ตอนที่ 9 จางลั่วสวี
ตอนที่ 9 จางลั่วสวี
หญ้าจิตวิญญาณในหุบเขาอุ่นเมฆาเติบโตอย่างสมบูรณ์
มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของจางลั่วสวี เขาเฝ้ามองหลินมู่ที่กำลังใช้เคล็ดหยกวารีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อรดน้ำให้กับต้นยาสูบเยือกแข็ง
เคล็ดหยกวารีของหลินมู่เหลือเพียงครึ่งก้าวสู่ขั้นปลาย เวลานี้อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น
หลังจากหลินมู่รดน้ำเสร็จแล้ว เขาหันมากล่าวกับจางลั่วสวี “ศิษย์พี่ ข้าอยากเรียนรู้ทักษะการเพาะปลูกจากท่านได้หรือไม่?”
แน่นอนว่าจางลั่วสวีไม่แปลกใจกับคำถามของหลินมู่ เขามองเห็นว่าอีกฝ่ายชื่นชอบการเพาะปลูก เวลานี้จางลั่วสวีเอ่ยปากถามอย่างใจเย็น “เหตุใดจึงไม่ได้เล่า? หากเจ้ายินดี ข้าย่อมเต็มใจสอนวิธีการเพาะปลูกให้เจ้า แม้กระทั่งประสบการณ์เพาะปลูกตลอดชีวิตของข้าก็ยังสามารถแบ่งปันให้เจ้าได้ แต่อย่างไรแล้วเจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนเพราะการปลูกหญ้าวิญญาณแต่ละชุดจำเป็นต้องใช้เวลาสามถึงห้าเดือน สมุนไพรวิญญาณบางชนิดใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะเติบโตเต็มที่ แล้วเจ้ายินดีที่จะทุ่มเทเวลานานเช่นนั้นเพื่อดูแลพวกมันหรือไม่?”
หลินมู่ยกยิ้ม “ท่านก็ทราบว่าความเร็วในการฝึกฝนของข้าช้ายิ่งนัก และการเพาะปลูกเหล่านี้คงไม่ส่งผลกระทบใดต่อข้านัก อีกทั้งหากข้าได้ทราบวิธีการเพาะปลูก ในอนาคตข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการกินและดื่มอีกต่อไป”
จางลั่วสวีพยักหน้า แต่ก็ยังกล่าวต่อไปว่า “เจ้ายังเยาว์ เช่นนี้จึงไม่อาจตระหนักได้ถึงความสำคัญของเวลา เช่นนั้นข้าจะเล่าประสบการณ์ของข้าให้เจ้าฟัง หลังจากรับฟังแล้วเจ้าค่อยตัดสินใจภายหลังว่าต้องการเรียนรู้ทักษะการเพาะปลูกต่อหรือไม่”
หลินมู่โค้งคำนับอย่างถ่อมตน “ข้าจะตั้งใจฟัง”
เวลานี้จางลั่วสวีเอ่ยปากขั้นกะทันหัน “เจ้าคิดว่าข้าอายุเท่าไหร่?”
หลินมู่สะดุ้งเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามเช่นนี้ แต่ก็ยังตอบไปตามใจคิด “ศิษย์พี่ยังเยาว์ น่าจะอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น”
จางลั่วสวีส่ายศีรษะอย่างขมขื่น “ปีนี้ข้าอายุหกสิบสองปีแล้ว”
หลินมู่เบิกตากว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจริง ๆ ใบหน้าของจางลั่วสวียังเยาว์และดูอ่อนโยนยิ่ง อีกฝ่ายแทบจะไม่แตกต่างจากเขาด้วยซ้ำ แต่กลับบอกกล่าวว่าอายุมากถึงหกสิบสองปีแล้วงั้นหรือ? ยากจะยอมรับจริง ๆ
จางลั่วสวีไม่ปล่อยให้หลินมู่ต้องสงสัยนาน เขาเอ่ยปากต่อไปว่า “เป็นเพราะข้ากินยาอายุวัฒนะตั้งแต่ยังเยาว์ จวบจนถึงทุกวันนี้ รูปลักษณ์ของข้าจึงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความจริงคือข้าอายุหกสิบสองปีแล้ว และระดับยุทธ์ของข้าอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า หากไม่สามารถเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานในเร็ววัน คงจะมีชีวิตต่อไปได้อีกไม่นานนัก”
หลินมู่รีบกล่าวปลอบใจเขา “ศิษย์พี่อาวุโสย ทุกคนย่อมมีโชคชะตาของตนเอง และอีกไม่นานท่านจะเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานแน่นอน”
จางลั่วสวียกยิ้มเศร้าก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “ความจริงแล้ว คุณสมบัติของรากวิญญาณข้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้านัก เจ้ามีรากวิญญาณห้าธาตุ ส่วนข้ามีรากวิญญาณสี่ธาตุคือ ทอง ไฟ น้ำ และดิน ความเร็วของข้าดีกว่าเจ้าเล็กน้อย วันนั้นที่เจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม มันเหมือนกับตอนที่ข้ายังเด็กไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้นเมื่อข้าเห็นเจ้า ข้าจึงเห็นตัวเองในวัยเยาว์อีกครั้ง ต่อให้ข้าจะพยายามอย่างหนักเพียงใด มันก็ไม่อาจดีได้มากกว่านี้แล้ว อีกทั้งในทุกการพยายามอย่างหนัก ข้าได้รับผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“และตอนนั้นข้าเลือกที่จะเรียนรู้ทักษะเพาะปลูกด้วยเช่นกัน…” จางลั่วสวีหยุดชั่วคราว ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ยกเว้นเคล็ดหญ้าพฤกษา ข้าได้ฝึกฝนทักษะทั้งสี่จนถึงขั้นปลายแล้ว ชีวิตของข้าดีขึ้นในช่วงหนึ่ง แต่ข้าก็ถูกสำนักส่งมาดูแลสวนโอสถแห่งนี้แทน ข้าใช้เวลาในการเพาะปลูกสมุนไพรมากเกินไป ยิ่งข้าทำงานหนักมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งห่างไกลจากขอบเขตสร้างรากฐานมากเท่านั้น ในส่วนของการเพาะปลูกสมุนไพรต่าง ๆ ไม่อาจมีใครเทียบเท่าข้าได้ สิ่งนี้มิใช่ข้าโอ้อวด แต่แล้วอย่างไร? สุดท้ายหากไม่สามารถเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานได้ ข้าก็จะแก่ตัวลง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไร้ซึ่งพลัง กลายเป็นเถ้าถุลีในที่สุด หากข้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการฝึกฝน ไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่มายืนอยู่ในจุดนี้…”
“หากเจ้าไม่สามารถเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานได้ ทุกสิ่งที่พยายามจะสูญเปล่ากลายเป็นหมอกควัน” จางลั่วสวีกล่าวพร้อมสีหน้าเจ็บปวด
หลินมู่รีบปลอบโยน “ศิษย์พี่อย่าได้มองโลกในแง่ร้ายนัก ตราบใดที่ท่านพยายาม ท่านจะเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานได้แน่”
สิ่งที่จางลั่วสวีบอกเล่าทำให้หลินมู่ต้องตกตะลึง ชีวิตนั้นแสนสั้น หากเลือกเส้นทางอย่างไม่ระมัดระวัง สุดท้ายคนผู้นั้นจะหลงทาง หลินมู่ลอบขอบคุณจางลั่วสวีในใจที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจจนถึงนาทีนี้ อีกฝ่ายถึงกับยอมบอกกล่าวความลับอันแสนเจ็บปวดให้เขารับฟัง
จางลั่วสวีเงียบอยู่นาน ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “สำหรับข้าตอนนี้ ขอบเขตสร้างรากฐานก็เหมือนกับเงาจันทร์ในบ่อน้ำ คล้ายว่าอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่สุดท้ายแล้วแสนไกล”
“ส่วนเจ้าจะเรียนรู้ทักษะการเพาะปลูกหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า หากเจ้าต้องการเรียนรู้ ข้าจะสอนให้ แต่ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการแล้ว ก็ลืมไปเสีย” หลังจากจางลั่วสวีกล่าวออกมาอย่างนั้นแล้ว เขาก็ค่อย ๆ เดินออกจากหุบเขาแห่งนี้ไป
หลินมู่มองร่างของจางลั่วสวีที่ค่อย ๆ ห่างออกไปอย่างจนปัญญา ขณะที่ร่างเล็กของอีกฝ่ายห่างออกไปเรื่อย ๆ บรรยากาศรอบตัวของเขาช่างน่าหดหู่เกินบรรยาย
หลินมู่ยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน จนกระทั่งร่างของจางลั่วสวีหายไปจากสายตา
เวลานี้เขากลับมาไตร่ตรองถึงอนาคตของตนอย่างจริงจัง สุดท้ายแล้วไม่เคยมีใครสั่งสอนเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตให้กับเขามาก่อน ประสบการณ์ของจางลั่วสวีจุดประกายความคิดในใจของเขาขึ้นมา และตอนนี้เขาไม่ต้องการที่จะเดินซ้ำรอยเท้าของจางลั่วสวี
ไม่มีใครอยากตาย ทุกคนล้วนอยากมีชีวิตที่ดี หลินมู่เองก็มีความปรารถนาที่จะเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานไม่น้อยไปกว่าจางลั่วสวี โดยเฉพาะเขาที่ยังมีความปรารถนายิ่งใหญ่จะกลับไปพบบิดามารดาอีกครั้ง
สำหรับหลินมู่ เขาจะต้องเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานให้ได้
แต่เขาจะสามารถสร้างรากฐานได้ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหรือ? หากไม่มีหินวิญญาณ หรือยาอายุวัฒนะช่วยเหลือ ขอบเขตสร้างรากฐานคงจะเป็นเพียงความฝันแล้ว
หลินมู่ตระหนักได้ว่าตนโชคดียิ่งกว่าจางลั่วสวี เพราะเขามีจี้วังวนจันทราอยู่กับตัว และมีมิติวังวนจันทราด้วย ทั้งสมุนไพรวิญญาณ และยาอายุวัฒนะต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นของเขาทั้งสิ้น ทุกสิ่งอย่างสามารถพัฒนาระดับยุทธ์ของเขาได้ การเร่งเวลาเป็นสองเท่าช่วยทำให้การฝึกฝนของเขาเร็วขึ้นมาก
ทว่าหลินมู่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกินไปนัก การเร่งเวลาเป็นสองเท่านั้นมีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือเขาสามารถก้าวหน้าได้เท่าเทียมกับผู้อื่น แต่ข้อเสียคือเขาจะเสียเวลาชีวิตมากกว่าผู้อื่นถึงสองเท่า หากผู้อื่นสามารถมีอายุยืนยาวได้แปดสิบปี ตัวเขาจะมีอายุยืนยาวได้เพียงสี่สิบปีเท่านั้น ถ้าหากเขาไม่สามารถเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานเหมือนกับจางลั่วสวี เขาก็จะตายตกไม่ต่างกัน
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดฝากความหวังทั้งหมดไว้กับจี้วังวนจันทรา เขาจะต้องค้นหาวิธีใหม่เพื่อกลั่นยาอายุวัฒนะให้ได้
การเรียนรู้เคล็ดวิชาพื้นฐานห้าธาตุคือการวางรากฐานไว้สำหรับอนาคต ลับดาบก่อนจะสับไม้ ทุกสิ่งที่ทำในวันนี้จะส่งผลต่ออนาคต
หลังจากตระหนักทุกสิ่งอย่างได้แล้ว หลินมู่คล้ายกับตรัสรู้ได้
สายลมพัดผ่านเอากลิ่นหอมของยาในหุบเขาอุ่นเมฆาโชยมาแตะจมูก จิตวิญญาณของหลินมู่ถึงกับสั่นคลอนเล็กน้อย
นี่เป็นสัญญาณว่าหญ้าวิญญาณเติบโตเต็มที่แล้ว หลินมู่ตามกลิ่นนั้นไปและได้พบกับหญ้าวิญญาณสีฟ้าอ่อนตรงหน้า หญ้าวิญญาณชนิดนี้หลินมู่รู้จักดี มันชื่อว่าดาราคราม และหญ้าวิญญาณดาราครามที่เติบโตเต็มที่แล้วจะมีเมล็ดพันธุ์มากมายอยู่ภายใน หลินมู่รู้สึกมีความสุขมากขณะเริ่มเก็บเมล็ดของมันอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นความผิดปกติ เขาไม่ได้เก็บกลับไปมากนัก หยิบมาเพียงไม่กี่สิบเมล็ด
ความต้องการของเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก ตราบใดที่เขามีเมล็ดพันธุ์ เขาก็จะจัดการทุกอย่างได้ง่าย
หลินมู่รีบเก็บเมล็ดพืชไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะกลับไปที่ลานของตน
เมื่อเข้าสู่มิติวังวนจันทรา หลินมู่ก็เริ่มเพาะปลูกทันที ในความคิดของหลินมู่ การปลูกหญ้าวิญญาณดาราครามถือเป็นสิ่งที่ง่ายดายที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว
เขาใช้จอบวิญญาณปฐพีเพื่อเกลี่ยพื้นดิน ก่อนจะเริ่มโปรยเมล็ดของหญ้าวิญญาณดาราคราม
จากนั้นก็ใช้เคล็ดหยกวารีรดน้ำสักหน่อย เท่านี้ก็เรียบร้อย
ต้นยาสูบเยือกแข็งที่ปลูกเมื่อวานนี้เริ่มเบ่งบานราวกับมีชีวิต ใบหน้าสีขาวซีดสวยงามน่ารับชม ดูเหมือนว่ามันจะเติบโตได้ดีกว่าคราวที่อยู่ในสวนโอสถเสียอีก
มีความหวังเปล่งประกายในแววตาของหลินมู่