บทที่ 38 สายลมใสไม่รบกวนความฝัน
ยามดึกสงัด หลี่ผิงอันกลับถึงถ้ำของตัวเองด้วยความเหน็ดเหนื่อยไปทั้งกาย
การสังสรรค์ในหมู่เซียนนี้ทำเอาเหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้บนเวทีเป็นร้อยเท่า...
ด้วยถ้ำถูกห่อหุ้มด้วยเขตพลังเซียนของอาจารย์ หลี่ผิงอันจึงถอนหายใจโล่งอก ไม่ต้องเป็นเป้าสายตาจับจ้องจากญาณทัศนะของใครอีกแล้วสักพัก
เขาถอดเสื้อคลุมออก ปลดรองเท้าบู๊ทยาว เก็บเสื้อผ้าที่ถอดออกใส่ในอุปกรณ์เก็บของชื่อ 'ตระกร้าผ้าสกปรก' เหลือเพียงเสื้อคลุมตัวนอกกับกางเกงขายาว แล้วล้มตัวลงบนเก้าอี้ยาวส่วนตัว
เสียงน้ำดังกรุ๋งกริ๋งจากสระบัวน้ำ ผีเสื้อสองตัวไม่รู้ปล่อยเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกำลังดูดน้ำค้างจากใบบัว
หลี่ผิงอันนอนมองเพดานเหม่อลอย ค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจที่หมดเรี่ยวแรงจากการใช้เคล็ดวิชาระเบิดพลังจิต รู้สึกอยากจะหลับตลอดทั้งตัว ศีรษะยังตุบๆ ปวดอีกต่างหาก
ก่อนหน้านี้เขาฝืนทนมาจริงๆ
วิธีระเบิดจิตที่เขาใช้วันนี้ ต้องควบคุมอุปกรณ์หลายร้อยชิ้นให้เรียงตัวกันตามเขตแดนยันต์แล้วระเบิดตัวเอง สำหรับเขาในตอนนี้ถือเป็นเรื่องค่อนข้างเกินตัว ทำให้จิตใจเสียหายอย่างหนัก
ความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ไม่ใช่เพราะพลังปราณขาดหรือแรงกายไม่พอ แต่เป็นเพราะวิญญาณธาตุหมดแรง
'เฮ้อ สุดท้ายก็ยังมีระดับต่ำเกินไปจริงๆ'
หลี่ผิงอันถอนหายใจ คิดไปถึงตัวเขาเองที่ตอนนี้ได้มีอาจารย์คอยสั่งสอนแล้ว ยังมีพ่อคอยช่วยเหลือข้างกาย เช่นนี้ถือว่าฟ้าเป็นใจ พื้นที่อำนวย คนก็ร่วมใจ บริบูรณ์แล้ว ไม่อาจบ่นอะไรได้อีก
ก็แค่พยายามหนักขึ้นเท่านั้นเอง
ตอนนี้พ่อของเขารีบไปที่หอหมื่นเมฆของยอดเขาหลัก เพื่อไปเป็นเพื่อนเจ้าสำนักต่อในการต้อนรับแขกจากที่อื่น
-- ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของหลี่ผิงอันในตอนนี้เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของเขตใน ไม่สะดวกจะไปร่วมงานเช่นนี้โดยตรง
บนเส้นทางเมฆขณะที่ส่งหลี่ผิงอันกลับมา พ่อของเขาจับแขนเขาไว้ แล้วกระซิบบอกเขาไม่กี่คำ
ในเรื่องนี้ หลี่ผิงอันรู้สึกปลื้มใจยิ่ง
พ่อบอกเขาว่า
"วันนี้จริงๆแล้ว หวังไจ้จื่อไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าลำบาก เขาเป็นเพียงศิษย์ ที่แท้แล้วเบื้องหลังเขาคือศิษย์ของอาจารย์เขานั่นเอง ผู้อาวุโสปี้ผู้นั้นเป็นคนจัดแจง
ในเมื่อเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร หลังการประลองครั้งนี้ก็ลองคิดหาวิธีไปทำความรู้จักกับเขาดู ศัตรูควรคลี่คลายไม่ใช่ก่อ ศิษย์ผู้นี้เบื้องหลังก็มียอดเขาของเขาอยู่ หากบาดหมางกันมากไปจะไม่เป็นผลดีต่อการรวมใจเป็นหนึ่งของสำนักและความก้าวหน้าของพวกเรา
พวกเราต่อจากนี้ ทั้งห้ามเสียหน้า แต่ก็ต้องคิดหาวิธีให้หน้าเขาด้วย กันพวกเขาไม่ให้ตีโพยตีพาย... พ่อจะจัดการเอง"
ในที่สุด!
พ่อผู้เฒ่าของเขาในที่สุดก็ริเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่อง 'การสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก' นี้แล้ว!
พ่อในที่สุดก็ไม่หลบเลี่ยงความหวังของเขาที่คาดหวังให้พ่อดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไป!
อย่างนี้สิถึงจะถูก!
ถ้าท่านพ่อแข็งขืนเสียที เขาผู้เป็นลูกก็จะได้เดินตามเส้นทางธรรมได้สงบเสียที
ที่จริงแล้ว หลายครั้งก็แค่การที่ใครอยู่ตำแหน่งนี้ มีสถานะเช่นนี้ เขาก็จะกลายเป็นภัยคุกคามในสายตาผู้อื่นไปโดยปริยาย ถึงแม้คนผู้นั้นจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม
ด้วยความชอบพอของอาจารย์ใหญ่คงหมิงผู้ก่อตั้งสำนัก พ่อของเขาจึงกลายเป็นอุปสรรคของผู้สืบทอด 'อำนาจ' ของสำนักว่านหยุนจงโดยไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าย่อมกลายเป็นหนามยอกตาสำหรับกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม
ถึงแม้ผู้ฝึกปราณมนุษย์จะเบื่อหน่ายอำนาจ แต่ก็มักจะคุ้นเคยกับชีวิตผู้อยู่เหนือคนอื่นเสมอ และจิตใจของพวกเขาก็มักจะคลาดเคลื่อนไปจากเดิม ยังเสน่หาในสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ...
ธรรมชาติมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้นเอง
หลี่ผิงอันครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อย่างเงียบๆ
เหตุผลหลักที่ทำให้เขาใช้เคล็ดวิชาระเบิดพลังจิตและอุปกรณ์เป็นจำนวนมากในการถล่มหวังไจ้จื่อเมื่อวาน ก็เพื่อแสดงฝีมือนั่นเอง
ตอนนี้พ่อลูกเขาระดับยังต่ำ ยิ่งไม่อาจปล่อยให้ตนเองถูกดูหมิ่นได้ง่ายๆ
นอกจากนั้น หลี่ผิงอันยังมีจุดประสงค์รองอีกอย่าง
-- เขาอยากใช้เคล็ดวิชาระเบิดพลังจิตดึงความสนใจของคนในสำนัก แล้วฉวยโอกาสเอาวิธีการผลิตอุปกรณ์แบบสายพานของเขากับพ่อมามอบให้สำนัก และยืนยันตำแหน่งของพ่อในสำนักให้มั่นคงขึ้น
ย้อนกลับมา วิธีที่หวังไจ้จื่อใช้พลังยันต์ก็ดีไม่เบานะ เขาต้องเรียนรู้สักหน่อย
แค่หลี่ผิงอันฟื้นพลังจิตกลับมาได้เล็กน้อย ปลายนิ้วของเขาก็ถือยันต์กระดาษไว้หลายใบแล้ว พลางทบทวนเทคนิคการต่อสู้ของหวังไจ้จื่ออย่างตั้งใจ
"อะฮึม"
นี่คือสัญญาณเตือนจากอาจารย์เทียนเซียน
หลี่ผิงอันรีบลุกขึ้น มองอาจารย์ที่กำลังเดินเข้ามา แล้วก้มศีรษะคารวะ "ศิษย์รบกวนการฝึกปราณของอาจารย์หรือไม่"
"ไม่"
ชิงซุ่ยนอนลงอย่างเป็นธรรมชาติบนเก้าอี้ยาวข้างๆ หลับตาลง ประสานมือพักบนหน้าท้อง ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนนุ่มนิ่มสะบัดเบาๆ ตามแรงลม
นางชี้ไปที่เก้าอี้ยาวอีกตัว "นอนเถอะ"
"ขอรับ"
หลี่ผิงอันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเลื่อนเก้าอี้ตัวเองถอยหลังไปครึ่งจั้ง ค่อยๆ นอนลงอย่างว่าง่าย
"อาจารย์ขอรับ" เขาพูดด้วยใจเต้นระรัว "ก่อนหน้านี้ศิษย์ไม่ได้บอกเรื่องวิธีระเบิดจิตเพราะตั้งใจจะปิดบัง วิธีสู้รบนี้ต้องใช้ในยามเอาชีวิตเข้าแลก ศิษย์เลยไม่ได้คิดจะใช้ในการประลองภายในสำนัก..."
