ตอนที่แล้วบทที่ 32 อวดฝีมือเล็กน้อย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 34 ความสนใจจากเจ้าสำนัก

บทที่ 33 ฝ่าเข้าสู่กระดานดิน


วันแข่งขันกระดานมนุษย์ ที่ยอดเขาเมฆอรุณ

หลี่ผิงอันกำลังรอการประเดิมเวทีของตัวเอง

การแข่งขันใหญ่เขตในของสำนักว่านหยุนจงครั้งนี้ มีสามสถานที่หลักคือ ยอดเขาเมฆอรุณ (แข่งขันกระดานมนุษย์) ยอดเขาสายหมอก (แข่งขันกระดานดิน) และเขาหลัก (แข่งขันกระดานสวรรค์)

ตาม'ข้อมูลจากแหล่งวงในแท้ๆ' ที่หลี่ผิงอันได้มา

การชิงสิทธิ์เป็นเจ้าภาพยอดเขาในครั้งนี้ค่อนข้างดุเดือด

เหล่าเซียนในแต่ละยอดเขาแสดงความกระตือรือร้นต่อเรื่องนี้อย่างสูง

ในสำนักมีทั้งหมดสามสิบหกยอดเขา ในสองวันมีถึงยี่สิบเจ็ดยอดเขาส่งใบสมัครมาด้วยตัวเอง

ผลเสียของการที่หลี่ต้าจื่อมีสหายมากมายปรากฎชัดเจนในเรื่องนี้

สหายสนิทในแต่ละยอดเขาพากันมาหา ทำให้หลี่ต้าจื่อปวดหัวตึ้บๆ

แม้กระทั่งผู้นำยอดเขา ผู้อาวุโส และเซียนอาวุโสของแต่ละยอดเขา

เพื่อชิงโอกาสให้ยอดเขาของตัวเองได้โชว์ตัว ก็ไปรบกวนถึงเจ้าสำนัก

โชคดีที่หลี่ต้าจื่อทนรับแรงกดดันจากทุกฝ่ายได้ ในที่สุดก็ใช้วิธีที่ค่อนข้างยุติธรรมนั่นก็คือ จับฉลาก

ศาลาเตรียมการตั้งกฎว่า ยอดเขาที่ถูกจับฉลากในครั้งนี้จะไม่ได้ร่วมจับฉลากในรอบหน้า

จนกว่าทุกยอดเขาจะได้ผลัดเปลี่ยนหมดสักรอบ

ตอนที่ทุกยอดเขาในสำนักกำลังตั้งตารอการจับฉลากสามโควตานี้อยู่

เจ้าสำนักกลับมาเดินเล่นในหอสรรพสิ่งเป็นการส่วนตัวอย่างกะทันหัน

และคุยกับหลี่ต้าจื่อรวมทั้งผู้อาวุโสอีกสองสามคนอย่างเป็นกันเองสักพัก

แล้ว ศาลาเตรียมการก็พิจารณาอย่างรอบคอบ

ให้กำหนดสถานที่แข่งขันกระดานสวรรค์ไว้ที่ยอดเขาหลักถาวร

การจับฉลากจะจับเฉพาะสถานที่แข่งขันกระดานดินและกระดานมนุษย์เท่านั้น

[เสน่ห์ของเจ้าสำนัก]

ตามที่หลี่ผิงอันคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งยอดเขาเมฆอรุณและยอดเขาสายหมอกที่ถูกเลือกแสดงความกระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

------เหล่าเซียนช่างรักหน้าตายิ่งนัก ยิ่งเป็นเซียนในสำนักใหญ่ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับชื่อเสียง

ศิษย์ระดับต่ำกว่าหยวนเซียนประมาณแปดส่วนสิบร่วมมือกับกลุ่มเตรียมงานในการจัดเตรียมสถานที่

พวกผู้ฝึกปราณบินไปบินมาและทุ่มเทอย่างว่องไว

ไม่ถึงครึ่งวันก็เตรียมสถานที่เสร็จเรียบร้อย

ดูจากการจัดงานของยอดเขาเมฆอรุณนี่แหละ

เวทีหินสี่เหลี่ยมกว้างยาวร้อยจั้งลอยอยู่กลางอากาศตรงครึ่งเขา

มีระเบียงทัศนียภาพหนึ่งที่ตั้งตามแนวภูเขา อีกสามด้านเป็นแท่นเมฆที่เซียนใช้อาคมปั้นขึ้น

ศิษย์เขตในและเขตนอกสองสามพันคน เซียนจากแต่ละยอดเขาหลายร้อยคน

และแขกผู้ทรงเกียรติจากสำนักมิตรเกือบร้อยคน รวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อชมการแข่งขัน

นี่เป็นเพียงการแข่งขันกระดานมนุษย์เท่านั้น ยอดเขาเมฆอรุณเองก็ไม่ค่อยมีจุดเด่นที่ดึงดูดใจ

สถานที่แข่งขันกระดานดินข้างยอดเขาสายหมอกนั้นใหญ่กว่าที่นี่เกินกว่าเท่าตัว!

พิจารณาจากสถานะพิเศษของยอดเขาสายหมอกในฐานะ 'ต้นสกุลของทุกยอดเขา'

และนางเซียนแห่งยอดเขาสายหมอกที่ร่วมมือกันทำ 'ของที่ระลึกผู้ชม' ออกมาหลายหมื่นชิ้น

คาดว่าเซียนที่จะมาชมการแข่งขันกระดานดินจะมีถึงพันคน ศิษย์ในสำนักจะมีสี่พันคนขึ้นไป

บางทีอาจถึงห้าหกพันคนก็ได้!

สถานการณ์เช่นนี้หาได้ยากยิ่งนักในสำนักว่านหยุนจงมาพันปีแล้ว!

บนแท่นประธานชั้นบนสุด นักพรตหยุนโม่

เจ้าสำนักแห่งสำนักว่านหยุนจงที่กำลังคุยและชมการแข่งขันอยู่กับเจ้าสำนักจากสำนักมิตรอีกไม่กี่คน

มุมปากกระตุกขึ้นไม่หยุด

เจ้าสำนักมองไปยังหยวนเซียนร่างท้วมคนหนึ่งที่กำลังขับเมฆวุ่นวายไปทั่ว ยิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ

แน่นอนว่าหลี่ผิงอันไม่สามารถได้ยินความคิดในใจของเจ้าสำนักในตอนนี้

สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงโต้เถียง เสียงพูดคุยหัวเราะรอบตัว

และเสียงประกาศของผู้ตัดสินเซียนอาวุโสเท่านั้น

"คู่ต่อไป! มนุษย์หมายเลข 35 ปะทะ มนุษย์หมายเลข 12! ศิษย์ขึ้นเวที!"

มาแล้ว

หลี่ผิงอันถอนหายใจเบาๆ เดินเร็วๆ ไปที่ข้างเวทีซึ่งมีโต๊ะหนังสือ ส่งป้ายหยกที่มีอักขระเขียนว่า

'มนุษย์ 12' ให้ผู้จัดการชราที่ยืนอยู่ตรงหน้า

แล้วหันหลังกระโดดขึ้นเวทีประลองที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ศัตรูคนแรกที่เขาเจอคือเด็กหญิงเซียนหน้าอ่อนเยาว์คนหนึ่ง นางอุ้มตะเกียงสมบัติ

ประสานมือคารวะหลี่ผิงอันอย่างงดงาม

ไม่มีทางเลือกอื่น เกณฑ์ของกระดานมนุษย์คือ 'ศิษย์ที่เข้าสำนักไม่เกินห้าปี'

หลี่ผิงอันเริ่มปฏิบัติธรรมตอนโตแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดสถานการณ์ให้คนแก่ไปตีเด็ก

หลี่ผิงอันใช้ยันต์อาคมเล็กน้อย

เอาชนะศิษย์พี่สาวที่ใกล้จะสร้างฐานได้อย่างง่ายดายโดยส่งนางออกนอกขอบเขตของเวที

เด็กสาวคนนั้นยื่นปากน้อยๆ แทบจะร้องไห้

หลี่ผิงอันอึดอัดใจ ก้มหัวประสานมือแล้วกล่าวว่า "ขอโทษด้วยขอรับ"

ศิษย์ทั้งสามด้านต่างหัวเราะอย่างอ่อนโยน หลี่ผิงอันรีบลงจากเวทีอย่างรวดเร็ว

รับป้ายหยกคืนแล้วกลับเข้าสู่แถวของศิษย์ที่ผ่านเข้ารอบการต่อสู้ในรอบต่อไป

การต่อสู้รอบแรกของกระดานมนุษย์ขาดความน่าตื่นเต้นไปสักหน่อย

แต่โชคดีที่ศิษย์ทุกคนได้ฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้ด้วยอาคมมาแล้ว พอมาต่อสู้จริงก็ทุ่มเทกันอย่างเต็มที่

สู้กันอย่างดุเดือด มีชีวิตชีวา

เส้นทางการแข่งขันของหลี่ผิงอันและมู่หนิงหนิงราบรื่นมาก

ผ่านไปสี่นัดติดต่อกัน ไม่มีใครสามารถทำให้หลี่ผิงอันใช้กลยุทธ์อื่นนอกจากยันต์อาคมได้เลย

มู่หนิงหนิงอาศัยเสาเยี่ยนตุ๋นเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สามคนอย่างง่ายดาย

จนกระทั่งเจอคู่ต่อสู้ระดับต้นขั้นบำเพ็ญสุญญตาในการต่อสู้นัดที่สี่ การต่อสู้เต็มไปด้วยอันตราย

ในท้ายที่สุดนางต้องใช้กระบวนท่ากระบี่แปลกประหลาดจากคนทั่วไปเพื่อเอาชนะอย่างหวุดหวิด

ครั้งนี้ มู่หนิงหนิงใช้ขั้นควบแน่นปราณเอาชนะขั้นบำเพ็ญสุญญตา ทำเอาเหล่าเซียนตาค้าง

สามอันดับแรกในกระดานมนุษย์มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองในกระดานดิน

มู่หนิงหนิงทุ่มสุดกำลัง ก็เพื่อจะกลับไปยอดเขาของตัวเอง โชว์อุปกรณ์วิเศษและอาคมที่ศิษย์พี่ให้

ต่อหน้าศิษย์พี่สาวทั้งหลายได้อย่างเต็มที่

ผ่านไปสี่นัดการต่อสู้ หลี่ผิงอันและมู่หนิงหนิงก็เข้าสู่แปดคนสุดท้ายในกระดานมนุษย์

จากนี้ไปอีกเพียงสามนัดก็จะตัดสินการจัดอันดับกระดานมนุษย์ได้แล้ว

นี่ก็เป็นสัญญาณว่าคู่ต่อสู้ต่อจากนี้ไม่ธรรมดา

ไม่ผิดไปจากที่คิดเลย คู่ต่อสู้ในนัดที่ห้าของหลี่ผิงอัน ทำให้เขาต้องใช้อาคมหอกเข้าสู้

เป็นนักพรตชายอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างกำยำ ผิวคล้ำแดด ลมปราณทั่วตัวปะทุไม่หยุด

แสดงพลังอันน่าเกรงขามของผู้อยู่ในขั้นต้นของการบำเพ็ญสุญญตา

ชายคนนี้ใช้ไม้ค้อนปราบมาร เหมือนเดินบนเส้นทางบำเพ็ญกายที่หาได้ยากยิ่ง

แม้แต่เสียงประกาศตัวของเขาก็ห้าวหาญดุดัน

"ยูอิ้งชู่ ยอดเขาเมฆอรุณ ขั้นบำเพ็ญสุญญตาชั้น 4!"

หลี่ผิงอันยิ้มพลางประสานมือ "หลี่ผิงอัน ศิษย์อาจารย์ชิงซุ่ย ขั้นควบแน่นปราณชั้น 5 ขอรับ"

"ข้ารู้จักเจ้า" ยูอิ้งชู่ยิ้มกว้าง "ก่อนหน้านี้ตอนที่อาจารย์ของเจ้ารับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าเห็นอยู่

เจ้ามีพื้นฐานค่อนข้างอ่อนจากสามปีที่ศาลาเมฆาพลบ ข้าให้เจ้าได้เปรียบแขนข้างหนึ่งดีไหม?"

"เชิญสหายออกหมัดเต็มที่เลยขอรับ" หลี่ผิงอันพูดอย่างจริงจัง "พวกเราแค่โจมตีกันเบาๆ

ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้นขอรับ"

"ฮ่าๆๆ! ดี! งั้นเจ้าก็หลบดีๆ ล่ะ!"

ยูอิ้งชู่ตะโกนเสียงดัง ร่างพุ่งสูงขึ้นไปหลายสิบจั้งประหนึ่งเสือดุ

ไม้ค้อนปราบมารในมือปล่อยแสงสีทองจ้า หูของหลี่ผิงอันแม้กระทั่งได้ยินเสียงสวดมนต์

วิชาต่อสู้ทางกายผสมผสานกับอาคมปราบมารของสำนักตะวันตก?

หลี่ผิงอันรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาหลบหลีก ไม่อย่างนั้นเขาจะโดนคู่ต่อสู้จู่โจมอย่างรุนแรง มือซ้ายกำหลวมๆ

ย่อเข่ากระโดด มือขวาพลันห้าแสงระยิบระยับพุ่งออกมา กลายเป็นหอกสีขาวเงิน

ร่างพุ่งสูงขึ้นประหนึ่งมังกรโผล่พ้นน้ำ ปลายหอกเล็งตรงไปที่ไหล่ของยูอิ้งชู่!

"มาดีนัก!"

ยูอิ้งชู่ร่างกายล้อมรอบด้วยแสงสีทองเจิดจ้า ยกไม้ค้อนปราบมารขึ้นฟาดลงมา

ท่าทางดูเหมือนตรงไปตรงมาแต่แฝงไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงนานับประการ

หลี่ผิงอันเข้าใจ เขาเพียงแค่หลบเล็กน้อย คู่ต่อสู้ก็จะแย่งจังหวะได้ก่อนและครอบงำบรรยากาศไป

ทำให้อีกฝ่ายได้ปลดปล่อยพลังเต็มที่

ในการสู้กับนักพรตแบบนี้ ต่อให้อีกฝ่ายมีระดับการฝึกฝนสูงกว่าตัวเองมาก ก็ต้องตัดทอน 'พลัง'

ของอีกฝ่ายให้ได้ก่อน!

ดังนั้น หลี่ผิงอันจับหอกสองมือ ร่างโอนเอนไปมา ลมปราณพวยพุ่งทั่วกาย

ปลายหอกเปล่งประกายเย็นยะเยือก

กึ๊ก!

เสียงอาวุธปะทะดังก้องไปทั่วหุบเขา วงกระเพื่อมแรงกระแทกแผ่ออกไปรอบทิศ

ยูอิ้งชู่ร่างกายเอนไปด้านหลัง ส่วนหลี่ผิงอันร่างพุ่งลงพื้นราวกับลูกศร

หลี่ต้าจื่อที่กำลังชมการแข่งขันนอกเวทีรู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ลุกขึ้นมองไปยังร่างในสนามอย่างใส่ใจ

ยูอิ้งชู่ปรับตำแหน่งตัวเองแล้วบินพุ่งลงมาทันที

ก่อนที่ร่างของหลี่ผิงอันจะร่วงถึงพื้น กลับหมุนตัวทันควัน

กลายเป็นใบไม้ที่ปลิวไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดออกเป็นภาพมายาเป็นหมอกควันสามภาพ

แล้วเวทีก็มีหมอกควันลอยคลุ้ง

เทคนิคเซียนของสำนักว่านหยุนจง: ร่างลวงเสริมหมอก!

เซียนสำนักว่านหยุนจงที่อยู่นอกสนามหลายคนตาสว่างวาบ

เหล่าเซียนส่วนใหญ่รู้ว่าเทคนิคเซียนนี้ซับซ้อนเหลือเกิน การฝึกฝนต้องอาศัยปัญญาอันสูงส่ง

แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า พวกเขาจะได้เห็นการใช้งานจากศิษย์ขั้นควบแน่นปราณ

ยูอิ้งชู่พุ่งผ่านตัวเปล่า หมุนหลังกลับเตรียมหลบหนี แต่หมอกควันรอบตัวก็ปกคลุมหนาแน่นแล้ว

อาคมภาพหอกสามชุดส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้ามา บังคับให้เขาต้องออกหมัดซ้ายขวาสลับกัน

ชายคนนี้รับมือได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่เสื้อคลุมขาดยาวจากอาคมหอกเท่านั้น

และตัดสินว่าเขาไม่สามารถต้านทานอาคมหอกของหลี่ผิงอันได้ ร่างจึงพุ่งขึ้นฟ้าในทันที

เตรียมจะหลบหนี

สองภาพมายาพุ่งออกมาจากด้านซ้ายขวา หอกสมบัติวิเศษสีเงินวาววับสองเล่มกระแทกลงมา!

ยูอิ้งชู่ใช้ไม้ค้อนปราบมารกวาดไปทางซ้าย เปลี่ยนภาพลวงตาให้กลายเป็นหมอกควัน

แต่อีกเล่มหอกยาวกระแทกหลังยูอิ้งชู่อย่างจัง ฟาดเขาร่วงจากอากาศ ตกลงในอาคมหมอก!

เสียงหวีดหวิวดังอีกครั้งข้างหูของยูอิ้งชู่ เงาหอกอีกระลอกพุ่งเข้าใส่เขาจากสี่ทิศแปดทาง

อานุภาพของอาคมหอกเหล่านี้ เทียบกับเทคนิคกระบี่ในระดับเดียวกัน ก็ไม่ด้อยไปกว่าเลย!

ยูอิ้งชู่มีทั้งกำลังแต่ไม่มีโอกาสใช้ ได้แต่หลบหลีกไปมาในหมอกควัน

สถานการณ์ตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อภาพหอกที่บินมาถูกทำลาย หมอกควันรอบตัวยูอิ้งชู่ยิ่งหนาแน่นขึ้น

หมอกควันเหล่านี้ไม่เพียงแค่ขัดขวางญาณทัศนะของเขาเท่านั้น แต่ยังมีเสียงเพลงดังขึ้นเป็นระยะๆ

ทำให้ยูอิ้งชู่ยากที่จะตั้งสมาธิ

อาคมหอก เทคนิคภาพลวงตา ยันต์อาคม

หลี่ผิงอันปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามคำของอาจารย์ เขาใช้เพียงสามศาสตร์นี้เท่านั้น

ส่วนที่ตัวอาคมหอกของเขาผสมผสานเทคนิคกระบี่ วิชาคุมเมฆ อาคมลวงตา เทคนิคร่างกายอื่นๆ

นั่นก็ไม่ถือว่าขัดแย้งกับคำสัญญาที่มีต่ออาจารย์

หลังจากภาพหอกระเบิดบ้าคลั่งไปสักพัก

"ข้ายอมแพ้!"

ยูอิ้งชู่พูดพลางหอบหายใจ เสื้อคลุมขาดวิ่นเป็นชิ้นๆ มือใหญ่ที่กำไม้ค้อนปราบมารสั่นระริก

บนตัวเขาไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงรอยขีดข่วนตื้นๆ สิบกว่ารอย

นี่ไม่ใช่เพราะร่างเต๋าของเขาแข็งแกร่งดั่งแร่ธาตุ แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่ผิงอันไว้มือ

ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บจริงๆ

สายลมเย็นพัดผ่านมา หมอกควันบนเวทีก็จางหายไปในทันที

ร่างของหลี่ผิงอันปรากฏที่มุมหนึ่ง ประสานมือคารวะยูอิ้งชู่

เสื้อคลุมของเขาแทบไม่มีรอยยับเลยแม้แต่นิดเดียว

"ขอบคุณที่เกรงใจขอรับ"

"อาคมของท่าน! เก่งจริงๆ ! ฮ่าๆๆ ! ทั้งยอมรับในใจและปาก!"

ยูอิ้งชู่หัวเราะเสียงดังก้อง

"ก่อนหน้านี้ข้าได้นัดกับศิษย์พี่ศิษย์น้องสนิทสองสามคนไว้ว่าจะไปสู้กับพวกเขาในกระดานดิน

พวกเขาคิดมาหลายวันว่าจะเอาชนะไม้ค้อนปราบมารของข้าอย่างไร

ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายคนที่จะไปหาพวกเขาจะเป็นทวนเสริมหมอก!"

หลี่ผิงอันยิ้ม "ขอบคุณศิษย์พี่ที่ให้ชื่อ หลังจากนี้อาคมหอกของข้า ก็จะใช้ชื่อว่า ทวนเสริมหมอก"

ยูอิ้งชู่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ประสานมือคารวะหลี่ผิงอัน

แล้วหันหลังกระโดดลงจากเวที

จากนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้น

"ผู้ชนะ หลี่ผิงอัน ศิษย์ของอาจารย์ชิงซุ่ย!"

ข้างสนาม มู่หนิงหนิงชูนิ้วโป้งอย่างดีใจ แล้วก็กำหมัดเล็กๆ

พร้อมทั้งฝึกซ้อมเพื่อการต่อสู้ในรอบต่อไปอย่างจริงจัง

...

มุมบนแท่นประธาน

หลี่ต้าจื่อยิ้มกว้างแบบที่เรียกว่ารอยยิ้มกระจ่างฟ้า

ผู้อาวุโสและผู้จัดการรอบตัวเขาชมเชยหลี่ผิงอันไม่ขาดปาก

"ศิษย์ผู้น้องหลี่ผิงอันมีความสามารถขนาดนี้เชียว!"

"ขั้นควบแน่นปราณสามารถโจมตีกลับเอาชนะขั้นบำเพ็ญสุญญตาได้

และยังชนะได้อย่างง่ายดายไม่ยากเย็นเช่นนี้ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!"

"นิสัยใจคอไม่หยิ่งผยองและไม่ประมาทของหลี่ผิงอันต่างหากที่น่าชื่นชมที่สุด!"

"เอาล่ะ!"

หลี่ต้าจื่อพูดยิ้มๆ

"ท่านทั้งหลายอย่าชมกันมากนัก อย่าชมกันมากนัก หลี่ผิงอันเขาเป็นเด็กดี

พรสวรรค์ของผิงอันไม่ค่อยดีนัก แต่เขาตั้งใจเพียรพยายามเรียนอยู่เสมอ

แม้กระทั่งพ่อของเขายังรู้สึกอายที่จะเทียบ"

บรรดาผู้อาวุโสก็ชมเชยกันขึ้นมาอีกรอบ หลี่ต้าจื่อรู้สึกปิติยินดีเต็มอกเต็มใจ

ขณะที่กำลังคุยอยู่ หลี่ต้าจื่อรู้สึกถึงญาณเซียนที่กำลังมองมาทางเขา

จึงเงยหน้าขึ้นสบตากับนักพรตสาวงามท่านหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

สายตาของเซียนนั้นแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดามาก

ที่สบตากับหลี่ต้าจื่อพอดีคือเซียวเยว่ ผู้อาวุโสเซียวที่เพิ่งกลับมาเมื่อวานเพื่อมาชมการแข่งขัน

วันนี้เซียวเยว่แต่งกายเรียบง่ายกว่าเมื่อก่อน

ไม่ได้ใส่ชุดกระโปรงยาวที่เนื้อผ้าเยอะแยะแต่ปกป้องอะไรไม่ได้เลย

สวมเพียงชุดคลุมสีม่วงอ่อนธรรมดาๆ ประกอบกับสินทรัพย์อันน่าประทับใจของนางเอง ใบหน้างดงาม

ท่าทางชวนให้หลงใหลและเย้ายวน ทำให้นักพรตชายหนุ่มหลายคนแอบมองอยู่ในใจ

ตอนนี้นางจ้องมองหลี่ต้าจื่อ สายตาเต็มไปด้วยความขบขัน

หลี่ต้าจื่อแม้จะงุนงงอยู่บ้างในใจ แต่ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและอ่อนโยนตามความเคยชิน

ก่อนจะประสานมือคารวะเซียวเยว่

เซียวเยว่โค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นหันไปมองที่เวที

หลี่ต้าจื่อคิดในใจ 'แปลกจัง ผู้อาวุโสเซียวมองข้าทำไมนะ?

หรือฝ่ายรองเจ้าสำนักโม่อี้กำลังจะทำอะไรไม่ดี?'

เซียวเยว่ครุ่นคิดอยู่ในใจ 'อย่างไรกัน ชายผู้นี้เกิดหลงรักข้าผู้อาวุโสขึ้นมาหรือไร?

เขามีบุญวาสนาใหญ่หลวงและยังเป็นศิษย์จินเซียนเหมือนกัน

ถึงแม้อาจารย์ของข้าจะเป็นศิษย์ของอาจารย์บรรพบุรุษคงหมิง แต่ก็ยังพอขบคิดอย่างลึกซึ้งได้อยู่... เอาเถอะ

ตอนนี้ก็ไม่ควรสนิทสนมกับเขามากนัก เฮ้อ เรื่องนี้วุ่นวายจริงๆ '

"ไชโย!"

เสียงเชียร์ดังขึ้นรอบข้าง แล้วตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่ง

บนเวที เสาเยี่ยนตุ๋นของมู่หนิงหนิงหยุดนิ่ง นักพรตหญิงขั้นควบแน่นปราณระดับปลายอีกคนถอนหายใจ

ประสานมือคารวะมู่หนิงหนิงแล้วถอยออกจากเวทีอย่างเศร้าสร้อย

มู่หนิงหนิงตอนนี้ก็เหงื่อท่วมกาย กำลังมองหาร่างของหลี่ผิงอัน พอเห็นเขาก็ยิ้มบางให้

ระดับการฝึกธรรมของนางยังต่ำไปหน่อยจริงๆ

การต่อสู้จนถึงแปดคนสุดท้ายในกระดานมนุษย์ก็เหนื่อยล้ามากแล้ว

อย่างไรก็ตาม นัดต่อไปถ้านางไม่เจอหลี่ผิงอัน

ก็จะติดสามอันดับแรกในกระดานมนุษย์และได้กลับไปที่ยอดเขาสายหมอกเพื่อแข่งกับศิษย์กระดานดินต่อ

สำหรับจุดนี้ หลี่ต้าจื่อก็มีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว

เวยเหยียนจื้อมาถึงที่นั่งกรรมการตัดสินอย่างทันท่วงที เขาแบ่งชื่อศิษย์ทั้งสี่คนออกอย่างง่ายดาย

หาคู่ต่อสู้ให้กับหลี่ผิงอันและมู่หนิงหนิงได้พอดี

เหตุผลของเวยเหยียนจื้อก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล

"ศิษย์ขั้นควบแน่นปราณทั้งสองคนมาถึงขั้นนี้ได้ไม่ง่ายเลย การใช้สิ่งที่ด้อยกว่าเอาชนะสิ่งที่เหนือกว่า

ทุกคนชอบดู แค่มาดูว่าพวกเขาจะสร้างเรื่องราวดีๆ ได้หรือไม่"

ผู้อาวุโสไม่กี่คนพยักหน้ายิ้มๆ ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กับเรื่องนี้

ครึ่งชั่วยามต่อมา

หลี่ผิงอันและมู่หนิงหนิงที่ต่างเอาชนะคู่ต่อสู้ในรอบต่อไปได้ ปรากฏตัวอยู่ซ้ายขวาของเวที

หลี่ผิงอันหันไปยิ้มให้มู่หนิงหนิง ตั้งใจจะยอมแพ้อย่างแน่นอน

อันดับหนึ่งสองในกระดานมนุษย์ต่างกันแค่หินวิญญาณไม่กี่ก้อน

การปล่อยให้นางมีความสุขสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

"ศิษย์น้องหญิง นัดนี้..."

"เอ๊ะ เอ๊ะๆ"

มู่หนิงหนิงกลับทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างกะทันหัน ดวงตาเป็นประกายระยับ

มือกุมหน้าอกก้มหน้าลงพ่นเลือดเล็กน้อย เหมือนตัวละครในนิยายโบราณถ่ายทอดวิญญาณมาเฉยๆ

นางพูดอย่างอ่อนแอว่า

"แย่แล้ว เมื่อกี้ฝืนตัวเกินไป กลับทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บภายใน จะทำยังไงดีล่ะทีนี้

สมบัติพวกนี้ล้วนเป็นของที่ศิษย์พี่ให้ข้ามา ถึงจะยอมแพ้ก็ไม่เป็นไร อยู่แล้วข้าก็สู้เขาไม่ได้หรอก

ข้ายอมแพ้เจ้าค่ะ เอ่อ ไอ ไอๆ ศิษย์พี่รีบมาพยุงข้าทีสิเจ้าคะ"

หลี่ผิงอันหางตากระตุกเล็กน้อย สภาพอ่อนแอของมู่หนิงหนิงกลอกตาใส่เขา ข้างๆ

ก็มีศิษย์พี่สาวที่นัดกันไว้ช่วยประคองแล้ว บนเวทีเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของสาวน้อยนักพรต

เหล่าเซียนต่างพากันยิ้มกันไป เซียนผู้ชอบสนุกก็เริ่มคุยกันเรื่องหนุ่มสาวของศิษย์รุ่นเยาว์ๆ

หลี่ผิงอัน ด้วยอันดับหนึ่งของกระดานมนุษย์ ฝ่าเข้าสู่การแข่งขันกระดานดิน!

ด้านนอกสนาม มือใหญ่ค่อยๆ ลดลง ลูบไปที่ไหล่ของหลี่ต้าจื่อที่กำลังยิ้มอย่างเป็นพ่อที่น่าเคารพ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด