Chapter 12 ฉันคือมู่เชิง
ภายใต้การรบเร้าของเด็กๆทั้งสามคนและพนักงานขาย หลี่ซูจำใจต้องเดินเข้าไปในร้านและเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอ
ขณะที่หลี่ซูกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องลองชุด พนักงานขายยังนำขนมมาให้เด็กทั้งสามคนกินอีกด้วย
จี้ซีซวนโบกมือเหมือนผู้ใหญ่ “ขอบคุณครับคุณน้า ผมคงรับไว้ไม่ได้หรอก”
จี้ซีอัง จอมตะกละคนนี้ยิ้ม "งั้น ฉันจะช่วยพี่ใหญ่กินมันเอง"
จี้หยวนหยวนมองดูจี้ซีอังแล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ จี้ซีอังทำตัวไม่น่ารักเลยตอนเด็กๆ
จี้หยวนหยวนยัดขนมในมือของเธอใส่มือของจี้ซีอังเพื่อแลกกับรอยยิ้มประจบประแจง
เธอมองดูด้วยความเอือมระอา
ที่ด้านนอกของร้าน มีเด็กชายคนหนึ่งแต่งตัวมอมแมมรีบเดินผ่านไป เขาดูมีพิรุธราวกับว่าเขากำลังหนีจากบางสิ่งบางอย่าง
จี้หยวนหยวนแอบคิดอยู่ในใจ เมื่อพิจารณาเสื้อผ้าของเด็กคนนั้น เขาดูเหมือนพวกขอทาน แต่เขาไม่ได้เข้ามาขโมยอะไร ถ้าอย่างนั้น เขาก็กำลังถูกไล่ล่าเหรอ?
ขณะที่จี้หยวนหยวนครุ่นคิดอยู่นั้นก็ถูกหลี่ซู่เข้ามาขัดจังหวะพอดี
หลี่ซู่ออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและลูบชุดใหม่บนตัวเธอเบาๆ
“นี่ดูเหมือนจะไม่เหมาะกับฉันนะ…” มีรอยยิ้มเจื่อนๆที่น่าอึดอัดบนใบหน้าของเธอ
เมื่อเธอมองดูที่ป้ายราคา ชุดนี้มีราคาถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญ
นอกจากนี้เธอไม่เคยสวมชุดแบบนี้มาก่อน
ดวงตาของจี้หยวนหยวนเป็นประกาย “แม่คะ ชุดนี้ดูดีมาก มันเหมาะกับแม่มากเลยนะคะ”
จี้ซีซวนมองเธอขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “แม่ฮะ เราซื้อชุดนี้กันเถอะ”
ปากของจี้ซีอัง เต็มไปด้วยลูกกวาดขณะที่เขาพึมพำ "แม่ฮะ แม่ใส่ชุดนี้แล้วดูสวยเหมือนดาราหนังเลย"
หลี่ซูยังคงยิ้มแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก “ชุดนี้มันไม่เหมาะกับฉันจริงๆ ลืมมันไปเถอะนะ”
ขณะที่เธอพูดสิ่งนี้เธอก็หันหลังจะกลับ จี้หยวนหยวนกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเธอ
ทันใดนั้น พนักงานขายก็รีบคว้ามือของหลี่ซู “พี่คะ ได้โปรดรอสักครู่”
เธอรีบหยิบหนังยาง กิ๊บติดผม และหวีออกมาอย่างรวดเร็ว “ผมของคุณดูไม่ค่อยเรียบร้อย ให้ฉันเปลี่ยนทรงผมของคุณให้นะ”
ผมของหลี่ซู่ ถูกมัดเป็นหางม้าต่ำ ผมยุ่งบนหน้าผากของเธอดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก
หลี่ซู่ ถูกพนักงานขายดึงให้นั่งลง ภายใต้ฝีมืออันเชี่ยวชาญของอีกฝ่าย ผมหางม้าต่ำก็ขดเกลียวสลวยอย่างรวดเร็ว
หลี่ซู่ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
เธอยืนดูอยู่หน้ากระจกด้วยความงุนงง
“พี่คะ ผู้หญิงเราน่ะจะไม่ใช้เงินเลยไม่ได้นะคะ เพราะพวกผู้ชายไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่ เขาก็ยังคงชอบผู้หญิงที่ดูดีและแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน หากคุณไม่ยอมใช้จ่ายเงิน ยังมีผู้คนภายนอกอีกมากที่ต้องการสวมมันแทนคุณนะ…” พนักงานขายยืนข้างๆเธอและพร่ำบ่น เมื่อหลี่ซูได้ยินดังนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที
จริงๆ แล้วตอนที่เธอยังเด็ก เธอสวยกว่า เสิ่นเหม่ยมาก
แต่เนื่องจากเธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตติดดิน นับตั้งแต่เธอให้กำเนิดจี้ซีซวน เธอก็ไม่สนใจที่จะแต่งตัวให้ตัวเองอีกเลย ในทุกๆวัน เธอมักจะล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดและไม่ได้ทาสิ่งอื่นใดอีกหลังจากนั้น และเธอก็ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองมานานหลายปีแล้ว
“ตกลง ฉันจะซื้อชุดนี้” หลี่ซูพูดอย่างสงบด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
ใช่ ถ้าผู้หญิงเราไม่รักตัวเอง แล้วใครล่ะจะมารักเรา
เมื่อเธอออกมาจากร้าน ถุงใบหนึ่งก็ปรากฏในมือของหลี่ซู
มันเป็นเสื้อผ้าเก่าของเธอ เธอยังคงสวมชุดสูทสีฟ้าตัวนั้นอยู่
ด้วยคำร้องขอจากจี้หยวนหยวน บอกเธอว่าเธอดูดีในชุดนี้และจะไม่ยอมให้เธอถอดมันออกไปไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
หลี่ซู่ พาลูกทั้งสามของเธอแวะซื้ออาหารก่อนที่เธอจะวางแผนเดินทางกลับ
ขณะที่เธอเดินออกจากห้างสรรพสินค้า เธอก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ตรงหน้า
“ปล่อยฉันไปเถอะ คนนี้เป็นพวกค้ามนุษย์ ฉันไม่ใช่ลูกของเขา...”
“แกกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรน่ะ ? แม้ว่าฉันกับแม่ของแกจะหย่ากันแล้ว ฉันก็ยังเป็นพ่อของแกอยู่นะ รีบตามฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้แกไปที่บ้านแม่ของแกอีกแล้ว”
“ฉันไม่ใช่ลูกของเขาจริงๆนะ ฉันมาจากเมือง B ฉันถูกเขาลักพาตัวมา”
-
จี้หยวนหยวนเดินผ่านไปและไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ในตอนแรก แต่เมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับเมือง B เธอก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา
เธอจำได้ว่า ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ เมื่อจี้เจียนกั๋วพาพวกเขามาที่นี่เพื่อซื้อเสื้อผ้า เธอได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งไว้
ในตอนนั้น เธอวิ่งเล่นไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย และบังเอิญชนเข้ากับเด็กชายคนหนึ่ง จี้เจียนกั๋วรีบวิ่งไปขอโทษ และเด็กชายก็ถือโอกาสขอความช่วยเหลือจากจี้เจียนกั๋วทันที
จี้เจียนกั๋ว จึงโทรหาตำรวจ และต่อมาเขาพบว่าครอบครัวของเด็กชายมาจากเมือง B พร้อมเงินจำนวนหนึ่ง สาเหตุเกิดจากข้อพิพาททางธุรกิจ ลูกชายคนเดียวของครอบครัวจึงถูกลักพาตัวมาที่นี่
ต่อมาครอบครัวของเด็กชายผู้นี้มอบเงินให้กับจี้เจียนกั๋วก้อนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ลาออกจากงานประจำและใช้เงินนั่นเพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ
จี้หยวนหยวนจับมือหลี่ซูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “แม่คะ เรามาช่วยเด็กชายคนนั้นกันเถอะ ลุงคนนั้นเป็นคนไม่ดี”
หลี่ซู่ รู้สึกสับสนเล็กน้อย "หนู รู้ได้ยังไง ว่าลุงคนนั้นไม่ใช่พ่อของเด็ก”
จี้หยวนหยวนมีความกังวลเล็กน้อย “ไม่จริงหรอกค่ะ ลุงคนนั้นเป็นคนไม่ดี”
หลี่ซู่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอยังคงเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชนพร้อมกับลูกสามคนของเธอ
เด็กชายคนนี้เป็นเด็กชายแต่งตัวโทรมๆ ที่จี้หยวนหยวนเคยเห็นที่ทางเข้าร้านเสื้อผ้าสตรี
ภาพใบหน้าของเด็กชายค่อยๆ ซ้อนทับขึ้นกับความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ
เธอเกือบจะแน่ใจว่าเด็กชายคนนี้คือเด็กชายคนเดียวกับที่ จี้เจียนกั๋วเคยช่วยชีวิตไว้
“พี่เกาดัน ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ? แล้วคุณลุงคนนี้เป็นใครกัน ?” เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นกำลังจะพาตัวเด็กออกไป จี้หยวนหยวนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
เด็กชายผู้นั้นยังมีไหวพริบดีจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่จี้หยวนหยวนแล้วพูดขึ้นว่า “ลุงคนนี้เป็นคนไม่ดี รีบไปบอกพ่อแม่ของฉันเร็วเข้า”
สีหน้าของจี้หยวนหยวนเริ่มกังวลใจขึ้นเล็กน้อย “พี่เกาตัน รอฉันด้วย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้…”
หลี่ซู่ มองไปที่ฝูงชน “ฉันรู้จักเด็กคนนี้ค่ะ เขาเป็นลูกของเพื่อนบ้านของฉัน”
จากนั้นฝูงชนก็เริ่มมีปฏิกริยา ชายคนนี้จึงเป็นผู้ค้ามนุษย์จริงๆ
ผู้คนในยุคนี้มีความกระตือรือร้น ช่วยเหลือกันเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว กลุ่มผู้ชายตัวสูงรูปร่างใหญ่สองสามคนก็รีบก้าวออกมาและพยายามจับผู้ชายคนนั้น
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี ชายคนนั้นจึงหันหลังกลับและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
คนกลุ่มนั้นพยายามไล่ตามเขา แต่ก็พลาดไปในไม่กี่วินาที เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้รู้วิธีหลบหลีกเป็นอย่างดี
เด็กชายดูเขินอาย แต่เขารู้วิธีที่จะวางตัวอย่างสุภาพ เขามองไปที่ หลี่ซู่ แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะฮะ คุณช่วยทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ผมด้วยได้มั้ยฮะ เมื่อผมพบครอบครัวแล้วจะขอให้พวกเขาได้ตอบแทนพวกคุณ”
หลี่ซู่ ส่ายหัวของเธอ “ไม่ต้องหรอกจ๊ะ พวกเราไม่ต้องการให้คุณตอบแทนเรา”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เธอถามอีกครั้งว่า “หนูพอจะจำได้ไหมว่าบ้านหนูอยู่ที่ไหน? ต้องการให้ฉันพาไปที่สถานีตำรวจมั้ย”
เด็กชายส่ายหัว “ผมจำเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านของผมได้ ผมต้องการใช้โทรศัพท์”
หลี่ซูมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วและเห็นโทรศัพท์ในร้านค้าเล็กๆ ริมถนน
“ไปกันเถอะ มีเครื่องนึงอยู่ทางนั้น” หลี่ซูชี้
เด็กชายพยักหน้าเบา ๆ และเดินตาม หลี่ซู่ ไป
มือของ จี้หยวนหยวน ถูก จี้ซีซวนจับมือไว้ แต่ตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่เด็กชาย
ทำไมใบหน้าของเด็กชายคนนี้ถึงดูคุ้นเคยขนาดนี้? ราวกับว่าเธอเคยเห็นที่ไหนสักแห่งมาก่อน
จี้ซีซวนถามด้วยเสียงโทนต่ำ “หยวนหยวน เกิดอะไรขึ้น? น้องเหนื่อยไหม? น้องอยากให้พี่ใหญ่ช่วยอุ้มไหม” จี้หยวนหยวนส่ายหัว ตอนนี้เธอเต็มไปด้วยความคิด
ในยุคนี้โทรศัพท์มือถือยังไม่ได้มีใช้กันอย่างแพร่หลาย มีเพียงคนรวยไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีในครอบครอง เป็นเครื่องใหญ่ๆ และโทรศัพท์บีบี
ตามร้านค้าเล็กๆ ริมทางมักจะมีเพียงโทรศัพท์บ้าน ซึ่งผู้ใช้ต้องจ่ายค่าโทร โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 40-50 เซ็นต์ต่อนาที
เด็กชายคนนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหมายเลขอย่างชำนาญ ภายในสองวินาที ก็มีคนรับสาย
“คุณปู่ฮะ นี่ผมเอง มู่เชิง. ผมสบายดีฮะ …”