บทที่ 34 ความสนใจจากเจ้าสำนัก
"หลี่ต้าจื่อ?"
"โอ๊ย! เจ้าสำนักมาได้ยังไงกันขอรับ?"
หลี่ต้าจื่อสะดุ้งตื่นโผลงขึ้นยืน แล้วพร้อมใจกับผู้อาวุโสและผู้จัดการที่อยู่ใกล้ๆ คารวะเจ้าสำนัก
เจ้าสำนักสำนักว่านหยุนจงรักษาใบหน้าวัยกลางคน เสียงพูดนุ่มนวล สายตาอ่อนโยนเวลามองคนแทบไม่เคยโกรธใส่ใครในสำนักเลย ทำให้ได้รับความรักจากศิษย์ในสำนักอย่างล้นเหลือ
ในสำนักมีข่าวลือว่า เจ้าสำนักอยู่ห่างจากขั้นอมตะจินเซียนไม่มากแล้ว มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นจินเซียนคนที่สี่ในสำนัก
------เจ้าสำนักสองสามรุ่นก่อนตอนดำรงตำแหน่งก็มีข่าวลือแบบนี้เหมือนกัน
เจ้าสำนักมีชื่อจริงว่าหลู่โม่ ฉายานะกลับเรียกตัวเองว่า นักพรตหยุนโม่ โดยแค่เพิ่มตัวอักษร 'หยุน' เข้าไป
"ศิษย์ผู้น้องหลี่ต้าจื่อ มาทางนี้"
"เอ่อ ขอรับ"
หลี่ต้าจื่อประสานมือให้ผู้อาวุโสและผู้จัดการที่อยู่รอบตัว ฝากให้ช่วยกันดูแลว่า
"ขอความกรุณาพวกท่านจัดการเรื่องย้ายสถานที่ด้วย อย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวายที่ยอดเขาสายหมอกนะ"
เหล่าเซียนคารวะรับคำสั่ง
หลี่ต้าจื่อเดินเร็วๆ ไปอยู่ข้างเจ้าสำนัก ทั้งสองขึ้นเมฆเดียวกัน บินวนไปบนท้องฟ้า
ศิษย์ในสำนัก แขกจากสำนักมิตร ภายใต้การนำทางของผู้จัดการเขตนอกกว่าร้อยคน พากันเดินทางมุ่งสู่ยอดเขาสายหมอกอย่างเป็นระเบียบ กลายเป็นสามสายแม่น้ำยาวเหยียดอยู่บนท้องฟ้า
"ศิษย์ผู้น้องหลี่ต้าจื่อ" เจ้าสำนักพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง "การแข่งขันใหญ่ครั้งนี้ เจ้าทำได้ดีมาก สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้สำนัก"
เจ้าสำนักส่งพลังรัศมีเต๋าปกปิดเล็กน้อย ทำให้ไม่มีใครสามารถได้ยินการสนทนาระหว่างพวกเขาแม้แต่คำเดียว
หลี่ต้าจื่อเอามือไพล่หลัง หัวเราะ "นี่เป็นผลจากความพยายามร่วมกันของสหายร่วมสำนักทั้งหลาย ข้าแค่ช่วยกล่าวซ้ำๆ ข้างหูพวกเขาอีกสองสามประโยค ไม่นับเป็นคุณงามความดีอะไรขอรับ"
"คำพูดและการกระทำของเจ้าทุกอย่าง ข้าล้วนจับตามองอยู่"
สีหน้าของเจ้าสำนักค่อนข้างเป็นกังวล ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
"ไม่พูดเรื่องอื่น เพียงแค่ท่าทางการนั่งพูดกับเหล่าผู้อาวุโสและผู้จัดการของเจ้า ดูเหมือนเป็นเจ้าสำนักมากกว่าข้าเสียอีก"
หัวใจของหลี่ต้าจื่อหล่นวูบ
เสียแล้ว เสียแล้ว!
เจ้าสำนักกำลังจิกเขาอยู่!
หลี่ต้าจื่อรีบพูดว่า "เรื่องนี้...เจ้าสำนักอย่าเข้าใจผิดนะขอรับ ตอนนั้นข้าแค่มือเท้าไม่ไหวไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ด้วยความเร่งร้อน เลยขึ้นรูปลักษณ์หน่อย จริงๆ แล้ว..."
"เจ้าตื่นเต้นทำไม" เจ้าสำนักเกือบจะหัวเราะออกมา "ข้าชมเจ้าจริงๆ ไม่ได้มีนัยลึกซึ้งอะไรหรอก เจ้านี่นะ อย่าไปตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา นำอัตลักษณ์ความเป็นศิษย์บรรพชนออกมาใช้หน่อย"
หลี่ต้าจื่อโล่งอกไม่น้อย
"เจ้ามองดูสิ"
เจ้าสำนักมองไปยังเมฆขาวที่ลอยผ่านอยู่ไกลๆ หัวเราะพูดว่า
"วันนี้มีเจ้าสำนักมาห้าท่าน มาจากสำนักเว่ยหยวน หลวนหลิน ชื้อเหยียน ป๋ายกว๋อซาน และเทียนหยวน ล้วนเป็นสำนักเต๋าที่มีไมตรีจิตอันแน่นแฟ้นกับสำนักว่านหยุนจงของเรา หากสำนักใดประสบเคราะห์ภัย สำนักอื่นๆ ก็จะนำกำลังไปช่วยเหลือทันที
ยังมีรองเจ้าสำนักและผู้อาวุโสจากหลายสำนักมาร่วมด้วย แต่ละสำนักต่างให้หน้าสำนักว่านหยุนจงของเราเต็มที่
ก่อนหน้านี้ การแข่งขันใหญ่เขตในของเราจัดขึ้นราวยี่สิบปีครั้ง แต่ไม่มีกำหนดวันที่แน่นอน
เจ้าพูดได้ถูกต้อง ต่อไปก็กำหนดวันที่แน่นอนเลย แบบนี้สะดวกในการเชิญแขกเหล่านี้ล่วงหน้าด้วย
"ศิษย์ผู้น้องหลี่ต้าจื่อ"
"ข้าอยู่นี่ขอรับ" หลี่ต้าจื่อรีบตอบ "เจ้าสำนักมีอะไรเชิญสั่งขอรับ"
เจ้าสำนักถอนหายใจ "สำนักเหล่านี้ส่วนใหญ่สนิทสนมกับเรามาสองสามหมื่นปีแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ มีสำนักอีกเท่าไรที่ได้สาบสูญไปแล้ว และอีกเท่าไรกำลังเดินไปสู่ความสาบสูญ?"
หลี่ต้าจื่อหัวเราะพูดว่า "เรื่องนี้ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ขอรับ"
"หกส่วนสิบ หายไปถึงหกส่วนสิบ"
สายตาเจ้าสำนักเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
"สามสำนักที่สนิทที่สุดกับสำนักว่านหยุนจงของเรา สำนักเว่ยหยวน เทียนหยวน และหงเยี่ยนกู่ ตอนนี้ล้วนอับเฉาไปแล้ว แท้จริงแล้วความอับเฉาของพวกเขาเกิดขึ้นเพียงแค่ในช่วงเวลาไม่กี่พันปีนี้เอง"
หลี่ต้าจื่อถามเบาๆ "เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างหรือขอรับ?"
"ความเปลี่ยนแปลงเป็นอีกเรื่อง สาเหตุหลักคือสำนักยากจะดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง"
เจ้าสำนักยิ้ม
"โลกการฝึกธรรมเป็นแบบนี้แหละ พอมีเทียนเซียนใหม่ถือกำเนิดขึ้น ก็จะมีกำลังใหม่เริ่มเติบโต แม้แผ่นดินภาคตะวันออกจะกว้างใหญ่ แต่แดนมงคลที่เหมาะแก่การบำเพ็ญชั้นดีก็มีจำกัด
โดยเฉพาะในสองสามพันปีมานี้ ซากปรักหักพังสมัยโบราณที่หลงเหลืออยู่ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ เผ่าพันธุ์ต่างๆ ถูกเจ้าสำนักทั้งสองของสำนักตะวันตกรวบรวมไว้ ถอยร่นไปอาศัยในดินแดนตะวันตก ความขัดแย้งกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราจึงค่อยๆ ลดน้อยลง
หลังจากนั้น ภายในเผ่ามนุษย์เองก็มีการสับเปลี่ยนอำนาจ แย่งชิงยึดครองซึ่งกันและกัน ยอดฝีมือรุ่นเก่าล่มสลาย ยอดฝีมือรุ่นใหม่ผงาดขึ้นมา...
เฮ้อ ถึงจะพูดว่านี่เป็นการสังหารกันเองในเผ่ามนุษย์ แต่มันก็คือวิถีแห่งสวรรค์ดิน ไม่ใช่หรือ?"
ก้นตาของเจ้าสำนักเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง
หลี่ต้าจื่อกล่าวอย่างซาบซึ้งว่า "เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินผิงอันพูดถึง สำนักที่อยากดำรงอยู่ได้นาน ต้องใช้วิธีต่างๆ รักษาความสามัคคีของคนในสำนักให้ได้ เมื่อจิตใจของผู้คนสลายแล้วสำนักก็จะเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว"
"คำพูดนี้ไม่ผิด" เจ้าสำนักถามต่อ "งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมสำนักว่านหยุนจงของเราถึงดำรงมั่นคงยืนหยัดมากว่าหกหมื่นปี?"
หลี่ต้าจื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วให้คำตอบของตัวเอง "เพราะเรามีเขตนอกขอรับ"
"โอ๊ะ?" เจ้าสำนักมีแววตาเป็นประกายมากขึ้น "ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?"
หลี่ต้าจื่อ: เพราะเขตนอกของสำนักว่านหยุนจงเป็นฝีมือท่านจัดตั้งไว้เองนี่นา
แน่นอนว่าพูดแบบนี้ไม่ได้
"เรื่องนี้อธิบายไม่ยาก"
หลี่ต้าจื่อหัวเราะพูดว่า
"สำนักเปรียบได้กับบริษัท เอ่อ ก็เหมือนโรงย้อมผ้า หลักปฏิบัติและพลังเวทคือสี ระดับพลังของศิษย์ก็คือผืนผ้า ตอนย้อมสีต้องไม่บังคับจนเกินไป และต้องระวังอุณหภูมิของน้ำให้ดี
เมื่อศิษย์ใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส ก็คือกลายเป็นเซียนแล้ว เป็นศิษย์เขตในของสำนัก
ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้น ศิษย์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ เหล่านี้ ควรจัดสรรพวกเขาอย่างไร จะเลี้ยงดูพวกเขาอย่างไร"
เจ้าสำนักยิ้มชัดเจนยิ่งขึ้น "พูดต่อสิ"
"การจัดสรรสำคัญกว่าการเลี้ยงดู ความจริงการเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย แค่หาทางทำมาหากินก็พอ"
หลี่ต้าจื่อประสานมือ น้ำเสียงยิ่งฉะฉาน
"ถ้าศิษย์เขตในมีมากเกินไป โรงงานมีขนาดใหญ่ขนาดนี้ ที่ที่ต้องใช้คนทำงานก็มีเท่านี้ มันก็จะค่อยๆ แออัด แถมยังชุมนุมกันสร้างปัญหาได้ง่าย
พวกที่ทำงานพอเห็นคนเหล่านี้เกียจคร้าน สภาพจิตใจก็จะไม่ปกติ คนที่เดิมทำงานได้ก็จะเริ่มขี้เกียจมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้าศิษย์เขตในมีน้อยเกินไป พอโรงงานอื่นตั้งใจรังควานเจ้า เจ้าไม่มีคนมากพอไปต่อสู้กับพวกเขา พอถูกรังแกแล้วไม่สามารถแก้แค้นได้ คนจำนวนมากก็จะเริ่มพิจารณาหาโรงงานใหม่
นี่คือความเปลี่ยนแปลง
อีกประการคือ ค่าจ้างของโรงงานเป็นรากฐานที่ค้ำจุนทุกอย่าง ศิษย์เขตในเหล่านี้ถึงแม้ไม่ได้ช่วยทำงานโดยตรง ก็จำเป็นต้องมีส่วนแบ่งค่าจ้างให้อยู่เสมอ"
เจ้าสำนักพยักหน้าช้าๆ ขบคิดอย่างลึกซึ้ง
หลี่ต้าจื่อทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่ออย่างคล่องแคล่ว
"ตอนที่ข้าคุยกับผิงอันเรื่องโครงสร้างสำนัก พบว่าผู้อาวุโสที่ตั้งเขตนอกของสำนักว่านหยุนจงเป็นอัจฉริยะแท้จริง
หลังจากที่เขตนอกของสำนักว่านหยุนจงตั้งขึ้นมา ก็ยืนยันการแบ่งระดับในสำนักได้ทันที ทำให้ศิษย์ในสำนักยอมรับการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันตามพรสวรรค์อย่างเป็นธรรมชาติ
เขตนอกไปทำการค้าตามตลาดในเมือง ควบคุมอาณาจักรในหมู่มนุษย์ และทำงานเบ็ดเตล็ดในสำนัก วิธีนี้นอกจากจะสามารถจัดสรรศิษย์จำนวนมากได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้สำนักเราได้อย่างมากอีกด้วย
ใช้เงินเลี้ยงคน นี่เป็นความจริงที่เที่ยงแท้มาแต่โบราณ"
"ฮ่าๆๆๆ!"
เจ้าสำนักอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ โบกมือรัวๆ
"ไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ศิษย์ผู้น้องพูดหรอก การตั้งเขตนอกเป็นคัมภีร์วิชาที่ข้าผู้ด้อยศีลไปเรียนรู้มาจากที่อื่น"
หลี่ต้าจื่อกระพริบตา "หา? เขตนอกสำนักว่านหยุนจงเป็นฝีมือท่านตั้งขึ้นเองเหรอขอรับ?"
"เฮ้อ"
เจ้าสำนักถอนหายใจ แล้วพูดช้าๆ ว่า
"สำนักว่านหยุนจงของเราเมื่อหมื่นปีก่อนเคยประสบวิบากครั้งใหญ่ ก่อนเกิดเหตุการณ์ สำนักมีทั้งหมดห้าสิบสี่ยอดเขา
ก็เป็นไปตามที่เจ้าพูดมานั่นแหละ
สมัยนั้นสำนักว่านหยุนจงดูเหมือนเฟื่องฟูรุ่งเรือง แต่จริงๆ แล้วเพราะเซียนในแต่ละยอดเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ แหล่งรายได้ของสำนักอาศัยเพียงแร่หินวิญญาณใกล้ๆ ประตูสำนักและร้านค้าในตลาดเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการรักษาผลประโยชน์ของศิษย์ในสำนัก สุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เกิดจากการแย่งชิงภายใน
โชคดีที่จินเซียนอาจารย์บรรพบุรุษสามท่านที่ออกไปเที่ยวเล่นนอกโลกกลับมาทัน จึงหยุดเหตุวิปโยคได้ทัน กวาดล้างความโกลาหลและย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น
อาจารย์บรรพบุรุษทั้งสามน้ำตานองหน้าฆ่าเซียนอาวุโสไปหลายคน สำนักว่านหยุนจงของเราร่วงจากห้าสิบสี่ยอดเขาเหลือแค่สามสิบหก อันดับการจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักภาคตะวันออกตกฮวบ ก่อนหน้านั้น สำนักว่านหยุนจงของเรายังติดอยู่ในแปดสำนักใหญ่ของภาคตะวันออกเลยนะ
ข้าผู้ด้อยศีลรับตำแหน่งในยามคับขัน หมื่นปีนี้...ดุจเดินบนน้ำแข็งบาง
สำนักว่านหยุนจงที่เจ้าเห็นในตอนนี้ ในที่สุดก็ฟื้นพลังขึ้นมาได้"
หมื่นปี?
หลี่ต้าจื่อชูนิ้วโป้ง
เขาเคารพเจ้าสำนักท่านนี้อย่างแท้จริง
เขาเองยังเครียดกับการดูแลโรงงานเพียงยี่สิบกว่าปีจนเกือบเป็นโรคซึมเศร้า แต่สหายร่วมสำนักหยุนโม่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักมาถึงหมื่นปี นำพาสำนักที่เพิ่งผ่านการจลาจลภายในมาจนถึงจุดรุ่งเรืองเช่นวันนี้ได้ ช่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เจ้าสำนักเปลี่ยนหัวข้อ "ศิษย์ผู้น้องหลี่ต้าจื่อคิดว่า หากสำนักว่านหยุนจงของเราจะเติบโตต่อไป ควรเดินในเส้นทางใด?"
หลี่ต้าจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มตอบว่า "ขยายตัวยาก ควรรักษาสิ่งที่มีอยู่"
เจ้าสำนักถามต่อ "งั้นศิษย์ผู้น้องหลี่ต้าจื่อคิดว่า ต่อไปเขตนอกควรมีการเปลี่ยนแปลงบ้างไหม?"
"ก็น่าจะมีบางส่วนขอรับ"
หลี่ต้าจื่อพูดเสียงเข้ม
"จริงๆ แล้วปัญหาหลักของเขตนอกในตอนนี้ ก็คือบัญชีไม่ค่อยชัดเจน เซียนหลายคนในสำนักอ้วนเกินไป มีปรากฏการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นกับบัญชีมีการสั่งซื้ออย่างมืดบอดในร้านค้าตามตลาดหลายแห่ง จนทำให้สูญเสียหินวิญญาณไปจำนวนมาก
แน่นอนว่าสำหรับพวกเรา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ"
เจ้าสำนักสงสัย "เจ้าไปสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไร?"
หลี่ต้าจื่อยิ้มกว้าง "ผิงอันบอกข้ามาเองขอรับ"
"หือ?"
สายตาของเจ้าสำนักมองไปยัง 'แม่น้ำศิษย์' ที่กำลังเหินฟ้าอยู่ด้านล่าง เขาเห็นเด็กหนุ่มเต๋าที่เดินคู่กับมู่หนิงหนิงอยู่
หลี่ต้าจื่อรีบพูดว่า "เจ้าสำนักก็ทราบข่าวลือในสำนักดี ที่ว่าข้าคิดจะทำโน่นทำนี่ ดังนั้นผิงอันเลยกังวลอยู่เสมอว่าอาจมีคนวางแผนร้ายกับข้า เขาจึงเก็บรวบรวมข้อมูลจากในสำนักอยู่ตลอด...ท่านดูนี่สิ นี่เป็นสิ่งที่ผิงอันเขียน"
หลี่ต้าจื่อส่งป้ายหยกอันหนึ่งให้เจ้าสำนัก
เจ้าสำนักรับป้ายหยกมากวาดตามอง ดวงตาเปล่งประกายวาววับ
นี่คือบันทึกโครงการการแข่งขันใหญ่ศิษย์เขตในที่หลี่ผิงอันทำไว้
"ศิษย์ผู้น้องหลี่ต้าจื่อ" เจ้าสำนักเอ่ยเสียงเข้ม "ความหมายของเจ้าคือ..."
"ที่เจ้าสำนักมาพบข้าและพูดเรื่องเหล่านี้วันนี้ ข้าพอจะเข้าใจความตั้งใจของท่านขอรับ"
หลี่ต้าจื่อยิ้มพูดว่า
"ข้าไม่ได้อวยลูกชายตัวเองหรอกนะ เรื่องนี้เขาเก่งกว่าข้ามากจริงๆ ส่วนข้าก็เพียงแค่มีบุญวาสนาและพรสวรรค์นิดหน่อยเท่านั้น
ในขณะที่เขาดูเหมือนจะฉลาดกว่าข้าหลายเท่า"
"หากเป็นอย่างที่ว่า พ่อลูกเจ้าทั้งสองต่อให้ขาดใครไปสักคนก็ไม่ได้สำหรับสำนักว่านหยุนจงของเรา"
เจ้าสำนักยิ้มพลางคืนป้ายหยกให้หลี่ต้าจื่อ แล้วตบแขนเขาเบาๆ
"เจ้าตั้งใจฝึกปรือทำงานไปเถอะ อย่าไปสนใจเสียงรบกวนในสำนักมากนัก
รอให้ลูกชายคนเก่งของเจ้าสำเร็จเป็นเซียน ก็จะได้มอบหมายงานสำคัญให้เขา
แต่ ศิษย์ผู้น้องหลี่ต้าจื่อ
ตอนนี้ผิงอันยังคงควรอยู่หลังเจ้าเป็นดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นจับผิด
เรื่องป้ายหยกนี้ก็อย่าไปพูดกับผู้อื่นอีก"
"อืม ขอรับ ข้าเพียงแค่บอกท่านความจริงเล็กน้อยเท่านั้น"
หลี่ต้าจื่อรีบประสานมือคารวะ
"ผิงอันเป็นพวกคลั่งไคล้เต๋า ในใจคิดอยากจะฝึกปราณ
เราทั้งคู่ไม่มีความคิดเกินตัวแต่อย่างใด แค่สามารถรักษาตัวดำรงชีพในสำนักได้ก็พอใจแล้ว ถึงจะมีคนตั้งใจจะหาเรื่องเรา เราก็จะพยายามยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องขอรับ"
"จะว่ารักษาตัวดำรงชีพอะไร วันพรุ่งนี้ของสำนักว่านหยุนจง ราวแปดส่วนสิบคงต้องพึ่งบุญวาสนาของเจ้าหล่อเลี้ยงแหละ"
เจ้าสำนักหัวเราะพูดว่า
"ไปเถอะ ข้าพาเจ้าไปทำความรู้จักกับเจ้าสำนักทั้งสองสามท่าน
ปรากฏการณ์ประหลาดตอนที่เจ้าไปตรวจสอบพรสวรรค์ในนครหว่านอันได้ลือกระจายไปทั่วโลกการฝึกปราณแล้ว เราไม่จำเป็นต้องปิดบังข่าวที่สำนักว่านหยุนจงได้ผู้มีบุญวาสนาใหญ่อีก
เข้าวัดวัยกลางคน สามปีสำเร็จเป็นเซียน!
ข้าผู้ด้อยศีลแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเห็นสีหน้าเคอะเขินของพวกเขาเลย! ฮ่าๆๆ!"
...
หลี่ผิงอันมองหลี่ต้าจื่อที่ถูกเจ้าสำนักพาไปที่กลางแท่นประธานของยอดเขาสายหมอก คารวะทักทายกับเหล่าแขกผู้ทรงเกียรติ
เห็นได้ชัดว่าเพราะการจัดการแข่งขันใหญ่ศิษย์เขตในครั้งนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก ฐานะของพ่อในสำนักว่านหยุนจงจึงมั่นคงขึ้นอีกสองสามส่วน
"ศิษย์พี่" มู่หนิงหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดว่า "เราไปทักทายศิษย์พี่สาวจากยอดเขาสายหมอกกันเถอะ!"
"เจ้าไปเถอะ" หลี่ผิงอันฝากฝัง "เจ้าอยู่แถวนั้นนะ ถ้าอยู่ข้างข้า อาจจะถูกคนหาเรื่องก็ได้"
มู่หนิงหนิงกระพริบตาถาม "ศิษย์พี่จะไม่ไปเหรอ?"
หลี่ผิงอัน...
ฝั่งนั้นเป็นศิษย์หญิงทั้งหมด แค่เขาไปก็เด่นชัดเจนแล้ว
"เจ้าก็เป็นศิษย์ยอดเขาสายหมอกนี่"
มู่หนิงหนิงกลั้นหัวเราะ ก้มซุบซิบที่ข้างหูของหลี่ผิงอันอย่างลึกลับ
"เมื่อวานศิษย์พี่สาวหลายคนบอกว่าอยากเจอหน้าศิษย์พี่วันนี้ พวกนางยังเตรียมของขวัญต้อนรับศิษย์เข้ายอดเขาสายหมอกใหม่ให้ศิษย์พี่ด้วย!"
ของขวัญต้อนรับ? ของขวัญอะไรกัน?
ชุดกระโปรงสีชมพูหวานๆ เหรอ?
ดูจากท่าทางของมู่หนิงหนิงแล้ว หลี่ผิงอันรู้สึกว่าไม่น่าจะมีอะไรดีแน่ๆ
หลี่ผิงอันมองไปทางแถวศิษย์ยอดเขาสายหมอก
ศิษย์ยอดเขาสายหมอกเหล่านั้นยึดพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของกำแพงเมฆฝั่งตะวันออก มองไปทีเดียว นางแอ่นนางนกเต็มไปหมด รูปร่างแตกต่างหลากหลาย ราวกับร้อยดอกไม้บานสะพรั่ง แข่งกันผลิบาน
------ทุกวันนี้ ไม่มีนักพรตหญิงที่หน้าตาไม่งาม มีก็แต่ขี้เกียจจนไม่ยอมไปปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองนั่นแหละ
"ข้าไปไม่ค่อยสะดวกเลย ช่างมันเถอะ"
หลี่ผิงอันพูดเบาๆ ว่า
"ศิษย์น้องหญิงช่วยข้าบอกพวกเขาที เอาเป็นว่าหลังการแข่งขันข้าจะไปเยี่ยมที่ยอดเขาสายหมอกนะ
ข้าจะรอแข่งขันที่นี่แหละ"
"งั้นก็ได้เจ้าคะ" มู่หนิงหนิงยื่นปากเล็กน้อย "งั้นข้าจะไปบอกว่าศิษย์พี่อายมอบของขวัญต้อนรับให้ข้าก็พอนะเจ้าคะ"
หลี่ผิงอันสั่ง "เจ้าระวังฟังผู้จัดการเรียกนะ พวกเราจากกระดานมนุษย์ขึ้นมาจะต้องขึ้นเวทีก่อน"
"อืมๆ งั้นเดี๋ยวข้าไปก่อนนะเจ้าค่ะ ศิษย์พี่เจอกันอีกทีหลัง~"
หลี่ผิงอันโบกมือยิ้มๆ มู่หนิงหนิงลอยจากไป
การส่งมอบเวทีระหว่างยอดเขาเมฆอรุณกับยอดเขาสายหมอกเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่น
ที่ว่ามอบก็แค่ให้ผู้ชมย้ายไปที่อื่น ผู้จัดการอาวุโสทุกคนหอบโต๊ะเก้าอี้ของตัวเองไปที่สถานที่ยอดเขาสายหมอกด่วน แล้วผู้นำยอดเขาสายหมอกก็ออกมาให้กำลังใจศิษย์ต่างๆ สักหน่อย
ภาพรวมก็ประมาณนี้ล่ะ
กฎการแข่งขันกระดานดินละเอียดกว่ากระดานมนุษย์มาก และกฎเหล่านี้...ก็เป็นฝีมือของหลี่ผิงอันเอง
ทางฝ่ายยอดเขาสายหมอกต้องการให้กระดานดินแข่งขันกันหลายรอบ เพื่อให้ศิษย์ในยอดเขาสายหมอกได้สนุกสนานสักพักหนึ่ง
เพื่อตอบสนองความต้องการเล็กๆ ของเจ้าภาพ ที่อยากให้กระดานดินแข่งขันนานขึ้น หลี่ผิงอันจึงหยิบกฎการแข่งขันอีสปอร์ตที่เขาชอบดูขึ้นมา
ต่อไป ศิษย์มากกว่าหกสิบคนจะเริ่มแข่ง 'คะแนน' หกรอบ จากนั้นคัดเลือก 32 คนที่แข็งแกร่งที่สุดจากการแข่งคะแนน เพื่อแข่งขันแบบวนเวียนจนได้ 16 คนสุดท้ายเข้ารอบตัดเชือกและชิงชนะเลิศ
เป้าหมายส่วนตัวของหลี่ผิงอันในการแข่งขันครั้งนี้คือ ทะลุเข้ากระดานสวรรค์ ให้ติดท็อปห้าสิบในกระดานสวรรค์
โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อทำให้อาจารย์ยินดี
'อาจารย์ไม่ได้มาเหรอ?'
หลี่ผิงอันมองหาไปรอบๆ ก็พบร่างบอบบางที่นั่งสมาธิอยู่มุมแท่นประธานได้อย่างรวดเร็ว
รอบกายของชิงซุ่ยในระยะครึ่งจั้งราวกับเป็นเขตต้องห้าม ไม่มีใครเดินเข้าไปทักทายพูดคุย เงียบสงบและเปล่าเปลี่ยวนิดหน่อย
ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยรู้วิธีคุยกับคนอื่น
หลี่ผิงอันกำลังครุ่นคิดอยู่ เวยเหยียนจื้อก็แอบเดินมาข้างๆ ย่อตัวลง จับแขนเขาแล้วกระซิบ
"หลี่ผิงอัน เจ้าจะเป็นคนแรกที่ขึ้นสู้มั้ย? สร้างประลองเปิดหัวอะไรสักหน่อย
ผู้อาวุโสในสำนักกำลังมองดูอยู่ หากเจ้าที่ระดับขั้นควบแน่นปราณสามารถใช้สิ่งที่ด้อยเอาชนะสิ่งที่เหนือกว่าได้อีก ต้องสร้างความประทับใจให้เซียนในสำนักลึกซึ้งมากขึ้นแน่ๆ
นั่นเป็นศิษย์ทั้งหมดของยอดเขาสายหมอกนะเว้ย นางเซียนสวยขนาดนี้...ท่วงทีถือหอกของเจ้าโก้เก๋ซะขนาดนั้น"
"ท่านผู้จัดการ จับฉลากตามกฎเถอะขอรับ"
หลี่ผิงอันแอบขำในใจ
เขาไม่ใช่พวกตาโตเพราะสาวสวย อีกทั้งเขาก็ผ่านวัยที่อยากโชว์ตัวให้เพศตรงข้ามมองแล้ว
"ข้าเข้าใจแล้ว เฮ้อ นี่เป็นโอกาสดีขนาดไหนกันเชียว!"
เวยเหยียนจื้อทำสีหน้าเสียดายแล้วก็เดินจากไปอย่างสบายอารมณ์
ผู้จัดการเซียนเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หลี่ผิงอันกำลังจะปรับสมาธิต่อ แต่กลับมีเสียงแปลกๆ ดังเข้ามาในหูเขา
เขาไม่รู้จักเสียงนี้
อีกฝ่ายพูดว่า
"หลี่ผิงอันน้อย การแข่งขันกระดานดินนี่ให้ตั้งใจหน่อยนะ ถ้าเข้าสิบอันดับแรกกระดานดินได้ ข้าผู้ด้อยธรรมจะให้สมบัติเจ้าสองสามชิ้น"
นี่...ใครกัน?
แค่เปิดปากก็เรียกเขาว่าหลี่ผิงอันน้อย มีมารยาทหรือเปล่านี่?
แล้วก็ได้ยินเสียงกลองและระฆังดังสะเทือนฟ้าดิน บทเพลงอันไพเราะลอยละล่องในหมู่เมฆ
การแข่งขันกระดานดิน เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!