ตอนที่ 3 เผชิญหน้า
ตอนที่ 3 เผชิญหน้า
แสงรุ้งของรุ่งอรุณทะลุทะลวงความมืดมิด ท้องฟ้าเริ่มสาง
หลินมู่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในลานบ้าน ใบหน้าของเขามีความสุขและเปล่งประกายอย่างคนอารมณ์ดี
เขาวางแผนในคืนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว มีความหวังผุดขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง
ทันใดเกิดเสียงเคาะประตูโครมครามดังขึ้น เสียงนี้ขัดจังหวะฝันกลางวันของหลินมู่ทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเคาะยังคงดัง และดังยิ่งขึ้น พิจารณาจากความดัง และความเร็วในการเคาะคราวนี้ ผู้มาเยือนคงจะมาอย่างเกรี้ยวกราดแน่แล้ว
ที่อาศัยของหลินมู่เป็นเพียงลานสี่เหลี่ยมหนึ่งห้องนอน พร้อมร่มไม้สองต้น และมีบ่อปลาเล็ก ๆ ด้านหลัง
ดูเหมือนว่าผู้ที่มาเยือนจะเกลียดชังผู้เป็นเจ้าของลานแห่งนี้ยิ่ง เขาทุบประตูรุนแรงจนบานไม้สั่นสะเทือนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปทั่วบริเวณ
หลินมู่เผยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะเก็บจี้วังวนจันทราไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินผ่านต้นไม้โบราณทั้งสองแล้วเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เปิดประตูออก ใบหน้าอ้วนท้วนปรากฏเต็มประตู ศีรษะขนาดใหญ่พร้อมใบหูกางออกถึงกับบดบังวิสัยทัศน์ภายนอกทันที ใบหน้ามันวาวยิ่งมองยิ่งน่าสะอิดสะเอียน นี่คือศิษย์แรงงาน… หม่าฮวาหยวน
ก่อนหลินมู่จะทันได้พูดอะไร หม่าฮวาหยวนเป็นคนแรกที่เปิดปากคำรามด้วยความโกรธ “แหกตาดูหรือไม่ว่านี่กี่โมงยามแล้ว? รีบไปตักน้ำเร็วเข้า ถ้าหากช้ากว่านี้ข้าจะลงโทษให้เจ้าไปตักน้ำสามสิบถัง”
หลินมู่โกรธทันทีหลังได้รับฟัง เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์และกล่าวต่อไปอย่างใจเย็น “ข้าไม่ต้องการเป็นคนรับใช้อีกแล้ว นักบวชหม่าโปรดกลับไปเสีย”
หม่าฮวาหยวนถึงกับตกตะลึง ไอ้ขยะผู้นี้ถึงกับกล้าหาญต่อต้านงั้นหรือ? มืออ้วนยกเกาศีรษะพร้อมแสร้งทำสับสน “ว่าอย่างไรนะ? เจ้าว่าสิ่งใด? ลองกล่าวอีกทีซิ!”
หลินมู่สูดลมหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ “ข้าไม่ต้องการเป็นคนรับใช้อีกแล้ว จงกลับไปเสีย!”
หม่าฮวาหยวนถึงกับสะดุ้งตัวโยนหลังได้รับฟัง เขายืนนึกคิดสักครู่และสงสัยว่าอีกฝ่ายเมายาวิญญาณที่เสียหายจนกลายเป็นบ้าไปแล้วหรือไม่?
เวลานี้เจ้าอ้วนแสร้งทำกังวลก่อนจะถามว่า “แล้วหากเจ้าไม่ทำงานเป็นคนรับใช้… เจ้าจะเอาหินวิญญาณจากไหนมาจ่ายให้กับสำนักเล่า?”
สำนักดาบพันปักษามีกฎว่าศิษย์นอกจะต้องนำหินวิญญาณระดับต่ำ 10 ก้อนมอบให้สำนักในทุกปี หากว่าในปีนั้นไม่มีจ่าย ก็จะทบไปปีหน้าเป็นสองเท่า และหากปีต่อไปยังไม่มีจ่าย พวกเขาจะทำลายเส้นลมปราณพร้อมจุดตันเถียนของผู้ฝึกตนนั้นโดยตรง เมื่อกลายเป็นคนไร้ประโยชน์แล้วย่อมถูกขับไล่ลงจากภูเขาโดยตรง สุดท้ายแล้วค่าจ้างรายเดือนของหลินมู่คือหินวิญญาณจำนวน 2 ก้อนต่อเดือน สิ่งนี้เพียงพอแล้วที่จะจ่ายให้กับสำนักต่อปี
หลินมู่ยกยิ้มเล็กน้อย “พี่น้องเอ๋ย เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แทนข้า อย่างไรเสียข้าก็ควรมีหนทาง”
หม่าฮวาหยวนได้ยินหลินมู่พูดอย่างนั้นแล้วถึงกับอึ้งไปสักพักใหญ่ นี่คือหุ่นเชิดที่เขาสามารถใช้รับยาวิญญาณมาได้ฟรี ๆ หากสูญเสียมันผู้นี้ไปแล้วก็น่าเสียดายไม่น้อยใช่ไหม?
น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวโน้มน้าว “พี่น้องเอ๋ย อย่าได้หุนหันพลันแล่นเลย เจ้าเป็นคนรับใช้ทำงานให้กับข้าก็ดีอยู่แล้ว นอกจากจะไม่สูญเสียสิ่งใด เจ้าก็ยังได้รับหินวิญญาณเพียงพอสำหรับจ่ายให้สำนัก อีกทั้งงานไม่ใช่หาง่าย เจ้าควรจะคว้าเอาไว้ให้มั่น สุดท้ายแล้วความผิดพลาดเพียงหนึ่งครั้งอาจเป็นบ่อเกิดแห่งความเกลียดชังชั่วนิรันดร์” คำว่าเกลียดในช่วงท้ายถูกเน้นหนักอย่างจงใจ และน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยภัยคุกคาม
หลินมู่ไม่อยากจะพูดคุยกับเขาอีกต่อไป เวลานี้เขาพยายามอดกลั้นอย่างถึงที่สุด “ข้าจะลองพิจารณาอีกครั้ง หลังจากตัดสินใจแล้วข้าจะบอกกล่าวต่อเจ้าภายหลัง”
ทันทีที่พูดจบ หลินมู่คิดปิดประตูเพื่อขับไล่แขกออกไป แต่ว่าหม่าฮวาหยวนกลับใช้ร่างกายอวบอ้วนของเขาปิดกั้นประตูเอาไว้ก่อน สายตาจับจ้องหลินมู่ทั้งยังเอ่ยเสียงเย็นชา “อย่าปฏิเสธเหล้าไวน์ชั้นเลิศ ไม่เช่นนั้นจะต้องดื่มเป็นการลงโทษ… รีบไสหัวไปตักน้ำเสีย แล้วข้าจะแสร้งทำว่าเรื่องวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น หากไม่คิดทำตามแต่โดยดีก็อย่าได้ตำหนิที่ข้าหยาบคาย!”
หลินมู่รู้สึกว่าคงไม่สามารถประณีประนอมกับอีกฝ่ายได้ต่อไป เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่กลับออกไป เขายังต้องการเอารัดเอาเปรียบตนอยู่ตลอดเวลา เวลานี้เขารู้สึกต้องจัดการกับหม่าฮวาหยวนตรงหน้าให้จริงจังเสียที
เห็นใบหน้าอ้วนยื่นเข้ามาใกล้ หลินมู่จงใจคำรามลั่น “ข้าจะทำสิ่งใดมันก็เรื่องของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์สอดมือมายุ่ง!”
เสียงดังก้องราวระฆังทองคำ ศิษย์นอกที่อยู่ในลานใกล้เคียงได้ยินเสียงพวกเขาทะเลาะกันทันที ทั้งหมดพุ่งออกมาที่หน้าลานของตนเพื่อรับชมสิ่งที่น่าสนใจ ไม่นานผู้คนก็มารวมตัวกันที่ลานหน้าบ้านของหลินมู่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ฝูงชนยิ่งมายิ่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หม่าฮวาหยวนถึงกับขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ หากเป็นการรังแกผู้อื่นอย่างลับ ๆ เขามีความกล้าหาญเพียงพอ แต่เขายังไม่กล้าหาญพอที่จะรังแกผู้คนต่อหน้าสาธารณชน หากศิษย์คุมกฎในสำนักมาพบเจอว่าเขาทำร้ายสหายร่วมสำนัก มันจะทำให้เขาหมดที่ยืนทันที
และเขายังไม่ต้องการแบกรับความอับอายในยามนี้ จึงตะโกนออกมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ “เจ้ามันไร้ประโยชน์ คิดจะอยู่อาศัยอย่างสิ้นเปลืองงั้นหรือ? หากไม่ทำงานเป็นคนรับใช้แล้วจะมีปัญญาไปทำสิ่งใด?”
หลินมู่ได้ยินแล้วยิ่งโกรธมากขึ้น อีกฝ่ายคงจะกู่ไม่กลับอีกแล้ว เวลานี้คงจะต้องหักกันไปข้าง เวลานี้เขาทุบขวดโหลก่อนจะชี้ใส่หน้าของหม่าฮวาหยวนพร้อมสาปแช่ง “ข้าทำงานอย่างมีมโนธรรมให้กับสำนักเสมอมา แต่เจ้าล่ะทำสิ่งใด? เจ้ามอบสิ่งใดให้ข้าหรือ? เป็นเจ้าทั้งนั้นที่ขโมยเอายาวิญญาณของข้าเข้าสู่กระเป๋าของตัวเอง ยาวิญญาณที่ข้าได้รับทั้งหมดเป็นสิ่งไร้ประโยชน์! สุดท้ายแล้วเราทุกคนคือเพื่อนมนุษย์ อย่าได้คิดรังแกผู้อื่นมากเกินไป!”
หลังพูดออกไปอย่างนั้นแล้ว หลินมู่วิ่งเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วหยิบยาวิญญาณที่เสียหายออกมา จากนั้นโยนมันออกไปนอกลานเพื่อให้ทุกคนได้เห็น แน่นอนว่ามองเพียงครั้งเดียวก็ทราบว่ายานี้เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ หากฝืนกลืนมันลงท้องมีแต่จะทำให้เกิดผลเสีย สิ่งที่หลินมู่กล่าวทั้งหมดเป็นความจริง
ศิษย์นอกของสำนักดาบพันปักษาตกตะลึงหลังจากทราบความจริงทั้งหมด พวกเขาเริ่มหันกลับมาสาปแช่งหม่าฮวาหยวนผู้ไร้ยางอายทันที
“ไร้ยางอายสิ้นดี นี่คือการกระทำที่ไร้จิตสำนึก” ศิษย์ในชุดคลุมสีเขียวเอ่ยปากขึ้น หลินมู่หันมองเขาด้วยสายตาขอบคุณ
“สิ่งนี้ผิดแปลกไปจากวิถีแห่งเซียน จิตใจที่ชั่วร้ายคือว่าเป็นบาปสาหัส” บางคนเอ่ยปากขึ้นมา
มีหลายคนออกมาสนับสนุนคำพูดเหล่านี้โดยตรง “สิ่งที่หม่าฮวาหยวนทำเป็นความผิดจริง เขาควรมอบยาวิญญาณสภาพสมบูรณ์ให้กับผู้คน หากเป็นข้าที่ถูกฉกฉวยยาไปเสมอ คงจะหนีไม่พ้นเป็นสุนัขตกอับกระโจนเข้ากำแพง”
หม่าฮวาหยวนหันมองหลินมู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว ใบหน้าอ้วนท้วนกระเพื่อมไปมาด้วยความขุ่นเคือง แต่สุดท้ายแล้วความไร้ยางอายของเขาก็มากเหลือเกิน “มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือที่ขยะควรจะคู่กับขยะ?”
เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วบริเวณ
มีคนกล่าวสนับสนุนขึ้นมา “เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว สุดท้ายหลินมู่เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ การมอบยาวิญญาณให้เขาเป็นสิ่งที่ไร้ค่า คงดีกว่าหากมอบให้ผู้อื่น”
แต่ก็มีคนกล่าวคัดค้านขึ้นทันที “เจ้าจะกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร? หม่าฮวาหยวนไร้ยางอาย! เขากลืนยาวิญญาณทั้งหมดเพียงผู้เดียว ข้าคิดว่าเขาควรจะแบ่งให้กับพวกเราเท่า ๆ กันดีกว่า เช่นนี้จึงจะถือว่ายุติธรรม”
คำกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนทันที
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย “อย่าได้ซ้ำเติมผู้อื่นเช่นนั้น ศิษย์น้องหลินมู่ยิ่งจะเสียใจที่ต้องถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเจ้าอย่าได้ดูถูกผู้อื่นเกินไปนัก”
คนที่กล่าวเช่นนี้ก็ยังเป็นศิษย์ในชุดคลุมสีเขียวเช่นเดิม หลินมู่อดไม่ได้ที่จะลอบชื่นชมเขาอยู่ในใจ และลอบจดจำใบหน้าของเขาเอาไว้
หลินมู่หันมองฝูงชนด้านนอก และสัมผัสได้ว่าตนปลอดภัยแล้ว เขาโค้งคำนับให้กับศิษย์นอกทั้งหมดก่อนจะหันกลับมาหาหม่าฮวาหยวนแล้วพูดว่า “นักบวชหม่า โปรดกลับไปเสีย”
นักบวชหม่าสบถออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด เขาหันหลังกลับไปแต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวทิ้งท้าย “ไอ้หมาน้อย ฝากไว้ก่อน!”
เห็นว่าเรื่องราวสนุกสนานได้จบลงแล้ว ฝูงชนทั้งหมดแยกย้ายกันไปทันที ศิษย์ชุดคลุมเขียวโค้งคำนับต่อหลินมู่ด้วยรอยยิ้ม หลินมู่โค้งคำนับต่อเขาเพื่อแสดงความขอบคุณเช่นกัน
หลังจากปิดประตูลานเรียบร้อย หลินมู่กลับเข้ามาในห้องของตน
การเผชิญหน้าในคราวนี้กินพลังของหลินมู่ไปมากพอสมควร แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะเผชิญหน้ากับหม่าฮวาหยวนรวดเร็วเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว แม้หม่าฮวาหยวนจะไม่กล้าทำอะไรเขาเมื่อมีศิษย์นอกเฝ้ามองมากมาย แต่ในอนาคตก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้ เขาควรจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
กลับมาถึงห้องเงียบของตนอีกครั้ง หลินมู่ปูเสื่อฟางพร้อมกับล้มตัวลงนอน
เขาไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน และหม่าฮวาหยวนก็ยังมารบกวนแต่เช้า คราวนี้หลินมู่เหนื่อยมากจนผล็อยหลับสนิทไปอีกครั้ง