บทที่ 204 สำนักเจ้า ไม่เคยอยู่ในสายตาข้า
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเทพพิสุทธิ์ที่อยู่เบื้องหลัง ต่างผงะกันไปตามๆ กันครั้นประสบท่าทีมิให้เกียรติเช่นนั้น จึงรีบกล่าวตักเตือนเขาในทันที
“ไฉนท่านชวนสาวน้อยร่วมดื่มสุราเล่า รู้หรือไม่ท่านจะทำให้นางกลัว”
อย่างไรก็ตาม เฉินหานซ่งยังคงไม่สนใจคำเตือน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สุราของข้าเป็นสุราชั้นเลิศ บ่มด้วยผลวานรอายุร้อยปี แต่งกลิ่นด้วยมวนบุปผา และเสริมรสชาติด้วยผลไม้หายากที่สุดจากภูเขาฮัวกั่ว อีกทั้งยังมีการเติมสมุนไพรล้ำค่าไปมากมาย”
“หลังดื่มมันแล้ว เจ้าจะรับรู้ได้ในทันที ว่ามันมิเพียงให้ความรื่นเริงเท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มอายุขัยเจ้าได้อีกด้วย”
“อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนจากผมขาวให้กลับเป็นดำ”
“และสามารถเปลี่ยนจากชายชราให้กลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง”
หลังเฉินหานซ่งกล่าวจบ เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดสำนักเทพพิสุทธิ์ ต่างเหลือบมองยังศีรษะเฉินหานซ่ง ซึ่งบนศีรษะเขา ตรงกลางไม่มีผมเกิดแม้เพียงเส้นเดียว มีเพียงผมขาวอยู่รอบข้าง แต่ทว่า ยังมีปอยผมสีดำคาดผ่านกลางหนังศีรษะอันโล่งเตียนตรงกลาง หากนำปอยผมนี้มานับ จะพบว่ามีไม่ถึงสิบเส้นด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของเฉินหานซ่ง กลับทำให้หยางหลิงเอ๋อร์รู้สึกขบขัน หัวเราะออกมาเสียงคิดคักน่าเอ็นดู
ครั้นเฉินหานซ่งเห็นหยางหลิงเอ๋อร์หัวเราะ เขาจึงเผยยิ้มทันทีพร้อมกล่าวเข้าข้างตน “แฮ่ แฮ่ นั่นอย่างไรเล่า แม่สาวน้อยหัวเราะคิกคัก ชื่นชอบในอารมณ์ขันเจ้าสำนักเช่นข้า”
“สาวน้อย หากเจ้าเข้าร่วมกับสำนักเทพพิสุทธิ์ของเรา เจ้าจะได้ฝึกฝนอย่างสนุกสนาน มิมีเคร่งเครียด ทั้งยังมีสุราชั้นยอดให้ร่ำอยู่ตลอดปี อีกทั้งท่านบรรพบุรุษสำนักเทพพิสุทธิ์ได้ให้สัญญาว่า หากเจ้าฝึกฝนจนบรรลุระดับเทพ ตำแหน่งเจ้าสำนักจะเป็นของเจ้า”
เมื่อจิ่วอู๋ จางเฮ่าหลินรวมทั้งคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าพวกเขาก็ผันเปลี่ยนไป
พวกเขามิคาดคิดเลยว่า สำนักเทพพิสุทธิ์ จะกล้าเสนอให้คำมั่นสัญญาตำแหน่งเจ้าสำนัก เพื่อชักจูงหยางหลิงเอ๋อร์ยอมเข้าร่วม
ดวงตาหยางหลิงเอ๋อร์เป็นประกาย ครั้นได้ยินว่าการฝึกฝนนั้นสนุกสนานไม่เคร่งเครียด ครั้งนี้ นางจึงเปิดปากกล่าวถึงข้อเสนอที่นางต้องการบ้างว่า
“หากพวกท่านต้องการให้ข้าเข้าร่วมสำนักของพวกท่าน ก็ต้องยอมรับพี่ชายข้าเข้าร่วมเช่นกัน เพราะข้า จะฝึกฝนกับพี่ชายของข้าเท่านั้น”
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ สายตาพวกเขาทุกคู่จึงหันเหลียวมองไปทางหยางเสี่ยวเทียน จากนั้นผู้ที่มาจากสำนักต่างๆ ก็พลันขมวดคิ้ว
ไม่เพียงแต่ตรวจสอบหยางหลิงเอ๋อร์เท่านั้น พวกเขายังตรวจสอบพรสวรรค์ของหยางเสี่ยวเทียน เช่นกัน จึงได้รู้ว่าเขามีวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงระดับสิบเอ็ด แต่เมื่อเทียบกับหยางหลิงเอ๋อร์แล้ว พรสวรรค์เช่นนี้เรียกได้ว่าต้อยต่ำมาก
วิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงระดับสิบเอ็ด ไม่มีค่าคู่ควรที่จะเข้าร่วมกับสิบสำนักชั้นยอดของอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์
ในเวลานี้ หลันอี้ที่อยู่ด้านหลังจิ่วอู๋ ก็เหยียดยิ้มและพลางกล่าวเยาะเย้ยขึ้น “เจ้าต้องการให้พวกเรารับพี่ชายเจ้าเข้าสำนักกระนั้นหรือ ก็จริงที่พรสวรรค์ของพี่ชายเจ้าดีในอาณาจักรเทียนโต้วแห่งนี้ แต่สำหรับสิบสำนักชั้นยอดนั้น เขาก็มีต่างอะไรจากวิญญาจารย์ธรรมดาสามัญทั่วไป”
สิ้นวาจา แสงสว่างก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมทั่วกายเขา ทันใดนั้น ก็ปรากฏวิญญาณยุทธ์ขึ้นมาเหนือศีรษะเขา ตัวมันมีเศียรเป็นมังกร ร่างถูกห่อหุ้มด้วยกระดองเต่า เท้าของมันแต่ละข้างมีกรงเล็บอันแหลมคมขนาดใหญ่
ทันทีที่วิญญาณยุทธ์นี้ถูกปลดปล่อยออกมา ผู้คนทั้งเมืองเสินเจี้ยนก็รับรู้ได้ถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ และแรงกดดันอันมหาศาล
“ป้าเซี่ย!” อูฉีด้านหลังหยางเสี่ยวเทียนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงทุ้ม
ตามตำนานโบราณนั้น มังกรให้กำเนิดบุตรออกมาเก้าตน ซึ่งป้าเซี่ย เป็นหนึ่งในบุตรชายทั้งเก้าตนนั้น
หลันอี้เหลือบมองอูฉี และกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ ป้าเซี่ย หนึ่งในวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงระดับสิบสาม”
จากนั้นเขาก็มองไปยังหยางเสี่ยวเทียนด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “วิญญาณยุทธ์คู่ระดับสิบเอ็ดของเจ้า คืออันดับหนึ่งในสำนักเสินเจี้ยนเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับบรรดาศิษษย์น้องในสำนักข้า ถือว่าเป็นเรื่องปกติ”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็เผยฝ่ามือออก ก่อนปลดปล่อยเปลวไฟสีน้ำเงินแปลกๆ พุ่งขึ้นมาล่องลอยบนฝ่ามือ
“เปลวไฟดอกบัวคราม!” อูฉีอุทานอย่างประหลาดใจ
“ใช่ เปลวไฟดอกบัวคราม” หลันอี้กล่าวต่ออย่างภาคภูมิ “สิบอันดับแรกของไฟประหลาด”
จากนั้นหันกล่าวกับหยางเสี่ยวเทียนเช่นเดิม “ข้ารู้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถ แต่เมื่อไม่มีหนึ่งในไฟประหลาดสิบอันดับแรกเช่นข้า ชั่วทั้งชีวิต เจ้าก็ไม่มีวันหลอมโอสถระดับนิรันดร์ได้”
“นักปรุงโอสถ ที่ไม่สามารถหลอมโอสถระดับนิรันดร์ได้ ก็เป็นเพียงคนธรรมดาในสำนักกระบี่มังกรเร้นลับเราเท่านั้น”
หยางเสี่ยวเทียนเพียงเหลือบมองเปลวไฟดอกบัวครามอันภาคภูมิใจของอีกฝ่าย แต่สีหน้าแลการแสดงท่าทีเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
“เช่นนั้นหรือ”
แม้เปลวไฟดอกบัวคราม จะเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของบรรดาไฟประหลาดทั้งหลาย แต่มันก็เพียงอันดับสิบเท่านั้น ซึ่งยังนับว่าด้อยกว่าเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณของเขาอยู่มากนัก ยิ่งถ้ามันไปอยู่ในมือของพวกที่มีดีแค่ปากแล้ว มันก็ยิ่งไม่มีค่า
“เช่นนั้น ข้าต้องขออภัย หากเจ้าต้องการเข้าร่วมหนึ่งในสิบอันดับแรกเช่นสำนักเราแล้ว เจ้าต้องผ่านการทดสอบ ซึ่งจะจัดประเมินในทุกๆ สิบปีเท่านั้น” หลันอี้มองหยางเสี่ยวเทียนพร้อมส่ายศรีษะ
“แม้น้องสาวเจ้าจะมีวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับสิบสี่ แต่เราไม่สามารถละข้อยกเว้นให้แก่เจ้า เพื่อนางได้”
“แม้แต่เหล่าบรรพบุรุษแลลูกหลานเราหลายคน ที่ต้องการเข้าร่วมหนึ่งในสิบสำนักสุดยอดของเรา พวกเขาก็ต้องผ่านการประเมินทุกๆ สิบปีเช่นกัน”
ครั้นหยางหลิงเอ๋อร์เห็นท่าทีเย่อหยิ่งที่อีกฝ่ายแสดงต่อพี่ใหญ่นาง นางเผยปากกล่าวก่อนหยางเสี่ยวเทียนจะเอ่ยแทรก
“อย่าได้กังวล หากข้าต้องการเข้าร่วมหนึ่งในสำนักชั้นยอดเช่นของพวกเจ้า ข้าจะใช้ความพยายามของข้าเอง”
“ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ใด”
“และอีกอย่าง สำนักกระบี่มังกรเร้นลับของเจ้า ไม่เคยอยู่ในสายตาข้าเลยแม้แต่น้อย” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำคำเรียบเฉย