บทที่ 83 ตระกูลหมั่วเอาหินจิตวิญญาณมาจากไหน?
บทที่ 83 ตระกูลหมั่วเอาหินจิตวิญญาณมาจากไหน?
“ท่านผู้อาวุโส ช่วยด้วย!”
หมั่วหยูฉิงร้องครวญคราง พลางบินไปทางเรือรบล่องหน ราวกับว่ามียมทูตไล่ตามมาจากด้านหลัง
เรือรบลำใหญ่ลอยอยู่เหนือศีรษะของทุกคน
ไม่นานนัก
แสงหลายสายก็พุ่งลงมาจากเรือรบล่องหน
เป็นแสงวิถีของผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐาน
อาหลานตระกูลเฉินเห็นภาพนี้ ทั้งสองก็นิ่งมองการแสดงของหมั่วหยูฉิงอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นว่าเฉินเต้าเสวียนไม่ขัดขวางเขา หมั่วหยูฉิงก็รู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่งที่รอดชีวิตมาได้
ขณะที่เขากำลังดีใจอยู่นั้น แสงวิถีสายหนึ่งก็พุ่งผ่านเขาไป จากนั้นใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“ท่านผู้อาวุโส ข้าคือ...”
“เฮอะ!” โจวมู่เฉิงมองหมั่วหยูฉิงอย่างเย็นชา บีบคอเขาด้วยมือข้างเดียว เหมือนกับกำลังถือลูกไก่
หลังจากที่แสงวิถีของโจวมู่เฉิงและคนอื่นๆ ลงจอดบนเรือฟ้าคราม
อาหลานตระกูลเฉินก็รีบเข้าไปคำนับ
“พี่ชายโจว!”
“ท่านลุงโจว”
เฉินเซียนเหอและเฉินเต้าเสวียนรีบค้อมศีรษะทักทายด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นเฉินเซียนเหอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเฉินเต้าเสวียน ดวงตาของโจวมู่เฉิงก็เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
การต่อสู้กับผู้ฝึกตนตระกูลหมั่วของเฉินเต้าเสวียนเมื่อครู่นี้ เขาเห็นทั้งหมดแล้ว
โจวมู่เฉิงพบด้วยความประหลาดใจว่า ในแง่ของขอบเขตวิถีกระบี่ บุรุษรุ่นเยาว์ตรงหน้าเขากลับเหนือกว่าเขา
เรื่องนี้ทำเขารู้สึกตกใจจริงๆ
ต้องรู้ก่อนว่า เขาเป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานขั้นเจ็ด ระดับพลังของเขาสูงกว่าเฉินเต้าเสวียนถึงหนึ่งขอบเขตใหญ่
ต่อให้เฉินเต้าเสวียนฝึกฝนกระบี่มาตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา ระดับวิถีกระบี่ก็ไม่น่าจะเหนือกว่าเขาได้!
คำอธิบายเดียวก็คือ เฉินเต้าเสวียนเป็นอัจฉริยะด้านวิถีกระบี่ที่หาได้ยากในรอบหมื่นปี เขาเป็นเช่นเดียวกับโจวมู่ไป๋… อัจฉริยะของตระกูลโจว
อัจฉริยะด้านวิถีกระบี่แบบนี้ หากไม่ร่วงโรยไปเสียก่อน ย่อมต้องกลายเป็นบุคคลที่โด่งดังไปทั่ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้
โจวมู่เฉิงก็ยิ่งอยากผูกมิตรกับอาหลานตระกูลเฉินมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเฉินเต้าเสวียนที่ยังเด็กมาก
อย่ามองว่าโจวมู่เฉิงมีรูปลักษณ์ภายนอกเพียงแค่สี่สิบกว่าปี อันที่จริงเขานั้นบำเพ็ญเพียรมานานกว่าร้อยห้าสิบปีแล้ว
แม้ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานจะมีอายุขัยสองร้อยปี แต่อายุขัยที่เหลืออยู่ของโจวมู่เฉิงก็เหลือน้อยเต็มที
ยิ่งไปกว่านั้น โจวมู่เฉิงรู้ดีแก่ใจว่า หากไม่มีโอกาสอันยิ่งใหญ่ เขาก็แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทะลวงไปถึงขอบเขตคฤหาสน์ม่วงได้ในชีวิตนี้
หากโจวมู่เฉิงอยู่ตัวคนเดียวก็คงไม่เป็นไร
แต่เขาดันมีบุตรชายตอนแก่อย่างโจวซือเลี่ยง
นี่ทำให้เขาต้องคิดถึงอนาคตของบุตรชายให้มากขึ้น
แม้ว่าตระกูลโจวจะมีอำนาจล้นฟ้าในเมืองกวงอัน แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนตระกูลโจวก็มีมากมายนับไม่ถ้วน มีจำนวนมากถึงหลายหมื่นคน
ผู้ฝึกตนมากมายขนาดนี้ บวกกับพรสวรรค์และนิสัยใจคอของโจวซือเลี่ยง บุตรชายของเขาที่ไม่ได้ดีเลิศอะไร
อันที่จริงแล้ว โจวมู่เฉิงกังวลเรื่องอนาคตของบุตรชายมาก
ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ บุตรชายของเขาอาจจะไม่ต้องกังวลอะไร แต่เมื่อเขาตายไปล่ะ? สถานการณ์ของบุตรชายเขาจะต้องลำบากมากกว่านี้มาก…
ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลโจว โจวมู่เฉิงรู้ดีว่า ตระกูลโจวจะไม่มีทางใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อเลี้ยงดูคนไร้ค่าอย่างแน่นอน!
และความกังวลเหล่านี้ โจวมู่เฉิงก็ไม่สามารถบอกเล่าให้คนนอกฟังได้
ในสายตาของคนนอก โจวมู่เฉิงนั้นมีอำนาจล้นฟ้า เป็นถึงผู้ดูแลกองเรือลาดตระเวนของตระกูลโจว
แต่จะมีใครรู้ถึงความขมขื่นในใจของเขา?
เดิมทีเขาช่วยอาหลานเฉินเซียนเหอ เพียงเพราะเห็นแก่ไข่มุกจิตวิญญาณวารีขั้นที่สองที่เฉินเซียนเหอมอบให้ และยังเคยเป็นสหายร่วมรบที่ด่านเจิ้นหนานมาก่อน
แต่หลังจากที่ได้เห็นพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวของเฉินเต้าเสวียนในวันนี้ โจวมู่เฉิงก็เปลี่ยนใจอย่างสิ้นเชิง
เขาต้องการผูกมิตรกับตระกูลเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินเต้าเสวียน!
ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงเห็นเงาของอัจฉริยะตระกูลโจวอย่างโจวมู่ไป๋ ที่เคยแผ่อำนาจไปทั่วเมืองกวงอันในรุ่นเดียวกันอย่างเลือนราง ในตัวของเฉินเต้าเสวียน…
ความคิดผุดขึ้นมาเป็นสาย
โจวมู่เฉิงโยนหมั่วหยูฉิงลงบนดาดฟ้าเรือฟ้าครามอย่างไม่ใส่ใจ ค้อมศีรษะแล้วพูดว่า “น้องชายเฉิน หลานชาย ข้าไม่ได้มาช้าไปใช่ไหม?”
“ไม่ช้า ไม่ช้า ท่านมาได้พอดีเลย”
เฉินเซียนเหอค้อมศีรษะทักทาย ตอบด้วยรอยยิ้ม
บนดาดฟ้าเรือฟ้าคราม หมั่วหยูฉิงได้ยินบทสนทนาของพวกเขา หัวใจก็ค่อยๆ จมดิ่งลง
ในเวลานี้ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตระกูลหมั่วถูกเฉินเซียนเหอล่อมาติดกับ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ชี้ไปที่เฉินเซียนเหอ ด่าทอด้วยความโกรธว่า “เป็นเจ้า! เป็นเจ้า ไอ้เฒ่าสารเลว เจ้าวางแผนเล่นงานตระกูลหมั่วข้า! ไอ้เฒ่าบัดซบ เจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!”
ได้ยินคำด่าทอนี้
สีหน้าของเฉินเต้าเสวียนก็มืดครึ้มลงทันที เขาโบกมือส่งปราณแก่นแท้ออกไป ตบหมั่วหยูฉิงจนล้มลงกับพื้น พูดอย่างเย็นชาว่า “ระวังปากเจ้าหน่อย”
ดูเหมือนหมั่วหยูฉิงจะหวาดกลัวเฉินเต้าเสวียนจนขวัญเสีย ถูกตบไปหนึ่งครั้ง ไม่เพียงแต่ไม่กล้าพูดโต้ตอบ กลับซุกหัวลงบนดาดฟ้าอย่างหวาดกลัว
เฉินเซียนเหอถูกหมั่วหยูฉิงด่าทอ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าโทษที่ข้าไม่ให้โอกาสตระกูลหมั่วเจ้า ข้าเคยบอกไว้ก่อนแล้วว่า ข้าได้แจ้งกองเรือลาดตระเวนตระกูลโจวแล้ว เป็นเพราะตระกูลหมั่วดื้อรั้นเอง จึงได้ประสบกับผลกรรมเช่นนี้ จะโทษข้าได้อย่างไร?”
