ตอนที่ 60 ตกอยู่ในกำมือ
ตอนที่ 60 ตกอยู่ในกำมือ
สรรพคุณทางด้านการรักษาของยาปรับต้นกำเนิดนั้นดีเยี่ยมอย่างไร้ข้อกังขา เพียงทำการฝึกฝนอยู่ไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บของจี้เตี๋ยจึงฟื้นฟูมาได้เกือบหายดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงลองพยายามใช้น้ำเต้าบินอีกครั้งหนึ่ง
ภายหลังประสบความล้มเหลวหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็พอจะจับหลักการทรงตัวระหว่างขี่น้ำเต้าได้ ภายหลังจึงบินกลางอากาศเดินหน้าถอยหลังอย่างขลุกขลักได้อยู่
แม้ว่าจะยังไม่ได้เชี่ยวชาญ ถึงขนาดว่าแค่เลี้ยวยังทำไม่ได้ แต่ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นก็มากพอทำให้จี้เตี๋ยตื่นเต้นเพื่อฝึกฝนต่ออย่างไม่ย่อท้อ ท้ายที่สุดภายหลังเวลาผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็พอที่จะเชี่ยวชาญพื้นฐานขึ้นมาบ้าง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบออกจากถ้ำด้วยความตื่นเต้นเพื่อขึ้นขี่น้ำเต้าลองบินบนฟ้า โดยเริ่มด้วยการบินลงจากภูเขาก่อน
ระยะทางจากยอดเขาสู่ตีนเขาใช้เวลาเพียงแค่น้อยนิด มันคือความเร็วที่เขาไม่ทราบว่าควรเทียบเปรียบกับอะไรดี!
เพียงแต่เรื่องนี้ก็ทำจี้เตี๋ยหอบหายใจอยู่พอสมควร เพราะมันต้องใช้พลังวิญญาณสูงระดับหนึ่ง
“พลังวิญญาณของเราในปัจจุบันน่าจะพอใช้บินได้สักชั่วหนึ่งก้านธูป” จี้เตี๋ยกลับไปยังถ้ำเพื่อใช้ยารวบรวมลมปราณ ภายหลังฟื้นฟูพลังวิญญาณที่ใช้ไปเรียบร้อย เขาไม่ได้มีท่าทีผิดหวังแต่อย่างใด
เพราะอย่างไรแล้ว
ในที่สุดเขาก็บินได้! ไว้เมื่อใดกลับไปหมู่บ้านเหวินเหอ เมื่อนั้นผู้คนคงเรียกขานว่าเป็นเทพเซียน!
เพียงแค่ชั่วพริบตา คิมหันตฤดูได้มาเยือน นับตั้งแต่จี้เตี๋ยเข้าร่วมกับฝั่งเหนือก็ผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งเดือน ปัจจุบันข่าวคราวได้กระจายไปจนทั่วทั้งสำนักเจ็ดลึกล้ำได้ทราบ และเป็นเหตุให้ศิษย์มากมายถอนหายใจกันไม่รู้จบ
ดังทราบว่าไม่นานมานี้ จี้เตี๋ยเพิ่งประลองปรุงยากับศิษย์จากฝั่งเหนือ ทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายไปทั่วผ่านทางฝั่งใต้
ผู้ใดบ้างคาดคิดว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน อีกฝ่ายจะสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดจนได้กลายเป็นศิษย์ฝั่งเหนือ!
“บัดซบ ไอ้เวรนั่นทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดและมาฝั่งเหนือแล้วงั้นหรือ?!” บุคคลที่รู้สึกว่าข่าวนี้ถือเป็นเรื่องราวอันไม่น่าพิสมัยที่สุด ย่อมเป็นเซี่ยปิน
เพราะตอนประลองปรุงยากับจี้เตี๋ย เขาต้องสูญเสียอาวุธวิเศษจนปัจจุบันกำลังคิดอยู่ด้วยซ้ำ ว่าจะหาทางชิงธงวายุกลับมาเช่นไรดี
ผู้ใดกันนึกคิด ว่าเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนจี้เตี๋ยจะก้าวหน้าจนกลายเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดเหมือนดังตัวเขาได้เสียแล้ว
“ไอ้หนูนั่นมันมีระดับการฝึกตนเทียบเท่าเราแล้ว ทั้งยังเป็นศิษย์ของฝั่งเหนือแล้วด้วย คิดทวงธงวายุกลับคืนไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว!” เซี่ยปินเผยสีหน้าดำมืด แต่แล้วไม่ช้าจากความหมองหม่นพลันถูกแทนที่ด้วยความยินดี
“เกือบลืมไปได้ยังไงกัน ตอนมันเข้าฝั่งเหนือทางสำนักก็ต้องมอบอาวุธวิเศษให้มันอยู่แล้ว ถึงเวลานี้ธงวายุของเราก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรกับมัน น่าจะพอขอให้มันคืนมาได้ หากยอมบากหน้าไปมันก็คงคืนให้! เพราะอย่างไรตอนนี้ก็เป็นศิษย์ฝั่งเหนือเหมือนกัน มันคงไม่อยากมีเรื่องกับเราอย่างแน่นอน ทั้งยังจะทำให้เราติดหนี้ได้ด้วย!”
จี้เตี๋ยย่อมไม่ทราบแผนการของเซี่ยปิน ชีวิตที่ฝั่งเหนือของเขาแทบไม่ได้ต่างอะไรกับครั้งที่อยู่ฝั่งใต้ หากมีก็คงเป็นความสนุกสนานที่ได้ลองฝึกบินจนเกิดความเชี่ยวชาญเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน
ระหว่างหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ นอกจากฝึกฝนตนเอง เขามักจะเดินเล่นไปทั่วฝั่งเหนือเพื่อศึกษาข้อมูลสภาพแวดล้อม
ฝั่งเหนือประกอบด้วยสามยอดเขา ยอดเขาหลักคือยอดเขาเบิกสวรรค์ซึ่งอยู่ใจกลาง ทางฝั่งขวาคือยอดเขาตะวันม่วง อันเป็นสถานที่ซึ่งเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณมากมาย และสุดท้ายคือยอดเขาเมฆามรกตซึ่งอยู่ฝั่งซ้าย มันคือสถานที่ที่ศิษย์ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการฝึกตน
“หนทางแห่งการกลั่นลมปราณยาวไกล หากต้องการสำเร็จขั้นที่แปด อย่างไรก็ต้องใช้เวลาหลายปี” ขณะดวงตะวันลอยอยู่บนฟากฟ้าสูง จี้เตี๋ยกำลังขี่น้ำเต้าเดินทางมุ่งหน้าไปยังยอดเขาหลัก
ที่ยอดเขาหลักมีสถานที่ซึ่งเรียกขานกันว่า ‘ศาลาหมื่นตำรับ’ กล่าวกันว่ามันประกอบด้วยหนังสือและตำรานับหมื่นเล่ม รวมถึงบันทึกความรู้แห่งการฝึกตนมากมาย
เพราะปัจจุบันเขาเพิ่งทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด ยาทุ่งสมุทรนั้นแทบไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ความเร็วการฝึกตนจึงเชื่องช้าลง ขั้นที่แปดจึงถือได้ว่าอยู่อีกไกลห่าง เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนฝึกฝนตนเองอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงว่างเดินทางไปยังศาลาหมื่นตำรับทุกวัน
ตอนนี้เอง ที่สุดปลายสายตาเขาได้เห็นร่างอันงดงามกำลังเดินลงจากภูเขา
ซ่งเจีย!
จี้เตี๋ยเผยสีหน้าเรียบเฉย ยามพบเจอศัตรูเขาไม่ได้แสดงความเกลียดชัง รวมถึงไม่ได้พยายามหลบเลี่ยง แต่เพียงแค่เดินผ่านนางไปประหนึ่งอีกฝ่ายไม่มีตัวตน
ซ่งเจียย่อมพบเห็นตัวเขาเช่นกัน แต่แม้ว่าเวลาจะผ่านมานับเดือนหนึ่งแล้ว นางก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาเย็นเยือก ราวกับอสรพิษร้ายที่จ้องจะกินเหยื่อทั้งเป็น และขณะจี้เตี๋ยเดินผ่านไปนั้นเอง เสียงอันเย็นเยือกพลันดังขึ้นมา “เจ้าตัวฉาวโฉ่! อย่าพลาดตกมาอยู่ในกำมือของข้าเชียว!”
“ศิษย์พี่หญิงซ่งตกอยู่ในฝ่ามือของข้ามากกว่า” จี้เตี๋ยเอ่ยคำพร้อมเน้นย้ำคำว่า “ฝ่ามือ” เพราะแม้ว่าเขาจะเอาชนะนางไม่ได้ แต่เรื่องประชันฝีปากนี้ไม่คิดยอมแพ้อย่างแน่นอน
“รนหาที่ตาย!” ซ่งเจียที่ตระหนักทราบความหมายซ่อนเร้นในถ้อยคำ เวลานี้ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ ถึงขนาดหอบหายใจจนหน้าอกกระเพื่อมรุนแรง
ยามนึกถึงรอยฝ่ามือแดงก่ำที่ประทับบนหน้าอกตนเองภายหลังเหตุการณ์วันนั้น นางจึงยกมือขึ้นพร้อมปะทุพลังออก แต่แล้วตอนนี้เองที่นางได้ยินอีกฝ่ายพูดตอบ
“ที่นี่คือฝั่งเหนือ หากว่าศิษย์พี่หญิงซ่งสังหารข้า เช่นนั้นพวกเราคงได้กลบฝังร่วมหลุมเดียวกัน ผู้อาวุโสซุนคงไม่ปล่อยผ่านโดยง่าย!”
ถ้อยคำเหล่านี้ได้ผล ภายหลังได้ยิน ซ่งเจียพยายามสะกดข่มความโกรธ นางเลือกที่จะหยุดเสวนาด้วยและเดินจากไป
จี้เตี๋ยเองก็ไม่กล้ารุกไล่นางกว่านี้ ดังนั้นจึงเดินจากไปเช่นเดียวกัน
แม้ว่ากฎของสำนักจะช่วยคุ้มหัวเอาไว้ได้ แต่อย่างไรเขาก็ยังหวาดเกรงซ่งเจียอยู่ เพราะไม่มีผู้ใดทราบว่านางจะขาดสติลงมือจนพร้อมตกตายร่วมเมื่อใด
ครึ่งทางสู่ยอดเขาหลักมีอาคารที่คล้ายศาลาทรงเตี้ยแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มันแบ่งออกเป็นสองชั้น และเหนือประตูหลักมีป้ายหินแกะสลักสามคำเอาไว้ว่า
ศาลาหมื่นตำรับ
จี้เตี๋ยสะกดข่มความรู้สึกที่เกิดขึ้น ขณะเดินเชื่องช้าเข้าไป แสดงป้ายประจำตัวของศิษย์สำนัก ภายหลังแสงสว่างวาบกวาดผ่าน ประตูศาลาจึงเปิดออกด้วยตัวมันเอง และจี้เตี๋ยตระหนักได้ระดับหนึ่ง ว่าขณะเดินเข้าไปนั้นราวกับร่างได้เคลื่อนผ่านชั้นพลังงานบางอย่าง
เขาไม่ทราบว่ามันคือค่ายอาคมใด เพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจอยู่แล้ว
ภายหลังเข้ามาภายในอาคาร เขาจึงได้เห็นชั้นไม้วางเรียงราย มันถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ สูง กลาง และต้น ทั้งหมดนั้นคือกองตำราสารพัด
จี้เตี๋ยเดินไปยังตำแหน่งอย่างเชี่ยวชาญ สุดท้ายจึงคว้าตำราขึ้นมาเล่มหนึ่ง
เนื่องจากเขาเพิ่งฝึกฝนตนเองมาได้ไม่นาน และตำราภายในศาลาหมื่นตำรับแห่งนี้ก็ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้โดยบรรพชนแห่งสำนักเจ็ดลึกล้ำ ทั้งหมดล้วนบันทึกเนื้อหาของการฝึกตนสารพัดแขนง นับว่ามันคือส่วนช่วยสิ่งที่เขากำลังขาดแคลนได้พอดี
การอ่านตำราเล่มหนึ่งจนจบใช้เวลาไม่นาน ที่ต้องทำก็เพียงแค่หยิบขึ้นมาพร้อมกับปล่อยพลังจิตตระหนักรู้
ตามปกติแล้วผู้ฝึกตนไม่จำเป็นต้องอ่านตัวอักษรไล่เรียงไปทีละตัวเหมือนดังคนทั่วไป เพราะเขาสามารถเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดโดยใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมด
“กลั่นลมปราณ สร้างรากฐาน แก่นทองคำ ปฐมวิญญาณ…” จี้เตี๋ยจ้องมองพลางพึมพำกับตัวเอง
ตำราที่เขากำลังอ่านอยู่ คือเนื้อหาที่ระบุถึงขอบเขตแห่งการฝึกตน
ตามคำบันทึก การฝึกตนแบ่งออกเป็นสี่ขอบเขต กลั่นลมปราณ สร้างรากฐาน แก่นทองคำ และปฐมวิญญาณ…
นอกจากขอบเขตกลั่นลมปราณที่มีเก้าขั้น ขอบเขตอื่นที่เหลือมีการแบ่งออกเป็นขั้นย่อยเพียงแค่สามระดับ ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง…
ส่วนขอบเขตที่เหนือกว่าปฐมวิญญาณ แม้มีอยู่แต่ไม่อาจทราบว่าคือสิ่งใด อาจเพราะมันสูงส่งเกินไปจึงไม่มีการบันทึกถึง
“ขอบเขตกลั่นลมปราณเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ชักสงสัย… ชั่วชีวิตนี้เราจะไปถึงขอบเขตสร้างรากฐานได้หรือไม่…” จี้เตี๋ยพึมพำกับตัวเองเสียงเบา เพราะตามบันทึก ในกรณีปกติแล้วบรรดาผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่เก้า จะมีเพียงแค่หนึ่งในพันจึงสามารถทะลวงสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน
ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เขาได้ตระหนักทราบถึงความยากลำบากในการฝึกตน จนถึงขนาดทำให้สูญเสียความมั่นใจ
“เหมือนว่าผู้อาวุโสซุนจะเป็นยอดฝีมือสร้างรากฐาน ส่วนขอบเขตสูงสุดที่บันทึกเอาไว้คือปฐมวิญญาณ… ชักสงสัยแล้วสิว่าจ้าวสำนักคือผู้ไปถึงขอบเขตปฐมวิญญาณหรือไม่…” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มพึมพำได้พัดลอยไปกับสายลม
ภายหลังการสอบถามในช่วงหลายวันมานี้ ทำให้เขาได้ทราบว่าผู้อาวุโสซุนคือยอดฝีมือสร้างรากฐานเพียงหนึ่งเดียวแห่งสำนักเจ็ดลึกล้ำ…
ส่วนจ้าวสำนักผู้มักเก็บตัวเป็นเสือซุ่มมังกรซ่อนเร้นมาโดยตลอด ผู้คนทราบเพียงว่าเขาคือผู้ฝึกตนเหนือกว่าขอบเขตสร้างรากฐาน แต่จะเป็นขอบเขตใดที่แน่ชัดนั้นไม่มีผู้ใดทราบ… ส่วนว่าจะเป็นขอบเขตปฐมวิญญาณหรือไม่นั้น มันก็อาจเป็นได้ทั้งจริงและไม่จริง
“เจ้าคิดว่าขอบเขตปฐมวิญญาณเป็นหัวไชเท้าข้างถนนหรือไร ขอบเขตปฐมวิญญาณคืออะไรที่สามารถยืดอายุขัยไปเกือบพันปี มันแทบจะเป็นดังเทพเซียนบนแผ่นดิน ที่สามารถได้รับชมการเกิดอยู่และดับไปของปุถุชนและราชวงศ์แห่งแผ่นดินหลายยุคสมัย เพียงแต่มันก็เป็นอะไรที่แทบจะเป็นหลักประกันความรุ่งโรจน์ของตระกูลไปนับพันปีด้วยเช่นกัน”