ตอนที่ 57 ผู้อาวุโสซุน
ตอนที่ 57 ผู้อาวุโสซุน
ปัจจุบันหลักฐานได้เป็นที่ประจักษ์ การปฏิเสธหรือหาทางกลบเกลื่อนไม่ใช่ทางออก
ทางที่ดีคือยอมรับออกไปตามตรง
“เจ้าคิดหรือว่าจะมีใครเชื่อวาจาอันไร้สาระเหล่านี้?” เจิ้งอี้แค่นเสียงเย้ยหยัน เพราะเขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย กระทั่งชี้ดัชนีกระบี่ด้วยมือข้างซ้าย ลำแสงสว่างวูบไหว ประกายกระบี่อันคมกล้าพุ่งทะยานออกด้วยความเร็วสูงส่ง
เนื่องจากเป็นกระบวนท่าที่รวดเร็วฉับไว ต่อให้ตั้งระวังเอาไว้ก่อนก็ยังยากจะหลบเลี่ยง และหากไม่ระมัดระวังให้ดีมันอาจทะลวงกายเนื้อจนบาดเจ็บ
โชคดีที่จี้เตี๋ยเคยได้เห็นกระบวนท่านี้มาแล้วและตั้งระวังอยู่ตลอด ยามพบเห็นอีกฝ่ายขยับมือ พลังวิญญาณในกายของเขาจึงปะทุออกมาแทบจะในทันทีทันใด
“กลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด!” โจวสวี่ผู้สำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่เก้า ย่อมตระหนักได้ถึงระดับการฝึกตนของจี้เตี๋ยผ่านลมปราณที่เปิดเผยออกมา มันถึงขั้นทำให้เขาต้องตื่นตะลึง!
หากเป็นสถานการณ์ปกติ การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดไม่นับเป็นอะไรในสายตาของเขา
เพียงแต่ระยะเวลาแห่งการฝึกตนของจี้เตี๋ยสั้นจนเกินไป
เนื่องจากเขาคือผู้นำตัวอีกฝ่ายมาเข้าร่วมสำนักเจ็ดลึกล้ำ เมื่อตอนนั้นอีกฝ่ายยังสำเร็จแค่การกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่ง จนถึงตอนนี้เวลาเพิ่งผ่านมานานเพียงใด ยังไม่ถึงครึ่งปีเลยด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ?
ผลลัพธ์ที่ได้ ปัจจุบันอีกฝ่ายกลับสำเร็จถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว!
มันคือพรสวรรค์อันน่าริษยาจนเกินไป
หากมีอัจฉริยะระดับนี้ร่วมสำนัก อนาคตของสำนักเจ็ดลึกล้ำย่อมรุ่งเรือง
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายโหดเหี้ยมไม่ต่างกับอสูรร้าย…
“เหอะ! ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปล่อยเจ้ารอดพ้น หากไม่แล้วภายหน้าเจ้าคงได้ไปทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักอีก!” เพราะจี้เตี๋ยหลบเลี่ยงการโจมตีของตนเองถึงสองครั้ง เจิ้งอี้จึงแสดงสีหน้าดำมืด เพราะเขาได้ตระหนักเช่นกัน ว่าอีกฝ่ายสำเร็จขั้นที่เจ็ดแล้ว เวลานี้จิตสังหารจึงยิ่งแรงกล้า
“ข้ากล่าวไปแล้ว ว่าหวังอวิ๋นคิดสังหารข้าก่อน! ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฆ่ามัน ผู้อาวุโสเจิ้ง อย่าให้มันมากเกินไปนัก!” จี้เตี๋ยยังคงยืนเผชิญหน้าด้วยการเว้นระยะพอสมควร สายตาและสีหน้าที่เขามองตอบกลับมาก็ดำมืดไม่ต่างกัน
สถานการณ์ปัจจุบัน ผู้อ่อนแอที่สุดคือเจิ้งอี้ ลำพังแค่อีกฝ่ายเขายังพอรับมือไหว แต่หากเมื่อใดสตรีโฉดและโจวสวี่ร่วมลงมือ เมื่อนั้นเขาคงไม่มีทางรอดชีวิตพ้นไปจากวันนี้
“ศิษย์พี่โจว” ซ่งเจียหันไปมองโจวสวี่พร้อมตระหนักได้ถึงความลังเล เวลานี้จึงกล่าวออก
“ฆาตกรต่างก็กล่าวอ้างว่าตนเองบริสุทธิ์ทั้งนั้น ท่านเองก็ทราบดี”
เนื่องจากนางไม่ชอบจี้เตี๋ยมาตั้งแต่แรก เพราะอีกฝ่ายกล่าวหาและยั่วยุนางตั้งแต่ตอนเหตุการณ์หมู่บ้านเหวินเหอ!
โจวสวี่เผยยิ้มขื่นขม เพราะทราบดีว่าคำพูดของนางสมเหตุสมผล เพียงแต่เขายังไม่ตอบคำใด
“คิดว่าจะมีใครเชื่อข้อแก้ตัวของเจ้างั้นหรือ?!” เจิ้งอี้แค่นเสียงขึ้นจมูกเย้ยหยัน กระทั่งยกนิ้วมากมายขึ้นมาชี้ออกไปในเวลาเดียวกัน ประกายแสงเจิดจ้าสาดส่อง พลังวิญญาณควบแน่นที่ปลายนิ้วถูกยิงออกในทันใด และทั้งหมดล้วนเข้าขัดขวางเส้นทางถอยหลบเลี่ยงของจี้เตี๋ยเอาไว้ทั้งสิ้น!
“คิดอยากได้เห็นนักว่าเจ้าจะหลบอย่างไรต่อ!”
จี้เตี๋ยที่ยังคงมีสีหน้าดำมืด ยามนี้พบเห็นว่าไม่มีที่ให้ถอยจึงหยุดการหลบเลี่ยง เขาผนึกกำลังที่มือซ้ายก่อนจะส่งนาคาอัคคีน้อยจำนวนหนึ่งควบแน่นกลางอากาศ เพื่อให้พวกมันเข้าไปปะทะกับกระบี่ลำแสงเหล่านั้น
ภายหลังเกิดแรงระเบิด เสื้อคลุมของจี้เตี๋ยเกิดรอยไหม้ ใบหน้าเริ่มซีดขณะร่างกายต้องถอยเท้าไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
อีกทางหนึ่ง เจิ้งอี้ยังคงยืนนิ่งเฉย เนื่องจากเขาสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดมายาวนานแล้ว ดังนั้นคู่ต่อสู้เช่นจี้เตี๋ยจึงไม่คณามือ กระทั่งว่าสามารถแค่นเสียงเย้ยหยันอันเย็นชาขณะลงมือโจมตีได้ด้วยซ้ำ
“พอได้แล้ว!”
“ศิษย์สำนักซ่ง” เจิ้งอี้หันมองซ่งเจียด้วยความสับสน และตอนนี้เองที่ได้ยินน้ำเสียงเย้ยหยันจากนาง
“เชื่องช้าเกินไป”
เพียงซ่งเจียตอบคำ นางก้าวเดินออกมาเข้าหาจี้เตี๋ยด้วยย่างก้าวอันงดงาม ขาเรียวทั้งสองนั้นงดงามภายใต้ร่างสูงอันโดดเด่นสะดุดตา
จี้เตี๋ยไม่ได้รู้สึกขอบคุณที่นางห้ามแต่อย่างใด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันตรายจากนาง ที่ไม่ต่างอะไรกับสุนัขล่าเนื้อหรือพยัคฆ์ดุร้ายในป่า!
พบเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะลงมือด้วยตนเอง เจิ้งอี้เริ่มแสดงความไม่พอใจผ่านทางสีหน้า แต่แม้แบบนั้นเขาก็ยังยอมถอยไปคุมทางออกเอาไว้
“มีคำสั่งเสียหรือไม่?” ซ่งเจียหยุดเท้าขณะอยู่ห่างจากจี้เตี๋ยไม่ไกล สายตาที่มองมาบ่งชี้ว่าดูแคลนไม่เห็นเด็กหนุ่มอยู่ในสายตา
“นางบัดซบชาติชั่ว! คนเช่นเจ้าไม่มีใครเอาไร้บุรุษขึ้นเตียงด้วย จงขึ้นคานไปจนตาย!” จี้เตี๋ยสบถก่นด่าออกมา ดังคำสอนโบราณกล่าวเอาไว้ว่าต่อให้รู้ว่าพ่ายแพ้ก็ต้องทำอะไรบ้าง ที่เขาสบถด่าออกมาก็เพราะเกลียดชังนางจากก้นบึ้ง!
“รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าอันงดงามของซ่งเจียเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก กายงดงามวิจิตรของนางพุ่งทะยานประหนึ่งลำแสง พร้อมกันนี้จึงเงื้อมือขึ้นตบหน้าจี้เตี๋ยจนร่างกระเด็นลอยลิ่วไปล้มลงกระแทกพื้น กว่าเขาจะคลุกคลานขึ้นมาได้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลาและกายสั่นเทา เขายังคงมองนางด้วยความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักทราบว่ากระดูกซี่โครงหักหลายท่อน ความรู้สึกอ่อนแอไร้พลังพลันท่วมท้นขึ้นมาในใจ
“แค่ก แค่ก! นางแพศยา! ลงมือสังหารข้า ไม่กลัวชีวิตนี้ขึ้นคานไร้บุรุษมาร่วมหลับนอนหรือยังไง!”
“โอหังและอวดดี!” ซ่งเจียแค่นเสียงดังขึ้นขณะทะยานกายมาปรากฏตรงหน้าและซัดจี้เตี๋ยจนร่างกระเด็นอีกครั้ง
“แค่ก แค่ก” เพราะกระดูกแทบทั้งกายราวกับแตกหัก จี้เตี๋ยพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ทว่าเวลานี้ซ่งเจียมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมเผยยิ้มเย้ยหยัน
“จงคุกเข่าและอ้อนวอน ข้ายังจะพอช่วยให้เจ้าได้ตายสบาย”
“ฝันไปเถอะ!” จี้เตี๋ยกัดฟันแน่น ตอนนี้เองที่เขาได้ตระหนักถึงพลังซึ่งพลุ่งพล่านมาจากที่ใดไม่ทราบ เพียงชั่วพริบตาเขาจึงลงมือด้วยสายตาที่แดงก่ำจนตัดสินใจบ้าบิ่นใช้ศีรษะโขกเล่นงานสตรีตรงหน้า
“เจ้า!” สายตาซ่งเจียเบิกกว้าง ทั้งยังประหลาดใจกับความทนทายาดของจี้เตี๋ย เพราะภายหลังโดนนางเล่นงานถึงสองครั้งครา อีกฝ่ายยังคงยืนอยู่ได้ และก็เป็นตอนนี้เองที่นางเผลอหย่อนความระวังจนถูกจี้เตี๋ยพุ่งเข้ามาผลักเล่นงานจนล้มลง
แม้ว่าเป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยจนเมินเฉยได้ เพียงแต่นางกำลังโกรธจัด และที่ทำให้นางตื่นตกใจและโกรธมากยิ่งขึ้นคือจี้เตี๋ยพยายามบุกระยะประชิดจนนางควบคุมสถานการณ์ไม่ได้!
สุดท้ายเป็นเหตุให้คนทั้งสองล้มลงกับพื้น คนหนึ่งอยู่บน อีกคนหนึ่งอยู่ล่าง กลับกลายเป็นภาพชวนล่อแหลม ทำเอาพวกโจวสวี่ที่ยืนรับชมอยู่ต้องนิ่งค้างไป
“เหอะ!” จี้เตี๋ยไม่คิดสนใจ แม้ว่าด้านล่างจะเป็นร่างของหญิงสาวผู้งดงามกลิ่นกายหอม แต่เขาไม่มีอารมณ์ใดกับสตรีตรงหน้าทั้งสิ้น กระทั่งเผยสายตาอันดุร้ายรุนแรง มือขวาเวลานี้จึงคว้าเข้าที่ร่างกายท่อนบนของนางเพื่อออกแรงเต็มที่ฉีกกระชากชุดออก
ในเมื่อทำร้ายอะไรนางไม่ได้ เช่นนั้นเขาคิดฝากความทรงจำอันน่ารังเกียจเอาไว้จนกว่านางจะตาย!
เพียงแต่เพราะเวลานี้เขาบาดเจ็บหนักอยู่พอสมควร ทำให้เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือพอจะฉีกเสื้อผ้าธรรมดาเสียด้วยซ้ำ
“ไสหัวออกไป!” ซ่งเจียที่เพิ่งรู้ตัวเพราะตระหนักได้ถึงมือมารที่คิดกระทำการไร้ยางอาย นางเผยใบหน้าแดงก่ำที่ไม่ทราบว่าโกรธหรืออาย ทว่าเข่ายกขึ้นสูงจนกระแทกเข้ากับช่วงท้องด้านล่างของเด็กหนุ่ม
เสียงการปะทะดังขึ้น ร่างของจี้เตี๋ยล้มลงกระแทกพื้นอันเย็นเยียบในสภาพกุมหน้าท้อง และเขากำลังรู้สึกราวกับกระดูกทุกท่อนภายในร่างกำลังแตกหัก
“ชีวิตเจ้าต้องเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!” ภายหลังซ่งเจียลุกขึ้นยืนได้ นางได้เห็นท่าทีชะงักงันของพวกโจวสวี่ เวลานี้จึงยื่นมือราวหยกแกะสลักส่งพลังออกไปคว้าตัวผู้ก่อการด้วยความอำมหิต
ร่างของจี้เตี๋ยที่ถูกคว้าจับแน่นโดยมือยักษ์ที่เกิดขึ้นโดยพลังวิญญาณ มันทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
และมือยักษ์นี้ยังพยายามออกแรงบีบอย่างต่อเนื่อง ราวคิดบีบจนร่างของเขาต้องแหลกเละ!
ขณะรู้สึกได้ถึงความไร้พลัง ชายในชุดม่วงพลันปรากฏตัวออกมา และเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ฝ่ามือพลังวิญญาณที่คร่ากุมตัวจี้เตี๋ยจึงสลายเป็นฝุ่นผง
จี้เตี๋ยได้สติกลับคืนพร้อมกับหอบหายใจรุนแรง ขณะเดียวกันก็มองยังอีกฝ่ายพร้อมรับรู้ได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างล้นเหลือ!
“ซ่งเจีย หยุดมือแต่เพียงเท่านี้ก่อน” ชายในชุดม่วงหันมองทางซ่งเจียพร้อมกับเอ่ยนามของนางออกมาโดยตรง
“ผู้อาวุโสซุน…” ดวงตาของซ่งเจียที่ยังเปี่ยมด้วยความโกรธ ยามนี้จึงพยายามระงับอารมณ์และโทสะเอาไว้
“คารวะผู้อาวุโสซุน” โจวสวี่และผู้อาวุโสเจิ้งต่างตระหนักพบเห็นอีกฝ่ายจนเร่งร้อนโค้งกายให้ เป็นการแสดงออกว่าอีกฝ่ายสูงส่งและเป็นที่นับถือ
ขณะเดียวกันพวกเขาก็นึกสงสัย
ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสซุนเก็บตัวอยู่หรอกหรือ? ไฉนตอนนี้มาที่นี่ได้…