ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 จี้วังวนจันทรา

ตอนที่ 1 หลินมู่


ตอนที่ 1 หลินมู่

“เพล้ง!”

ขวดแก้วถูกขว้างลงพื้น เศษแก้วแตกกระจายเป็นเสี่ยงกระเด็นไปคนละทิศทาง ยาสองสามเม็ดที่บรรจุอยู่ภายในขวดก็แตกออกเช่นกัน

ยาอายุวัฒนะนี้มีรอยด่าง และผิวหยาบ อีกทั้งยังมีเศษหญ้าเล็กน้อยปรากฏให้เห็นด้วย

หลินมู่มองยาที่เขาเพิ่งขว้างแตกอย่างเหนื่อยหน่าย เขารู้สึกหมดสิ้นหนทางอย่างบอกไม่ถูก

นี่คือยาวิญญาณ มันมีประโยชน์ต่อผ็ฝึกตนในขอบเขตพลังชี่มาก

แต่ยาวิญญาณขวดนี้ถือเป็นของเสีย!

ยาอายุวัฒนะทุกสิ่งที่กลั่นออกมาล้มเหลวไม่สามารถนำไปใช้งานได้ เพราะหากฝืนใช้แล้วสุดท้ายจะเกิดอันตรายกับตัวผู้ใช้

หลังจากหลินมู่ได้รับยาวิญญาณขวดนี้ และเขาก็พบว่ามันเป็นเพียงยาไร้ประโยชน์ แม้จะโกรธมากแต่เขาก็ไม่อาจต่อสู้กับผู้ที่มอบยานี้ให้กับตนได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์แรงงาน

หลินมู่เป็นเพียงช่างซ่อมบำรุงในสำนักดาบพันปักษา หน้าที่ของเขาคือซักผ้า ทำอาหาร ตักน้ำ และทำความสะอาด ส่วนศิษย์แรงงานมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการเรื่องราวของศิษย์นอก และเป็นปกติที่จะแจกจ่ายยาวิญญาณให้กับพวกเขา

ทุกครั้งที่หลินมู่ทำงานครบหนึ่งเดือน สำนักจะมอบหินวิญญาณระดับต่ำให้สองก้อนพร้อมกับยาวิญญาณหนึ่งขวด

แต่เป็นเพราะนักบวชหม่าฉวยประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับตัวเอง ต่อให้เขาจะยอมมอบหินวิญญาณระดับต่ำทั้งสองก้อนออกมา แต่ยาวิญญาณที่ดีถูกเก็บเอาไว้เสียเอง ส่วนยาที่เสียหายถูกส่งต่อให้หลินมู่

นี่เป็นครั้งที่สามที่หลินมู่ได้รับยาไร้ประโยชน์ และเป็นช่วงที่นักบวชหม่าเข้ามาดูแลกิจการของศิษย์นอกเป็นเวลาสามเดือนด้วยเช่นกัน กล่าวอีกอย่างก็คือหลังจากอีกฝ่ายเข้ามาทำหน้าที่นี้ หลินมู่ไม่เคยได้รับสิ่งที่ดีอีกเลย และยังไม่อาจคาดหวังถึงอนาคตได้ด้วย

ทำงานหนักมาตลอดทั้งเดือนแต่ไม่ได้รับค่าตอบใด ผู้ใดเล่าจะไม่ขุ่นเคือง?

ในขณะที่หลินมู่รู้สึกโกรธ แต่ในใจก็ยิ่งตระหนักถึงความอ่อนแอของตนมากเท่านั้น นักบวชหม่าอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ด แต่ตัวเขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสาม แน่นอนว่าเขาไม่สามารถยั่วยุอีกฝ่ายได้

นอกจากนี้หลินมู่เองก็ทราบว่าขอบเขตฝึกฝนที่ต่ำต้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่นักบวชหม่ากล้าหาญจะเอาเปรียบเขาเป็นเพราะหลินมู่เป็นผู้มีรากวิญญาณห้าธาตุ

รากวิญญาณถือเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้ฝึกตนยิ่ง ในโลกการฝึกตนนั้นรากวิญญาณเดียวคือสิ่งที่ดีที่สุด อย่างเช่น รากวิญญาณธาตุไฟ รากวิญญาณธาตุน้ำ หรือหากจะเป็นรากวิญญาณคู่ก็ควรจะเป็น รากวิญญาณธาตุไฟและน้ำ รากวิญญาณธาตุดินและไม้ หรือรากวิญญาณสามธาตุ และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือรากวิญญาณห้าธาตุ ยิ่งรากวิญญาณยอดเยี่ยมมากเท่าใด ผู้ที่ครอบครองก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณฟ้าดินได้มากขึ้น และจะทำให้การฝึกฝนรวดเร็วขึ้นด้วย

แน่นอนว่ารากวิญญาณของหลินมู่เป็นสิ่งที่ยอดแย่ที่สุด เพราะเขาครอบครองรากวิญญาณห้าธาตุ ทั้งหมดล้วนเท่าเทียมไม่มีสิ่งใดโดดเด่นหรือย่ำแย่ไปกว่ากัน หากเปรียบเทียบกับศิษย์คนอื่น ๆ แล้วความสามารถในการสัมผัสถึงพลังวิญญาณฟ้าดินของหลินมู่น้อยกว่าคนเหล่านั้นกว่าครึ่ง! ต่อให้เขาจะฝึกฝนอย่างหนัก แต่สุดท้ายแล้วเขาจำเป็นต้องพยายามมากกว่าผู้อื่นถึงสามเท่า และยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปเรื่อย ๆ ระยะห่างนี้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

นักบวชหม่าอาศัยความก้าวหน้าที่เชื่องช้าของหลินมู่เป็นข้อได้เปรียบ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดสนใจต่อความดีและชั่ว เขาขโมยเอายาของหลินมู่อย่างไม่คิดกังวลว่าวันหนึ่งหลินมู่จะเหนือกว่าและกลับมาล้างแค้นภายหลัง

อีกทั้งเมื่อเขาฉกฉวยยาของหลินมู่มาแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของหลินมู่ก็จะยิ่งช้าลง แต่ความเร็วในการฝึกฝนของเขากลับมากขึ้น ยิ่งตระหนักได้อย่างนี้แล้ว หัวใจของเขาก็ยิ่งไร้ศีลธรรมมากขึ้น

หลินมู่ทำได้เพียงฟุบหน้าลงบนฟูกเก่า ๆ ในห้อง เศษแก้วที่กระจัดกระจายบนพื้นคล้ายกับกำลังหัวเราะเยาะเขาในความเงียบงัน

หลินมู่ไม่มีใจปรารถนาอยากจะฝึกฝนอีกแล้ว เขากำลังโศกเศร้าอย่างถึงที่สุด หัวใจห่อเหี่ยวอย่างอับจนต่อโชคชะตา

หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งห้องค่อย ๆ มืดลง หลินมู่ถอดจี้หยกออกจากลำคอพร้อมกับร้องไห้เงียบ ๆ จี้หยกถูกกระชับไว้ในมือแน่นหนาในขณะน้ำตาไหลอาบแก้มสองข้างด้วยความเจ็บปวด

เขาจดจำคำบอกกล่าวของบิดามารดาก่อนจะออกเดินทางได้ดี อีกฝ่ายเพียงขอให้เขาตั้งใจฝึกฝน และมารดาได้หยิบของมีค่าชิ้นเดียวในครอบครัวมาคล้องคอให้กับเขา นี่คือมรดกสืบทอดของตระกูลโดยมารดาของเขามีความเชื่อว่าสิ่งนี้จะคอยคุ้มครองหลินมู่

ย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว ภาวะอดอยากเกิดขึ้นในบ้านเกิดของหลินมู่ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยผู้คนที่หิวโหย ครอบครัวของหลินมู่ไม่มีแม้ข้าวสักเมล็ด พวกเขาอาศัยเปลือกไม้ประทังชีวิตไปวัน ๆ หลังจากเปลือกไม้ถูกกินจนหมดสิ้น ชีวิตของพวกเขาจึงยิ่งสั่นคลอนมากขึ้น

เวลานั้น อาวุโสของสำนักดาบพันปักษามุ่งหน้าสู่สถานที่แห่งนั้นเพื่อคัดเลือกศิษย์นอก โดยบอกว่าถ้าหากสามารถเข้าสู่สำนักดาบพันปักษาได้ พวกเขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอีกต่อไป

