สวมเสื้อคลุมสีเทาขาดรุ่งริ่ง และใบหน้าที่อ่อนโยน
รอยยิ้มของชายคนนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
มีคำเขียนอยู่ที่ด้านล่างของภาพวาด
“ในช่วงปีพุทธของอี้เฉิง เราได้สละสิ้นความรุ่งโรจน์ครั้งสุดท้ายและตัดสินใจต่อสู้จนตาย”
เมื่อราชาเงียบงันเห็นประโยคนี้ เขาก็ตอบสนองทันที
“อี้เฉิง เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรพุทธ อี้เฉิงผู้มีเมตต่ของโลก”
เต๋าซุน พยักหน้าเบา ๆ มองที่ ราชาเงียบงันที่อยู่ข้างๆเขาแล้วพูด
“เขาคือบรรพบุรุษต้นกำเนิดของพุทธศาสนา บุรุษที่ต้องการช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง
ต่างจากพุทธองค์จอมปลอมหลายองค์ในปัจจุบัน ”
“เขาน่าจะมาจากยุคเดียวกับจักรพรรดิเจี้ยนฉีใช่ไหม?”
“ใช่ ในเวลานั้นเขาเป็นคนที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้ขึ้นแบกรับโชคชะตา” เต๋าซุนพยักหน้าและตอบ
“ถ้าไม่ใช่เพราะสงครามครั้งนั้น จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในปีนั้นอาจไม่ใช่จักรพรรดิเจี้ยนฉีก็ได้”
“เขาตายอยู่ที่นี่รึ?” ราชาเงียบงันถาม
“ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าตายก็คงใช่” เต๋าซุนตอบ
ทั้งสองคนยังคงเดินไปข้างหน้าและการออกจากซากปรักหักพังก็คือจุดหมายปลายทางของพวกเขา
“ข้ายังไม่เข้าใจ” ราชาเงียบงันพูดอย่างสงสัยไปพร้อมกัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ต้นกำเนิดของทุกสิ่งเริ่มต้นจากเผ่าปีศาจกลืนโลหิตกลุ่มแรก ” เต๋าซุนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบ
“บรรพบุรุษอี้เฉิงต้องการช่วยบางคน แต่ต่อมาเขาก็ต้องสิ้นไปเพราะช่วยคนเหล่านั้น
และคนเหล่านั้นก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ทำเช่นเดิม นิสัยเช่นเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ”