บทที่ 203 สำนักเทพมังกรบริสุทธิ์
ขณะคนจากสำนักกระบี่มังกรเร้นลับใคร่หาวิธีชักจูงหยางหลิงเอ๋อร์ด้วยกำลังอยู่นั้น จู่ๆ สุ้มเสียงเยาะเย้ยจากคนอีกผู้ก็ดังแทรกขึ้น
“สำนักกระบี่มังกรเร้นลับ สาวน้อยผู้นี้ปฏิเสธจะไปกับพวกเจ้า ไฉนพวกเจ้ายังต้องการบังคับขื่นใจนางอยู่อีกเล่า”
“ยามใดกันหนอ ที่สำนักกระบี่มังกรเร้นลับ กลายเป็นพวกนิสัยคล้ายดั่งโจรร้ายเช่นนี้”
แม้นตัวผู้กล่าวจะมิยังปรากฏ แต่น้ำเสียงอันก้องกังวาน กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำหยามหมิ่นแลเสียดสี ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
ครั้นทุกคนมองหาต้นเสียง ก็พบว่าบนห้วงนภาอากาศนั้น มีคนอีกหลายร่างกำลังเหินมุ่งเข้ามา เพียงแค่ไม่กี่อึดใจพวกเขาก็บรรลุถึงจวนของหยางเสี่ยวเทียนแล้วในขณะนี้
เมื่อจิ่วอู๋แห่งสำนักกระบี่มังกรเร้นลับประสบพบว่าผู้ใดมา สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนลงทันที
กลุ่มคนที่เพิ่งถึงนั้นหาใช่ผู้ใดอื่น แต่เป็นเหล่าวิญญาจารย์แห่งสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์ ศัตรูคู่อาฆาตแลคู่แข่งของสำนักกระบี่มังกรเร้นลับอยู่ชั่วนาตาปี ผู้นำคือชายชราผมเงินนามจางเฮ่าหลิน มีฐานะเป็นเจ้าสำนักประจำสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์
จางเฮ่าหลินผู้มีผมเงินพริ้วไสว ใบหน้าแดงก่ำราวดอกเหมยหลิน ท่าทางดูสง่าผ่าเผยแลเคร่งขรึม เขาไม่แสดงทีท่าแยแสจิ่วอู๋และหลันอี้แม้แต่น้อย สายตาเขาขณะนี้ จับจ้องไปยังหยางหลิงเอ๋อร์ก่อนแย้มยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าใช่สาวน้อยหยางหลิงเอ๋อร์งั้นหรือ ดูท่าทางช่างฉลาดและกิริยามารยาทเรียบร้อยน่าเอ็นดูเสียจริง”
จากนั้นกล่าว น้ำเสียงอ่อนโยนอีกว่า “ข้ามีนามว่าจางเฮ่าหลิน เป็นเจ้าสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์ ที่พวกเรามาในวันนี้ เพื่อเชื้อเชิญเจ้าเข้าร่วมสำนักอย่างจริงใจ”
ครั้นเห็นว่าหยางหลิงเอ๋อร์ ยังหลบอยู่หลังของชายหนุ่ม มิปริปากหรือแสดงทีท่าแต่อย่างใด ในหัวเขาก็พลันนึกเรื่องหนึ่งได้ทันที
จางเฮ่าหลินโค้งมุมปากยิ้มกล่าวว่า “สำนักเทพมังกรบริสุทธิ์ของเรา มีอาหารและขนมสุดแสนอร่อยมากมาย ทั้งที่นั่น ยังมีเพื่อนเล่นรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าอีกด้วย เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาแต่อย่างใดเลยแม่สาวน้อย”
เห็นได้ชัดว่าจางเฮ่าหลินผู้นี้ เสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับหยางหลิงเอ๋อร์ไว้เป็นอย่างดี รวมถึงสิ่งที่นางชอบเป็นพิเศษ ซึ่งก่อนจะรุดหน้ามายังที่นี่ เขาก็ได้รู้แล้วว่าหยางหลิงเอ๋อร์นั้น ชมชอบในอาหารและขนมสุดแสนอร่อย
แน่นอนว่าวาจาโน้มน้าวของจางเฮ่าหลินนั้นเป็นผล เพราะตอนนี้หยางหลิงเอ๋อร์ถึงกับชะเง้อหน้ายื่นออกมามองเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม นางยังคงส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่อยากไปสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์ ข้าอยากฝึกฝนกับพี่ชายของข้า และอยู่กับท่านพ่อท่านแม่”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จางเฮ่าหลินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ “เจ้าอยากฝึกฝนกับพี่ชายของเจ้ากระนั้นหรือ เขาเป็นเพียงผู้มีวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงระดับสิบเอ็ด”
จากนั้นกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น “แม้พรสวรรค์พี่ชายเจ้าจะมิใช่แย่ แต่เขานั้นมิอาจฝึกฝนให้เจ้าไปถึงขั้นสูงสุดได้ ที่สำคัญอัจฉริยะของสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์เรา ล้วนแล้วแต่มีความสามารถเหนือกว่าเขาทั้งสิ้น!”
ครั้นหยางหลิงเอ๋อร์ได้ฟังวาจาจากชายชราผมเงิน ที่กล่าวว่าอัจฉริยะจากสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์ นั้นแข็งแกร่งกว่าพี่ชายนาง นางจึงมุ่ยหน้าแสดงทีท่าไม่พอใจในทันที
จางเฮ่าหลินกลับยิ่งยิ้มกว้าง ครั้นเห็นอากัปกิริยาน่าเอ็นดูของสาวน้อยหยางหลิงเอ๋อร์ เขาเอียงศีรษะมองไปทางหยางเฉาและหวงอิ๋ง
จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทั้งสอง ใช่บิดามารดาของหลิงเอ๋อร์หรือไม่ ข้าสามารถกล่าวได้เลยว่าพรสวรรค์ของหลิงเอ๋อร์นั้น หาได้ยากในรอบหลายพันปี”
“ด้วยความสามารถเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าต้องหวังให้นางเป็นวิญญาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตแน่นอน ซึ่งสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์เรานั้น เป็นหนึ่งในสำนักมหาอำนาจของอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์”
“หากหลิงเอ๋อร์เข้าร่วมกับสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์ของเรา ทางสำนักเราจะพยายามสุดความสามารถ ทุ่มทรัพยากรทุกสิ่งอย่างให้นางแน่นอน”
“เมื่อถึงตอนนั้น หากนางตั้งใจฝึกฝนยังสำนักเราอย่างเต็มที่ ข้าเชื่อว่านางจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้อย่างไม่ต้องสงสัย”
แม้นได้ฟังวาจาโน้มน้าวของชายชราผมเงิน หยางเฉาและหวงอิ๋งยังคงนิ่งเงียบมิเอ่ยปากแต่อย่างใด
ก่อนหน้า ทั้งสองคนก็เคยขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน
พวกเขารู้ดีว่า หากหยางหลิงเอ๋อร์ได้เข้าร่วมกับสำนักชั้นยอดเช่นสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์ มันย่อมเป็นผลดีต่อความก้าวหน้าของหยางหลิงเอ๋อร์แน่นอน
ในขณะที่ทั้งสองกำลังขบคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็พลันมีเสียงหัวเราะอันสุขสำราญดังมาจากอีกฟากฝั่งของเวหา
“ฮ่า ฮ่า ทุกคนมากันเร็วมาก ดูท่าแล้วสำนักเทพพิสุทธิ์ของเราคงมาช้าไปหนึ่งก้าว”
สำนักเทพพิสุทธิ์ ก็เช่นเดียวกับสำนักเทพมังกรบริสุทธิ์และสำนักกระบี่มังกรเร้นลับ ที่เป็นหนึ่งในสิบสำนักชั้นยอดแห่งอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์
เสียงหัวเราะนั้นหาใช่มาจากผู้ใดอื่น แต่เป็นของเฉินหานซ่ง เจ้าสำนักของสำนักเทพพิสุทธิ์ และผู้ที่ตามมาเบื้องหลังคือเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดประจำสำนัก
เฉินหานซ่งสวมอาภรณ์ขาวมีน้ำเต้าสุราเหน็บติดข้างเอว ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูไม่เรียบร้อยนัก พร้อมกับใบหน้าสีแดงที่แสดงออกถึงความมึนเมาในสุราเล็กน้อย
แม้นเขาจะมีท่าทีเช่นนั้น แต่ทั้งจางเฮ่าหลินและจิ่วอู๋ กลับมิกล้ามีอากัปกิริยาที่แสดงออกถึงความดูหมิ่นต่อเฉินหานซ่ง ด้วยพวกเขารู้ดีว่าชายขี้เมาผู้นี้มีฝีมือลึกล้ำยิ่งนัก
หลังเฉินหานซ่งมาถึง เขาก็มิได้กล่าวทักทายจางเฮ่าหลินหรือจิ่วอู๋ แต่หันไปยิ้มให้กับหยางหลิงเอ๋อร์แล้วกล่าวว่า
“สวัสดีแม่สาวน้อย”
ยังมิทันกล่าวสิ่งใดเพิ่ม เขาก็คว้าน้ำเต้าสุราออกมาจากเอวแล้วยกขึ้นจิบอึกใหญ่ จากนั้นถาม หยางหลิงเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแดงก่ำ
“อ่าาา พวกเรามาจากสำนักเทพพิสุทธิ์ แม่สาวน้อย เจ้าสนใจร่วมดื่มกับข้าหรือไม่ แฮ่ แฮ่”
คำแรกที่ได้ยินนั้น หยางหลิงเอ๋อร์คิดว่าคงได้ยินเขาชักชวนเข้าร่วมสำนัก แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะชวนนางร่ำสุราเช่นนี้