หลังจากบิดาของหลินมู่ได้ยินคำบอกเล่าเช่นนั้น เขาหันมองหลินมู่ที่ผอมแห้งด้วยความหดหู่ ร่างกายของเด็กชายน่าสังเวชเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ เวลานั้นเขาจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะพาหลินมู่ข้ามภูเขามุ่งหน้าไปหาผู้เฒ่าคนนั้น ผู้เป็นบิดายอมละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดเพื่อให้ผู้เฒ่ายอมรับหลินมู่เป็นศิษย์ สุดท้ายเขาก็ทราบดีว่าหากหลินมู่จากไป พวกเขาคงจะไม่ได้พบเจอกันตลอดกาล แต่อย่างไรก็ไม่อาจอดทนมองลูกชายตายตกไปต่อหน้าได้

ผู้เฒ่าตรวจสอบกระดูกของหลินมู่ และบอกกล่าวว่าหลินมู่มีรากวิญญาณที่สามารถฝึกฝนได้ก็จริง แต่รากวิญาณของหลินมู่มันไร้ประโยชน์เกินกว่าจะแสวงหาความเป็นเซียนได้…

บิดาของหลินมู่ไม่ยอมแพ้ เขาคุกเข่าลงเพื่อขอร้อง เขาใช้ศีรษะทุบกับพื้นจนเลือดออกแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดการกระทำ ทั้งหมดก็เพื่อให้หลินมู่ได้เข้าสู่สำนัก ผู้เฒ่าเห็นความตั้งใจของอีกฝ่าย และเห็นอกเห็นใจพ่อลูกทั้งสอง เขาจึงยอมรับหลินมู่เข้าสู่สำนักในคราวนั้น

หลังจากหลินมู่เข้าสู่สำนักดาบพันปักษา เขามีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ แต่เพราะรากวิญญาณที่เลวร้ายและการฝึกฝนที่เชื่องช้าทำให้เขาต้องถูกรังแกอยู่เสมอ อีกทั้งยังถูกฉกฉวยของสำคัญโดยนักบวชหม่าด้วย

หลินมู่คิดถึงบิดามารดาอย่างหนัก และเฝ้านึกคิดว่าพวกเขารอดพ้นจากภาวะอดอยากได้หรือไม่ มีหลายครั้งที่เขาต้องการลงจากภูเขาเพื่อไปเยี่ยมทั้งสอง

แต่เพราะกฎของสำนักดาบพันปักษานั้นเคร่งครัดมาก จะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ลงจากภูเขาจนกว่าจะเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน

ซึ่งหมายความว่าหากเขายังไม่เข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน หลินมู่จะไม่มีวันได้พบเจอบิดามารดาตลอดชีวิตนี้

เขาพยายามอดทนและฝึกฝนอย่างหนัก โดยหวังว่าตนจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานโดยเร็วและได้พบกับทั้งสองอีกครั้ง

แต่เพราะรากวิญญาณของเขาไร้ประโยชน์ การฝึกฝนของเขาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า และนักบวชหม่ายังมาขโมยยาวิญญาณของเขาในทุกเดือน ชีวิตของเขาจึงยิ่งสิ้นหวังมากขึ้น

เขาใช้เวลานานกว่าสามปีจนสามารถเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสาม แต่ว่าขอบเขตกลั่นลมปราณมีทั้งหมดสิบขั้น… ยิ่งเดินมาไกลเท่าไหร่ ความเร็วก็จะยิ่งช้าลงมากเท่านั้น และด้วยความเร็วของเขาในตอนนี้อาจกินเวลากว่าห้าสิบปีในการเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน

ห้าสิบปีหลังจากนี้ บิดามารดาคงจะไม่รอเขาแล้ว

หลินมู่คิดถึงบิดามารดาที่ต้องแก่ชราไปเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดอยู่เคียงข้างกับทั้งสองในยามลำบาก ยิ่งนึกคิดเท่าไหร่หัวใจของเขาก็ยิ่งโศกเศร้ามากเท่านั้น เขายิ่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก และยากจะหยุดได้ในตอนนี้

เขากระชับจี้หยกในมือไว้แน่นพร้อมกับฟุบหน้าลงร้องไห้ไปกับมัน น้ำตาแห่งความเสียใจและเสียงสะอื้นแห่งความเจ็บปวดยากที่จะระงับได้อีกแล้ว

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาค่อย ๆ หยุดร้องไห้ ก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ

ในใจลอบสาบานว่าจะต้องเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน และกลับไปพบบิดามารดาผู้ให้กำเนิดอีกครั้งให้ได้!

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด