บทที่ 37 เริ่มโดดเด่น
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องบนยอดเขาสายหมอก คลื่นพลังปราณที่กระเพื่อมกลายเป็นพายุพัดกระหน่ำไปทั่วทั้งแปดทิศ
ผู้ฝึกปราณสี่ด้านต่างนิ่งอึ้งไม่มีเสียงใด
เจินเซียนสองท่านพุ่งขึ้นเวทีตั้งแต่เมื่อครู่ คุ้มครองศิษย์น้องหวังไจ้จื่อผู้สลบไม่ได้สติแล้วไว้
เจินเซียนผู้อาวุโสสองท่านนี้ก็มีสีหน้าคล้ำเครียดปั้นยาก เห็นได้ว่าแอบไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาตัวเอง เงยหน้ามองตามแผ่นหลังของหลี่ผิงอันที่ค่อยๆ ร่อนลงอย่างไม่วางตา
ขณะนี้ หลี่ผิงอันมีสภาพร่างกายว่างเปล่า พลังปราณแทบขาดสะบั้น วิญญาณธาตุอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง
แต่กระนั้นก็ยังแสดงสีหน้าสงบนิ่ง มือซ้ายยกขึ้นข้างหน้า มือขวาไขว้หลัง มีความรู้สึกสง่างามผ่อนคลายแผ่ซ่านออกมาจากภายในตัวเขา
ดวงตามากมายจับจ้องไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่เพียงขั้นควบแน่นปราณผู้นี้ เริ่มมีเสียงโต้เถียงเล็กๆ น้อยๆ ดังขึ้นรอบด้าน
พวกเขาต่างเห็นกับตาว่าหลี่ผิงอันใช้วิธีใดเอาชนะ
และเพราะได้เห็นกับตา ก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ฝึกปฏิบัติธรรมไม่ถึงสามปี
ใช้ระดับขั้นควบแน่นปราณเชี่ยวชาญเทคนิคลับของสำนักจนถึงขั้นเข้าท่าร่ายรำตามอำเภอใจ
ยังผสมผสานวิชายันต์กับวิชาจัดวางเขตแดนจนเชี่ยวชาญวิชาจัดวางเขตแดนยันต์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
และมีวิธีทำให้อุปกรณ์หลายร้อยชิ้นระเบิดพร้อมกันที่มีพลังทำลายล้างสูงเหลือเกิน...
นี่มีความคิดเชี่ยวชาญขนาดไหนกัน ถึงได้ทำได้ถึงขั้นนี้ภายในเวลาเพียงสามปี
ในยุคปัจจุบันแห่งโลกฝึกตนในทิศตะวันออก การประเมินศักยภาพผู้ฝึกปราณ สำคัญที่สุดคือพื้นฐาน รองลงมาคือชะตากรรม สุดท้ายจึงเป็นปัญญา
มิใช่ว่าผู้ฝึกปราณไม่ให้ความสำคัญกับปัญญา หากแต่ในหนทางการฝึกตนของพวกเขา อุปสรรคที่พบเจอยากแก้ไขเพราะมีปัจจัยหลายประการ ผู้ฝึกปราณผู้มีพื้นฐานดี ปัญญาเฉียบแหลมมากมายที่ผ่านมา มักจะติดหล่มความคิดตัวเองจนทะลุทะลวงอุปสรรคไม่ได้เพราะติดอยู่กับปมปัญหาเดียว
ในแง่หนึ่ง ปัญญาดูเหมือนจะลึกลับยิ่งกว่าชะตากรรมเสียอีก ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าโอ้อวดว่าตัวเองมีปัญญาเฉียบแหลมอีกต่อไป
ทว่าบัดนี้ ทั้งเซียนและนักพรตต่างมองเห็นร่างของหลี่ผิงอัน ล้วนคิดหนักใจและตะลึงในตัวเขาไม่น้อย
เพียงแค่เทคนิคเงามายาหมื่นหมอกและวิชาจัดวางเขตแดนยันต์สองอย่างนี้ เมื่อระดับฝึกปราณของหลี่ผิงอันถึงขั้นหยวนเซียน ก็จะมีกำลังเทียบเท่าสู้กับเจินเซียนธรรมดาได้เลยทีเดียว
ส่วนกลยุทธ์ประหลาดที่หลี่ผิงอันงัดออกมาหลังสุด นั่นก็คือการรวมวิชาจัดวางเขตแดนและวิชาบังคับอาวุธเข้าด้วยกันอย่างลงตัว แล้วยิงอุปกรณ์ออกไปหลายร้อยชิ้นให้ระเบิดทันที...
คนนอกมองเป็นเรื่องสนุกตา คนในมองที่เนื้อหาสาระ
ในเวลานี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญการหล่ออุปกรณ์และการจัดวางเขตแดนต่างเงียบกริบ
เพราะพวกเขาเห็น 'หนทาง' ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ใต้เวที มู่หนิงหนิงจ้องมองร่างของหลี่ผิงอันตาไม่กะพริบ ใจลอยล่องไป มุมปากยกยิ้มน้อยๆ
ศิษย์กระบี่จากยอดเขาเมฆกระบี่ กู่ชิงเฉิงพึมพำว่า "แพงจริงๆ การจู่โจมครั้งนี้น่ะ"
หลี่ผิงอันลงมาถึงเวทีแล้ว ก้มลงมองหวังไจ้จื่อที่ยังไม่ได้สติ คารวะต่อสองท่านเจินเซียนแล้วยกมือเก็บเจดีย์ที่กลิ้งห่างออกไปเข้ามาในมือ
เจดีย์ระดับสมบัติวิญญาณชิ้นนี้ คุณภาพดีมากจริงๆ
เขามองไปยังด้านล่างเวที แล้วโยนเจดีย์ลงไปทันที
มู่หนิงหนิงที่กำลังเหม่ออยู่ เห็นศิษย์พี่โยนอะไรบางอย่างมา ก็ยื่นมือรับไว้ตามสัญชาตญาณ
หลี่ผิงอันหัวเราะพูดว่า "ให้อาจารย์ชิงซู่ช่วยเจ้าเก็บกักพลังให้สักครั้ง ของชิ้นนี้ไม่เลว"
ว่าแล้วหลี่ผิงอันก็คารวะท่านเจินเซียนบนเวที ผู้ตัดสินข้างล่าง ทีละคน จากนั้นจึงเหาะกลับไปยังตำแหน่งเดิมของตัวเอง
"ศิษย์พี่เจ้าค่ะ..."
มู่หนิงหนิงคิดจะพูดว่าเจดีย์นี้ล้ำค่าเกินไป แต่พอเห็นสายตาของศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงที่จ้องมองมารอบด้าน จึงได้แต่อายจนหน้าแดง รีบถือเจดีย์ส่งให้ท่านเจินเซียนชิงซู่
บนแท่นเมฆทั่วทุกทิศเสียงดังตะลึงพรึงเพริด
ผู้ตัดสินประกาศเสียงดัง "ผู้ชนะการต่อสู้ครั้งนี้! หลี่ผิงอัน ศิษย์แห่งท่านเซียนชิงซู่!"
ประหนึ่งหินหนึ่งก้อนกระเพื่อมคลื่นครั้งใหญ่ เสียงโต้เถียงรอบด้านยิ่งทวีคูณขึ้นอีก
จู่ๆมีนักพรตท่านหนึ่งพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "หอสรรพสิ่งช่างใจเอนเอียงเหลือเกินนะ ให้อุปกรณ์และเทคนิคลับกับศิษย์เยาว์อายุขนาดนี้ตั้งมากมาย!"
เวยเหยียนจื่อกระโดดออกมา ตะโกนทันที "ข้าผู้ด้อยธรรมขอรับประกันด้วยชีวิต! อุปกรณ์พวกนั้นล้วนหลี่ผิงอันสหายน้อยหล่อขึ้นมาเองทั้งนั้น! วิธีระเบิดอุปกรณ์ก็เป็นเทคนิคที่หลี่ผิงอันสหายน้อยคิดค้นเอง! ข้าผู้ด้อยธรรมเคยเห็นและทดลองสาธิตด้วยตัวเองมาแล้ว! เสื้อคลุมข้าโดนระเบิดพังไปเจ็ดแปดตัวเลยนะ!"
โดยรอบเต็มไปด้วยเสียงอุทานหัวเราะเซ็งแซ่
นักพรตผู้นั้นได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วประสานมือค้อมคารวะเวยเหยียนจื้อ ไม่พูดอะไรอีก
หลี่ผิงอันพอขัดสมาธินั่งลง ก็มีเสียงส่งข่าวแว่วเข้าหู เป็นคำเตือนของผู้อาวุโสเยี่ยนเชิ่ง
"ครู่หลังให้เจ้านำวิธีลับระเบิดอุปกรณ์นั่นครึ่งหนึ่งไปมอบให้เขตในนะ เมื่อถึงเวลาจะขอรับหน้าที่แทนเจ้าเอง"
หลี่ผิงอันคารวะว่างเปล่าเป็นเชิงตกลง
คำว่า 'ครึ่งหนึ่ง' มีความหมายน่าพิจารณามาก
ความตั้งใจของผู้อาวุโสเยี่ยนเชิ่งคือ ให้เขาบริจาคเทคนิคหนึ่งฉบับแด่เขตใน แต่ไม่ต้องเปิดเผยเทคนิคนี้ทั้งหมด ส่วนที่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ก็ปิดไว้ได้ สิ่งสำคัญคือการ 'เสนอเทคนิควิธีการต่อสู้ที่คิดค้นเองโดยสมัครใจ'
หลี่ผิงอันกลืนยาลูกกลอนสองเม็ด พอกำลังจะรีบเร่งฟื้นฟูพลังปราณเตรียมพร้อมรับมือการแข่งขันต่อไป ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งมองมาอย่างเงียบๆ จากทางด้านข้าง
กู่ชิงเฉิงกำลังมองมาทางหลี่ผิงอันด้วยสีหน้าสับสนยากจะบรรยาย
หลี่ผิงอันไม่เข้าใจ "เป็นอะไรไป หน้าข้ามีบาดแผลหรือ"
"ที่แล้วมาเจ้าปล่อยให้ข้าชนะงั้นหรือ ด้วยฝีมือขนาดนี้ของเจ้า ต่อให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องขั้นผสานสัจธรรมมาสักกี่คน เจ้าก็ชนะได้หมดนี่นา!"
กู่ชิงเฉิงมีสีหน้าหม่นหมองสุดๆ แต่ก็ไม่ได้ปกปิดความในใจไว้อะไรนัก
หลี่ผิงอันหัวเราะ "กลยุทธ์พวกนี้ ในระยะสั้นใช้ได้ครั้งเดียวน่ะสิ"
"ทำไมล่ะ"
หลี่ผิงอันมองไปที่หกอุปกรณ์ห่วงกลมที่วางอยู่ในกระเป๋าเก็บของวิเศษหลักบนตัว พลางถอนหายใจ
"ข้าก็มีแค่นี้แหละ อุปกรณ์เหล่านี้ข้าสะสมหล่อเองมาตั้งสองปี ใช้หมดแล้วในการต่อสู้ครั้งนี้ ปกติข้าจะมีเงินทองและเวลามากมายขนาดนั้นที่ไหนกัน"
"ก็จริงอยู่ การสูญเสียในครั้งนี้ของเจ้าหนักหนาจริงๆ ใช้กลยุทธ์แบบนี้มาประลองกันจะเสียเปรียบไม่น้อยเลย"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจิตใจของกู่ชิงเฉิงก็สงบลงมาก และทำหน้าย่นคิ้ว
"ก็ไม่รู้ว่าหวังไจ้จื่อผู้นี้กินยาผิดหรืออะไร มาเล่นไม่ให้เกียรติเจ้าแบบนี้ ปกติเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อย ถึงจะเย่อหยิ่งจองหองไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหยาบคายขนาดนี้"
หมอนี่คงแค่ทำตามคำสั่งคนอื่นเท่านั้นแหละ
หลี่ผิงอันเห็นแผ่นหลังอาวุโสปี้ที่สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปจากแท่นรับรองเมื่อครู่ ในใจรู้สึกชื่นชมความซื่อตรงต่อตนเองอย่างยิ่ง
ถึงแม้ใจจะชื่นชมแต่หลี่ผิงอันก็เริ่มครุ่นคิดว่า จะกำจัดภัยคุกคามที่มาจากผู้อาวุโสขั้นเทียนเซียนของเขตในผู้นี้ได้อย่างไร
กลุ่มเล็กๆของรองเจ้าสำนักโม่อี้ยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นทุกที
แต่ตอนนี้ก็มีโอกาสแล้ว...
เขาว่า "ทุกคนต่างก็ยังเยาว์วัยกันทั้งนั้น ข้าจะพักผ่อนเพิ่มพลังก่อนนะ"
"ได้เลย! รอพวกเราจบศึกใหญ่ค่อยไปดื่มกินเฮฮากันให้สนุกเลย!"
หลี่ผิงอันหลับตาลงมุ่งมั่นรับพลังจากสรรพคุณยา
บนแผ่นหลังเขาเกิดเป็นรัศมีสีฟ้าเย็นยะเยือกจางๆ
ไม่รู้ชิงซู่ลอยมายืนข้างหลังหลี่ผิงอันตั้งแต่เมื่อไร บุคลิกการยืนไขว้มือหลังของนางช่างสง่างามดุจดอกบัวในหุบเขาเปลี่ยว
...
ขณะเดียวกันนั้น ตรงกลางแท่นรับรอง
"ศิษย์น้องหลี่ต้าจื่อ หลี่ผิงอันหลานศิษย์เจ้ามีความคิดชาญฉลาดถึงเพียงนี้ น่าทึ่งจริงๆ"
"เยาว์วัยเพียงนี้แต่ก็หยั่งรู้เคล็ดวิชาลับของสำนักว่านหยุนจง ยังมีกลยุทธ์การต่อสู้ที่คิดค้นเองด้วย ใช้ระดับควบแน่นปราณเอาชนะระดับสุดของเพียรบำเพ็ญสุญญตาได้อย่างง่ายดาย ศิษย์แบบนี้ สำนักข้าไม่มีสักคน!"
"ที่จริงแล้ว ศิษย์น้องหลี่ต้าจื่อเจ้าต่างหากที่น่าทึ่งกว่า สามปีเป็นถึงขั้นหยวนเซียน!"
"สงสัยจริง สำนักว่านหยุนจงปิดประตูเงียบสงบมาสองปี นี่คือไว้ใจพวกข้าไม่ได้แล้วสินะ? ฮ่าๆๆๆ"
ในเสียงยินดีของเจ้าสำนักหลายนิกายพันธมิตร เจ้าสำนักว่านหยุนจงยิ้มจนหุบปากไม่ลง
หลี่ต้าจื่อยิ้มจนหางตาแทบหดเข้าไปหลังใบหู คารวะทุกคนพลางว่า "ท่านผู้เฒ่าชมเกินไปแล้ว ลูกชายข้าก็แค่ชอบยุ่งเรื่องนู่นนี่เองแหละ ความคิดอาจจะมีบ้าง แต่ในเมื่อยังเยาว์วัย จิตใจยังไม่มั่นคงพอ ไม่อาจให้ได้ยินคำชมเหล่านี้ ไม่งั้นคงจะลอยขึ้นสวรรค์แน่ๆ"
"ท่านพูดผิดแล้ว หลี่ผิงอันหลานศิษย์ทำการทำงานสุขุมรอบคอบ มารยาทงดงาม เป็นมังกรหงส์ในหมู่ผู้คนชัดๆ"
"ศิษย์อาหยุนโม่ สหายน้อยผิงอันผู้นี้มีคู่หมั้นหรือยัง"
คู่หมั้น?
เจ้าสำนักหยุนโม่หันไปมองหลี่ต้าจื่อ
หลี่ต้าจื่อตริตรองในใจ ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าเจ้าสำนักมองมาด้วยเจตนาใด แต่เรื่องการหมั้นหมายมักจะต้องเสียสละความสุขให้คู่หมั้น...
หลี่ต้าจื่อยิ้มตอบ "หลี่ผิงอันเด็กคนนี้มุ่งมั่นในหนทางธรรมอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ยังบอกข้าว่า คู่หมั้นมีแต่จะรบกวนความก้าวหน้าในการฝึกปราณ เขายังหวังจะเป็นเซียนโดยเร็ว ทำประโยชน์ให้แก่เขตในได้มาก ดังนั้นก่อนจะเป็นเซียน จะไม่คิดเรื่องคู่หมั้น"
"น่าชื่นชมจริงๆ เด็กหนุ่มผู้มุ่งมั่นในธรรม!"
"โอ้ย สำนักอวี้หยวนของข้าเดี๋ยวนี้ถูกบีบจากทั้งภายในและภายนอก ถ้ามีศิษย์แบบนี้สองสามคน คงไม่ต้องกลายเป็นเช่นทุกวันนี้ นี่ล้วนเป็นเพราะความไร้ความสามารถของข้าผู้ด้อยธรรมเอง..."
เจ้าสำนักหยุนโม่ถอนใจ "การเจริญเสื่อมของสำนักเป็นสิ่งยากจะคาดเดา สหายอย่าได้โทษตัวเองมากนัก"
หัวข้อสนทนาตรงนี้หันไปทางสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักอวี้หยวน
หลี่ต้าจื่อรีบเก็บรอยยิ้ม นั่งอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักขมวดคิ้วฟังอย่างใส่ใจ
เจ้าสำนักจัดให้เขามานั่งฟังดูที่นี่ เขาก็ต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า ตั้งใจเรียนรู้และแสวงหาการพัฒนาตัวเองให้มากที่สุด
วันนี้ที่ได้เห็นลูกชายตัวเองสู้กับศิษย์ในขั้นเพียรบำเพ็ญสุญญตา หลี่ต้าจื่อก็พอจะคิดออกแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้ หากคิดว่าจะถอนตัวไปอย่างราบรื่นเพียงเพราะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครแล้วละก็ คงจะเป็นไปไม่ได้
บางครั้ง หากคุณไม่พยายามไต่เต้าขึ้นไป ก็มีแต่จะถูกเหยียบย่ำโดยคนอื่นอย่างไร้เยื่อใย ถึงแม้จะไม่มีใจคิดร้ายต่อผู้ใด แต่ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่คิดร้ายต่อเรา
ไม่ดิ้นรนแล้วคือค่อยๆ ทำลายตัวเองชัดๆ
ขอพักพูดถึงหลี่ต้าจื่อที่สาบานกับตัวเองอยู่ตรงนั้นไปก่อน
ไม่พูดถึงมู่หนิงหนิงที่ถูกศิษย์พี่หญิงกลั่นแกล้ง หยอกล้อด้วยเจดีย์วิเศษให้หน้าแดงก่ำไปก่อนเลย
ที่มุมของแท่นเมฆฝั่งตะวันตก มีศิษย์หญิงอายุน้อยคนหนึ่งที่ผมจับเป็นก้อนสองข้าง ร่างเล็กบาง กำลังมองการต่อสู้ของศิษย์บนเวทีด้วยสายตาสับสน
เวินหลิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ
นางดูตั้งแต่ศึกชิงเจ้าภาพจนถึงตอนนี้ ก็เข้าใจโดยสิ้นเชิงแล้วว่า ทำไมพวกเขาจึงเรียกศิษย์เขตในว่าเป็น 'ผู้มีพรสวรรค์เหนือฟ้า' ส่วนศิษย์ระดับล่างอย่างนางจึงไม่ค่อยได้รับความเอาใจใส่
ช่องว่างระหว่างกันช่างห่างไกลนัก
เวินหลิงเอ๋อร์ทำงานหาเลี้ยงชีพตามชุมชนที่นางอาศัยอยู่ หาหินวิญญาณได้ไม่น้อยเลย สำนักว่านหยุนจงก็ใจกว้างกับศิษย์ที่ทำงานอย่างนาง มอบยาลูกกลอนและอุปกรณ์เพียบพร้อมมาก
นางรู้สึกมาตลอดว่าความเร็วในการฝึกตนของตนก็ไม่ได้ช้ามาก หากภายในสามร้อยปีเลื่อนขึ้นถึงขั้นผสานสัจธรรม ต่อชะตาชีวิตขึ้นไปได้ ก็ยังพอมีความหวังเลือนรางที่จะก้าวบนเส้นทางของผู้เป็นเซียน
แต่ตอนนี้ กำลังใจของเวินหลิงเอ๋อร์ถูกกระแทกอย่างแรง
พวกศิษย์เขตในเป็นปีศาจอะไรกันนะ
ศิษย์ที่ต่อสู้กันในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เข้ามาในสำนักได้ไม่ถึงสิบปี
เวินหลิงเอ๋อร์พลันเข้าใจทันทีว่า ทำไมอาจารย์ถึงให้นางเพียงสถานะศิษย์ทางการเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าอาจารย์จะให้นางเป็นแค่ลูกมือลูกไล่ แต่พื้นฐานและพรสวรรค์ของนางนั้น แม้แต่ระดับสองก็ไม่ถึง
'เฮ้อ อาจารย์ที่ให้โอกาสข้าเช่นนี้ถือว่าใจดีต่อข้ามากแล้วล่ะ'
จากนั้นเวินหลิงเอ๋อร์ก็คิดถึงภารกิจที่อาจารย์มอบหมาย สายตาก็เหลือบมองไปบนฟ้า ภาพหลี่ผิงอันกำลังลอยละล่องทำพิธีกรรมก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในใจ
'ข้าจะสามารถอาศัยพี่ชายท่านนี้ก้าวหน้าได้จริงหรือเปล่านะ'
เวินหลิงเอ๋อร์จ้องมองเวทียิ่งกว่าเดิม
นางมีเรื่องให้คิดมากอยู่แล้ว การเห็นการประลองเมื่อครู่ก็ทำให้สนใจการแข่งขันรอบต่อไปน้อยลง นั่งคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยอยู่ตรงนั้น จิตใจลอยไปไกลโดยไม่รู้ตัว
ผ่านไปพักใหญ่ ดวงตาของเวินหลิงเอ๋อร์ก็เป็นประกายมากขึ้น เพียงเพราะศิษย์หนุ่มขั้นควบแน่นปราณผู้นั้นขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง
เวินหลิงเอ๋อร์จับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของหลี่ผิงอัน เสียงของเขาประหนึ่งเสียงมนตราที่แว่วเข้าหู ดังวนเวียนอยู่ในหัวนางอย่างไม่ยอมจากไป
'ท่านไม่ใช้เทคนิคระเบิดอุปกรณ์ที่เก่งกาจนั่นอีกแล้วหรือ'
เวินหลิงเอ๋อร์สงสัยในใจ นิ่งดูเงาร่างที่กำลังเหาะร่อนวิ่งราวกับมีอาวุธในมือบนเวที
การต่อสู้นี้ของหลี่ผิงอัน รวมถึงอีกสองสามครั้งต่อมา เขาก็อาศัยแต่วิชาจัดวางอาวุธและยันต์ ถึงแม้จะมีชัยชนะมากกว่าปราชัย แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไปสองรอบ
เมื่อการชิงอันดับบนโลกเวทีสิ้นสุดลง หลี่ผิงอันได้อันดับเจ็ด ด้วยระดับขั้นควบแน่นปราณชั้นห้า ก็คว้าที่ท่ามกลางศิษย์ขั้นเพียรบำเพ็ญสุญญตาตอนปลายหลายคนได้
เวินหลิงเอ๋อร์ใช้มือรองคางนั่งมองจากมุม สายตาจับจ้องตามร่างของหลี่ผิงอันไม่ละสายตา มองเขาสนทนาหัวเราะกับบรรดาชายหนุ่มในสำนักคนอื่นอย่างถูกคอ มองเขากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับศิษย์น้องสาวที่งดงามด้วยรอยยิ้มสดใส มองเขารายงานอะไรบางอย่างต่อหน้าอาจารย์ระดับเทียนเซียนด้วยท่าทีนอบน้อม
ทีละน้อย ในใจของเวินหลิงเอ๋อร์ก็ปราศจากความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลาย
วันแรกของการประลองสิ้นสุดลง ศิษย์เขตนอกที่มาชมการแข่งขันเริ่มทยอยกลับ
เวินหลิงเอ๋อร์หันหน้าไปหาเงาร่างของหลี่ผิงอัน แต่กลับเห็นหลี่ผิงอันขึ้นเมฆลอยไปกับนักพรตวัยกลางคนร่างอ้วนกลมท่านหนึ่ง
'ท่านนี้คงจะเป็นศิษย์ผู้ได้รับความโปรดปรานจากประมุขผู้เป็นจินเซียนที่อาจารย์กล่าวถึง'
หลี่ผิงอันก้มลงมาทันใด สายตาของทั้งคู่มองสบกันข้ามระยะทางไกลโพ้น
หลี่ผิงอันฉีกยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าให้เวินหลิงเอ๋อร์นิดหนึ่ง
เวินหลิงเอ๋อร์ชะงักไปครู่ รีบก้มตัวคำนับตอบ แต่พอเงยหน้าขึ้นอีกที ก็ไม่เห็นร่างของหลี่ผิงอันกับบิดาแล้ว
มีศิษย์หญิงคนหนึ่งถามขึ้นมา "ศิษย์น้องเวินเป็นอะไรไป"
"ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพิ่งเหม่อไปเอง"
เวินหลิงเอ๋อร์รีบร้อนตอบไป จากนั้นก็เหาะขึ้นไปร่วมกับขบวนศิษย์เขตนอกคนอื่นๆ ในใจเต็มไปด้วยความปีติยินดีเล็กๆ
ไม่รู้ว่าอาจารย์จะส่งตัวนางเข้าไปเมื่อไหร่
แต่ผู้อุปถัมภ์ท่านนี้ นางต้องได้แน่นอน!
...
'ศิษย์เวินหลิงเอ๋อร์ก็บำเพ็ญเพียรในสำนักนี้เช่นกันหรอกหรือ'
หลี่ผิงอันนึกถึงผู้จัดการเซียวเยว่ ในใจก็ไม่ค่อยสบายใจนัก
ผู้จัดการเซียวเยว่ผู้นี้ ไม่อาจเรียกว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย คงได้แต่เรียกว่าเจ้าแผนการชั่วร้ายเสียมากกว่า
หลี่ผิงอันรู้สึกมาโดยตลอดว่า นับตั้งแต่ผู้จัดการเซียวเยว่มอบหญ้าวิเศษให้เขาเมื่อครั้งก่อน ก็คงกำลังวางแผนอะไรบางอย่างแน่ๆ
"พ่อครับ"
หลี่ต้าจื่อที่กำลังขบคิดอะไรอยู่หันมามอง "หืม มีอะไรหรือ เจ็บตัวตอนต่อสู้หรือไง"
หลี่ผิงอันเปลี่ยนเป็นพูดสำเนียงท้องถิ่น "ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แค่รู้สึกเหนื่อยหน่อย เคล็ดวิชาระเบิดพลังจิตใช้พลังจิตเปลืองเกินไป... สายพานผลิตอุปกรณ์ที่เราจัดเตรียมไว้คงต้องส่งมอบให้เขตในเร็วกว่ากำหนดซะแล้วล่ะ"
"โอ้?" หลี่ต้าจื่อหัวเราะ "พ่อเห็นลูกใช้เทคนิคนี้วันนี้แล้ว ก็เดาความคิดลูกออกคร่าวๆ ไม่เป็นไร ลูกจัดการก็แล้วกัน พ่อจะคอยช่วยปกปิดให้เอง"
"พ่อครับ แต่สำหรับการมอบสมบัติแด่เขตใน พ่อต้องเป็นตัวหลักนำนะครับ"หลี่ผิงอันกำชับ "ถ้าให้ผมทำคนเดียว คงไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ จำเป็นต้องมีพ่อช่วยแรงเชิดชู"
"แล้วแต่ลูกจะจัดการเถอะ"
หลี่ต้าจื่อโบกมือไป หัวข้อสนทนานี้ไม่ค่อยสนใจนัก
หลี่ผิงอันส่งกล่องผ้าไหมให้ผู้เป็นพ่อ แล้วเปลี่ยนเป็นคำพูดธรรมดาว่า "นี่คือของขวัญที่ผู้อาวุโสเซียวเยว่มอบให้ผมเมื่อครั้งก่อนตอนผมผ่านการทดสอบเขตนอก พ่อลองเอาไปให้ยอดเขาฝุ่นยา ขอให้ช่วยปรุงเป็นยาบำรุงพื้นฐานได้ไหมครับ"
"หือ?"
หลี่ต้าจื่อรับกล่องผ้าไหมมา อดอ้าปากค้างไม่ได้
"นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราตามหาทั้งปีที่แล้วแต่ไม่เจอซะหน่อย... อายุมันก็ไม่น้อยเลยนะเนี่ย! มีค่ามหาศาลมากๆ!"
"ผู้จัดการเซียวท่านนี้ตั้งใจอะไรกันแน่นะ"
หลี่ผิงอันหัวเราะ "ของขวัญจากผู้ใหญ่ จะปฏิเสธก็ไม่กล้า พ่อเคยสอนผมเองไงครับ เอาเถอะ ครั้งนี้ผมเป็นหนี้บุญคุณผู้อาวุโสเซียวไปหนึ่ง ก็ให้พ่อหาโอกาสตอบแทนนางไปแล้วกันนะ"
หลี่ต้าจื่อหัวเราะเสียงดัง "ปกติคนเราลูกต้องใช้หนี้แทนพ่อ แต่ลูกเอ๋ย ลูกดันให้พ่อใช้หนี้แทนลูกซะได้! ได้ๆ เดี๋ยวพ่อจะหาโอกาสตอบแทนให้นางแน่!"
"ศิษย์น้องหลี่ต้าจื่อ วันนี้ดูดีใจออกนอกหน้าจริงๆ นะ"
"หลี่ผิงอันวันนี้แสดงความสามารถเต็มที่เลย ศิษย์น้องหลี่ต้าจื่อเจ้าช่างปิดบังพวกข้าได้อย่างมิดชิดจริงๆ"
"ฮ่าๆๆๆ! หลี่ผิงอัน! เคล็ดวิชาระเบิดพลังจิตของเจ้า ไปเรียนมาจากไหนกัน?"
เสียงทักทายดังขึ้นจากด้านข้างอีก มีนักพรตกลุ่มหนึ่งขี่เมฆล้อมวงมาหาหลี่ต้าจื่อผู้กำลังยิ้มแย้มชื่นบาน กับหลี่ผิงอันที่พลันโด่งดัง ต่างก็เตรียมถ้อยคำชมเชยไว้มากมาย
หลี่ผิงอันรู้สึกประหนึ่งก้านสมองกำลังคันยุบยิบ รีบแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนงดงามออกมาทันที
รอบที่สองของการเข้าสังคมในหมู่เซียนก็ได้เริ่มต้นขึ้น