“ข้า... ข้า...”
ได้ยินคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเช่นนี้ หมั่วหยูฉิงก็โกรธจนพูดไม่ออก
แต่ทันใดนั้น
เขาก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก คลานเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กอดชายเสื้อของโจวมู่เฉิงไว้แน่น อ้อนวอนว่า “ท่านผู้อาวุโสโจว โปรดเมตตา ปล่อยตระกูลหมั่วไปเถอะ”
หมั่วหยูฉิงหยุดไปครู่หนึ่ง “ใช่แล้ว ตระกูลหมั่วมีหินจิตวิญญาณ พวกเรามีหินจิตวิญญาณมากกว่าสามหมื่นก้อน เป็นสิ่งที่ผู้นำของเราเตรียมไว้สำหรับขอบเขตสร้างรากฐาน ตอนนี้ข้าขอมอบให้ท่านทั้งหมด ขอเพียงท่านไว้ชีวิตคนในตระกูลหมั่ว!”
พูดจบ หมั่วหยูฉิงก็เอาหัวโขกพื้นอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นเขาก้มหัวอ้อนวอนเพื่อคนในตระกูลเช่นนี้ เฉินเต้าเสวียนก็อดสงสารไม่ได้เล็กน้อย แต่แล้วก็ตัดใจหันหน้าหนี และไม่มองเขาอีก
เฉินเซียนเหอและโจวมู่เฉิงที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนเป็นคนเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินเต้าเสวียน ก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
โจวมู่เฉิงทำท่าทางดุหมั่วหยูฉิง แต่จริงๆ แล้วกำลังอธิบายให้เฉินเต้าเสวียนฟังว่า “ฮึ่ม! หากผู้ฝึกตนในเมืองกวงอันต่างก็เลียนแบบตระกูลหมั่ว ปล้นฆ่าสหายเต๋า เมื่อความแตกก็ติดสินบนคนของตระกูลโจวเพื่อกลบเกลื่อนความผิด เช่นนั้นเมืองกวงอันอันกว้างใหญ่ของข้า จะมีวันสงบสุขได้อย่างไร?”
พูดจบ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา “อีกอย่าง ตระกูลหมั่วเอาหินจิตวิญญาณมากกว่าสามหมื่นก้อนมาจากไหน? หากพวกเจ้ามีหินจิตวิญญาณมากมายขนาดนั้น เหตุใดจึงต้องปล้นฆ่าสหายเต๋าด้วย?”
ได้ยินดังนั้น เฉินเซียนเหอที่อยู่ด้านข้างก็รีบเสริมว่า “พี่ชายโจวพูดถูก ตระกูลหมั่วคงจะเป็นบ้าเพราะจน จึงได้ดักปล้นอาหลานข้า พวกเขาจะมีหินจิตวิญญาณสามหมื่นกว่าก้อนนี้ได้อย่างไร? คนผู้นี้ต้องโกหกท่านแน่ๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
พูดจบ ทั้งสองก็มองหน้ากัน หัวเราะออกมา
เฉินเต้าเสวียนมองอาสิบสามของเขา จากนั้นก็มองโจวมู่เฉิง เขาพบว่าผู้ฝึกตนในทะเลหมื่นดวงดาวนี้ คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าคนหนึ่งจริงๆ
ตระกูลหมั่วในครั้งนี้ นับว่าจบสิ้นอย่างแท้จริง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็มอบหินบันทึกภาพให้โจวมู่เฉิง พูดว่า “ท่านลุงโจว นี่คือหลักฐานที่ตระกูลหมั่วดักปล้นพวกข้า”
“อืม”
หลังจากรับหินบันทึกภาพของเฉินเต้าเสวียนมาแล้ว ฉายให้ทุกคนดูอีกครั้ง โจวมู่เฉิงก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ตอนนี้ตระกูลหมั่วยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
ได้ยินดังนั้น หมั่วหยูฉิงก็มองอาหลานเฉินเซียนเหอและโจวมู่เฉิงด้วยสีหน้าสิ้นหวัง เขาทรุดตัวลงกับพื้นทันที…