"ไม่เป็นไร"
ชิงซุ่ยพูดเสียงเบา "ข้าก็มีวิธีลับอีกมากที่ไม่เคยบอกอาจารย์เหมือนกัน"
"ศิษย์ก็มีแค่วิธีลับสู้รบนี้ กับอีกไม่กี่วิธีปรุงยาหล่ออุปกรณ์ และเทคนิคเบ็ดเตล็ดอีกสักหน่อย..."
หลี่ผิงอันยิ่งพูดยิ่งรู้สึกละอายใจ จึงได้แต่บอก
"ศิษย์ชอบครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ ก่อนหน้านี้พ่อเคยช่วยยืมคัมภีร์เซียนจากหอคัมภีร์เต๋าให้ศิษย์เยอะแยะ ศิษย์เลยได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย
หากอาจารย์อยากรู้ ศิษย์ก็จะสาธิตให้อาจารย์ดูทีละอย่างเดี๋ยวนี้เลย"
"ไม่ต้อง"
น้ำเสียงของชิงซุ่ยฟังดูผิดหวังเล็กน้อย
"ข้าก็แค่ชำนาญเรื่องการปิดวิเวกกับการต่อสู้ สอนอะไรเจ้าไม่ได้หรอก"
"อาจารย์อย่าพูดแบบนั้นสิขอรับ เทคนิคที่ศิษย์คิดค้นเองพวกนี้มันเป็นแค่ศาสตร์ภายนอกเท่านั้น!"
หลี่ผิงอันรีบพูด
"สิ่งที่อาจารย์สอนศิษย์ได้คือวิถีแห่งการหล่อหลอมตน และวิธีดำรงชีพในโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่มีในตำราใดๆ"
ชิงซุ่ยหันมามอง พบว่าหลี่ผิงอันนอนอยู่ข้างหลัง นางจึงเลื่อนเก้าอี้ไม้ใต้ตัวไปอยู่ระดับเดียวกับหลี่ผิงอันอย่างแผ่วเบา
ชิงซุ่ยมองหลี่ผิงอันขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเพิ่งรู้จักศิษย์ของตนเองในวันนี้
หลี่ผิงอันรู้สึกเหมือนใจจะขาดอยู่แล้ว ดวงตาใสซื่อสดใสคู่นั้นของอาจารย์เหมือนจะมองทะลุกระดูกทั่วร่างของเขา
ชิงซุ่ยถามขึ้นมาทันใด "พวกนั้นบอกว่าความคิดของเจ้าฉลาดหลักแหลมมาก จริงอย่างนั้นหรือ"
"ความจริงข้า...ก็ธรรมดานะ"
หลี่ผิงอันยิ้มแห้ง
"อาจารย์จะให้ศิษย์อวดตัวเอง ศิษย์ก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง
ความคิดอ่านนี่ก็บอกไม่ถูก บางทีอาจจะเจออุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ไปติดหล่มอยู่ตรงนั้น
สำหรับการฝึกตนแล้ว ชะตาชีวิตกับพื้นฐานนั่นสำคัญกว่า"
"งั้น ศิษย์ ลองมาดูอันนี้สิ"
ชิงซุ่ยหยิบป้ายหยกอันหนึ่งออกมา ส่งมาให้หลี่ผิงอัน
หลี่ผิงอันดูครู่หนึ่ง เห็นมีตัวอักษรเล็กๆ งดงามเขียนเรียงกันหลายบรรทัด เมื่อสังเกตให้ดีก็พอจะเห็นว่าถูกคัดลอกมาจากตำราธรรมในหลายยุคสมัย
"อาจารย์ขอรับ นี่คืออะไรหรือ"
"คาถาที่ข้ายังไม่เข้าใจก่อนจะเป็นเซียน"
ดวงตาแจ่มใสของชิงซุ่ยดูเป็นประกายวาว เหมือนจะสนใจเรื่องนี้มากทีเดียว นางสั่งว่า
"เจ้าลองดูสิ ข้าจะได้เห็นความคิดของเจ้า"
เฉลยของอาจารย์งั้นเหรอ?
หลี่ผิงอันบ่นพึมพำ "อาจารย์ขอรับ ที่อาจารย์รับศิษย์เป็นลูกศิษย์ก่อนหน้านี้ ก็แค่เพื่อตอบแทนบุญคุณศิษย์เท่านั้นสินะ"
"ไม่ใช่หรือไง"
"ไม่มีอะไรๆ" หลี่ผิงอันยิ้มขื่นๆ "การได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ นับเป็นบุญกุศลที่ศิษย์สั่งสมมาหลายชาติแล้ว"
ชิงซุ่ยกะพริบตา "จริงๆ เหรอ"
"จริงสิขอรับ!"
หลี่ผิงอันตอบอย่างแน่วแน่ ใบหน้าสวยใสของชิงซุ่ยยิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลี่ผิงอันในใจถอนหายใจ...อาจารย์ของเขาช่างปลอบง่ายยิ่งกว่าศิษย์น้องมู่หนิงหนิงเมื่อหลายปีก่อนอีก
เขากำป้ายหยกเอาไว้แน่นแล้วหลับตาลง เริ่มขบคิดอย่างตั้งใจ
ข้อสอบที่ชิงซุ่ยออกให้นี้ทำเอาหลี่ผิงอันรู้สึกยากลำบากไม่น้อย
แต่เมื่อเขาเข้าใจความหมายในคาถาหนึ่งสองบท ความคิดเห็นมากมายก็พลันผุดขึ้นในใจหลี่ผิงอัน เขารู้สึกอยากจะหลบเข้าไปในห้องปิดวิเวกเสียเดี๋ยวนี้ ไม่ออกไปแข่งขันบนโลกเวทีในวันพรุ่งนี้แล้ว
...
ศิษย์กับอาจารย์สนทนาธรรมในถ้ำ ขณะที่ยอดเขาหลักมีการรวมตัวของเหล่าเซียนและดนตรีเครื่องสายอันเร้าใจ
คืนแรกของการประลองผ่านไปอย่างคึกคักรื่นเริง โดยรวมแล้วถือว่าราบรื่น นอกจากจะมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยในหอสรรพสิ่งช่วงครึ่งดึก
เช้าวันที่สองของการชิงชัยภายในสำนัก ที่หอสรรพสิ่งมีผู้คนแน่นขนัด
หลี่ต้าจื่อในชุดเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่หน้าประตูหอ คารวะต่อแถวของเหล่าเซียนที่ยืนอยู่ข้างหน้า กล่าวเสียงดัง
"ท่านทั้งหลาย!
บุคคลผู้เดินทางร้อยลี้ มักจะสะดุดก่อนจะถึงปลายทางเก้าสิบลี้เสมอ คำนี้กล่าวถึงความยากลำบากในช่วงท้ายทาง!
เมื่อวานการประลองสองส่วนผ่านไปอย่างราบรื่น การจัดการไม่มีผิดพลาดใดๆ ทุกฝ่ายประสานกันอย่างดี ล้วนเพราะทุกท่านช่วยกันอุตส่าห์ทำ!
การแข่งขันส่วนสุดท้ายในวันนี้มีความสำคัญยิ่งกว่า ข้าหวังว่าทุกท่านในกรรมการจัดงานของเราจะไม่ย่อท้อ! ไม่อาจประมาทได้แม้เพียงนิด!
ข้าผู้ด้อยธรรมได้ขออนุญาตจากเจ้าสำนักแล้ว หลังจากพรุ่งนี้การแข่งสิ้นสุดลง พวกเราชาวกรรมการจัดงานจะมาฉลองกันที่ตรงนี้พร้อมรางวัลจากสำนัก!"
ทั้งร้อยนักพรตต่างยิ้มรับคำในเวลาเดียวกัน
หลี่ต้าจื่อโบกมือไปทางข้างๆ
เสียงระฆังดังก้องมาจากยอดเขาหลัก แสงสว่างจากพลังเซียนแล่นออกมาจากหอสรรพสิ่ง
นกกระเรียนเซียนสองแถวบินทะยานขึ้นจากหมอกบางในป่า นางเซียนบนหลังนกกระเรียนโปรยกลีบดอกไม้เต็มท้องฟ้า เวทีขนาดใหญ่บริเวณตีนเขาของยอดเขาหลักค่อยๆ ลอยขึ้นมากลางอากาศ แท่นเมฆทั้งสามด้านรอบเวทีถูกขับเคลื่อนโดยเหล่านักพรตรวดเร็วขึ้นอย่างรวดเร็ว
การแข่งขันรอบสุดท้าย เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ!
แขกรับเชิญขึ่นเมฆมาจากตำหนักหลัก ศิษย์จากแต่ละยอดเขาพากันขี่อุปกรณ์วิเศษมารวมตัวกันเป็นริ้วเมฆหลายสาย พุ่งไปยังตีนเขาของยอดเขาหลัก
ใครก็ตามที่เห็นภาพเช่นนี้ ต่างพากันชมว่า 'สำนักว่านหยุนจงช่างรุ่งเรืองนัก'
บรรดาเหล่าเฒ่าที่ปิดวิเวกอยู่ในป่าไผ่ด้านหลัง ต่างพากันยิ้มในเวลานี้
หลี่ผิงอันเดินตามหลังอาจารย์ชิงซุ่ย อดหาวหวอดใหญ่ไม่ได้อยู่หลายที
ลืมพักผ่อนไปเสียสนิท
ปัญหาที่อาจารย์ออกให้เมื่อคืนนี้ เขาทำได้แค่สามส่วนสิบ จิตใจที่เหนื่อยล้าอยู่แล้วยิ่งง่วงเต็มทน ตอนนี้ก็ง่วงจนตาปิดตาลืมไม่ขึ้นแล้ว
หลี่ผิงอันตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า วันนี้แค่ติดอันดับห้าสิบก็พอ พอแข่งเสร็จก็จะไปพักผ่อนข้างล่าง
เมื่อวานเขาโชว์ตัวมากเกินพอแล้ว
ด้วยผลแพ้สามครั้งชนะสามครั้ง เขาพอจะผ่านเข้ารอบหกสิบสี่คนสุดท้ายได้อย่างสบายๆ แล้วเจตนาจะแพ้ในรอบสามสิบสองคนอย่างภาคภูมิ หยุดอันดับที่ราวๆ สามสิบ
วันนี้เขาตั้งใจสื่อสารว่า 'ชนะได้เพราะบังเอิญ' และ 'แพ้ได้อย่างสง่างาม'
ศิษย์ในสำนักต่างอยากเห็นหลี่ผิงอันใช้เคล็ดวิชาระเบิดพลังจิตอีกครั้ง
แต่น่าเสียดาย คู่ต่อสู้ในวันนี้ของหลี่ผิงอันต่างให้ความเคารพเขาจนเกินไป บางคนพอเห็นเขาก็อยากจะยอมแพ้เลย ส่วนคนที่ชนะเขาก็ประสานมือแสดงความเคารพกันใหญ่ กลัวว่าจะโดนระเบิด
โชคดีที่หลี่ผิงอันสัญญาว่า วันนี้จะไม่ใช้เคล็ดวิชาระเบิดพลังจิตแล้ว การแข่งขันจึงดำเนินต่อได้อย่างปกติ
สุดท้ายแล้ว หลี่ผิงอันก็ได้แต่ใช้แค่เทคนิคจัดวางอาวุธและวิชายันต์เท่านั้นในการต่อสู้
หวังไจ้จื่อกลายเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวในสำนักที่ได้สัมผัสเคล็ดวิชาระเบิดพลังจิต
หลังจบการแข่งขันของตัวเองแล้ว หลี่ผิงอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาแอบนั่งสมาธิพักผ่อนหลังหลังของอาจารย์ ไม่นานก็เริ่มงีบหลับเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้ามาตลอดสองวัน
ไม่นาน ชิงซุ่ยหันหน้ามามองด้านหลังเล็กน้อย เอียงคอนิดหน่อย
ภายใต้แสงเซียน หลี่ผิงอันหลับตาลงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก คิ้วที่มักจะขมวดอยู่เสมอในยามปกตินั้นคลายออก ใบหน้าที่หล่อเหลางดงามของเขาดูสะอาดบริสุทธิ์ประหนึ่งเด็กน้อย
ชิงซุ่ยมองอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือส่งกระแสพลังเซียนระดับเทียนเซียนออกมาหุ้มห่อตัวหลี่ผิงอัน ป้องกันไม่ให้เสียงดังจากผู้คนรอบข้างมารบกวน
อีกไม่นาน มู่หนิงหนิงก็แอบย่องเข้ามานั่งสมาธิอยู่หลังหลังชิงซุ่ยด้วย
มู่หนิงหนิงเตรียมอาหารคาวหวานมาด้วยหลายอย่าง พร้อมแล้วที่จะกินดื่มเฮฮากับหลี่ผิงอันทันทีที่ฟื้นขึ้นมา
ที่ไกลออกไปมีร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งชะเง้อมองมาทางนี้เป็นระยะๆ
การแข่งขันรอบท้ายสุดดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด ส่วนหลี่ผิงอันยิ่งหลับสบายขึ้นเรื่อยๆ
หลี่ต้าจื่อขี่เมฆวุ่นวายอยู่ทั่ว เตรียมพิธีปิดการประลองอย่างขะมักเขม้น
ส่วนเรื่องยุ่งยากที่หลี่ผิงอันต้องพิสูจน์วิธีหล่ออุปกรณ์ของตัวเองหลังการแข่งนั้น... หลี่ต้าจื่อกลับมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่กังวลสักนิด