บทที่ 21 วิวาท
เมื่อซ่งชิงอี้เดินผ่านประตูสำนักออกมา เธอได้ยินเสียงของความวุ่นวายอยู่ข้างนอกอย่างคลุมเครือ
อาจารย์หญิงผู้สง่างามเดินออกมาและเห็นกลุ่มนักเรียนรวมตัวกันอยู่ไม่ไกลจากประตูและความสนใจของพวกเขามุ่งเน้นไปที่บางสิ่งบางอย่าง เสียงหมัดและเตะที่ชัดเจนดังมาจากศูนย์กลางของฝูงชนพร้อมกับเสียงตะโกนที่เจ็บปวด
ซ่งชิงอี้เริ่มเครียดอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปยังแหล่งที่มาของความวุ่นวายอย่างรวดเร็ว เธอเบียดนักเรียนไปพลางถาม “ใครกําลังทะเลาะกัน เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
ฝูงชนแน่นมาก ดังนั้นเธอจึงผ่านไปอย่างลําบาก
"อาจารย์ซ่ง!" นักเรียนที่บริเวณขอบของการชุมนุมตะโกนเมื่อสังเกตเห็นซ่งชิงอี้
พวกเขารีบหลีกทางให้เธอและตอบด้วยความเคารพว่า "เป็นเหยียนเสี่ยวหยู่กับนักเรียนใหม่ที่เราไม่รู้จักขอรับ"
"เหยียนเสี่ยวหยู่..." ซ่งชิงอี้พึมพําชื่อและตะโกนทันทีว่า "เหยียนเสี่ยวหยู่ รีบหยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่ควรรังแกเพื่อนร่วมชั้นนะ!"
แม้ว่าเธอจะเตือน แต่การต่อสู้และเสียงร้องที่เจ็บปวดก็ยังไม่หยุด ที่จริง เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ซ่งชิงอี้ฟังเสียงน่าปวดหัวใจจนขมวดคิ้วและขึ้นเสียงไปว่า “นี่เป็นคําเตือนสุดท้าย เหยียนเสี่ยวหยู่ ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะให้เจ้าสำนักไล่เจ้าออก”
ทันทีที่เธอตะโกน นักเรียนในฝูงชนก็จําเสียงของเธอได้และรีบหลีกทางให้เธอไปถึงศูนย์กลางของการจลาจล
ที่นั่น ในฉากที่วุ่นวาย ซ่งชิงอี้เห็นเหยียนเสี่ยวหยู่ในสภาพย่ำแย่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด แขนขาเหยียดออกและนอนอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร เขาลืมตาได้เพียงข้างเดียว ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด
เขาพึมพําอย่างอ่อนแรงว่า “อะ.. อาจารย์ซ่ง ข้าหยุดนิ่งมานานแล้ว ข้ามิกล้าตอบโต้เลย.. ท่าน.. ยังอยากไล่ข้าออกอีกหรือ..”
ซ่งชิงอี้ตกใจและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความว่างเปล่าทันที "หือ.."
ในความทรงจําของเธอเหยียนเสี่ยวหยู่นั้นเป็นขาใหญ่ของสำนักภูเขาใต้แห่งนี้และชอบกดขี่เพื่อนร่วมชั้นของเขาตลอด ครั้งแรกที่เธอได้ยินว่าเขากำลังต่อสู้ เธอคิดว่าเขาเป็นผู้ลงมือไปโดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม เหยียนเสี่ยวหยู่เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้และมักจะมีนักเลงสองคนติดตามเขาตลอด เขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ช่าก่อน.. อันธพาลทั้งสองนั้นกำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ และมือของพวกเขาปิดหู พวกเขายอมจำนนไปแล้วงั้นหรือ
คนที่ต่อสู้กับเหยียนเสี่ยวหยู่คือใครกัน
ซ่งชิงอี้ศึกษาสถานการณ์และสังเกตฝูงชนรอบๆ อย่างรวดเร็วและยืนยันว่าคนที่อยู่ที่นั่นเป็นนักเรียนทั้งหมด ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีบุคคลอื่นร่วมก่อเหตุ
ซ่งชิงอี้ออกคําสั่งอย่างเข้มงวด "คนที่ต่อสู้คือใคร ก้าวออกมาข้างหน้า"
แม้ว่าเธอกล่าวแบบนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครในฝูงชนกล้าก้าวออกมา
แต่ผู้ชมทั้งหมดถอยกลับหนึ่งก้าวด้วยกัน เหลือเพียงสองคนยืนอยู่ที่เดิม พฤติกรรมของพวกเขาดึงดูดความสนใจของเธอทันที
หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อที่มีรอยยิ้มอบอุ่น และเห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งมาใหม่ ชูเหลียง ส่วนอีกคนเป็นเด็กถือหนังสือคิ้วโตของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ
ชูเหลียงและเด็กถือหนังสือของเขาดูเหมือนจะแกล้งทําเป็นแค่ผู้ชมในฝูงชน
ซ่งชิงอี้ขมวดคิ้วและจ้องมองที่ชูเหลียง "ฝีมือพวกเจ้าหรือ"
"เห้อ.." ชูเหลียงส่ายหัวไปพลางถอนหายใจไปด้วย
เขาไม่คิดว่านักเรียนของสำนักภูเขาใต้จะสามัคคีกันมากเพียงนี้
เขาก้มหัวลงอย่างรวดเร็วและขอโทษ "ข้าขอโทษ อาจารย์ซ่ง ข้าเพิ่งมาถึงวันนี้ ทว่าเหยียนเสี่ยวหยู่กลับเรียกเงินข้าถึงสิบตำลึง ข้าพยายามปฏิเสธแล้ว แต่ข้าก็หลบเลี่ยงเขามิได้ มันจึงนํามาสู่การเผชิญหน้าในครั้งนี้ ข้าละเมิดกฎของสำนัก โปรดลงโทษข้าด้วย"
ซ่งชิงอี้ตกอยู่ในความเงียบครุ่นคิด
เธอพบว่าตัวเองไม่มีอะไรจะพูดและไม่สามารถตําหนิพวกเขาได้ตามที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก
หลังจากเงียบไปสั้นๆ เธอก็พูดขึ้นว่า "อย่างไรก็ตาม การใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้..."
ชูเหลียงกล่าวเสริมด้วยน้ําเสียงหนักแน่นว่า "ตอนแรกข้าก็อยากจะให้เงินไปแล้ว แต่คนของข้ากลับโกรธมาก เขาสูญเสียการควบคุมและทะเลาะกับอีกสามคน โปรดวางใจ หากข้ารับโทษเรียบร้อยข้าจะสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด"
เขาพูดพลามองหลินเป่ย
หลินเป่ยเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด "..โอ้ย นายน้อย ใบหน้าของเขากระแทกมือของข้ารุนแรงเหลือเกิน.. มือของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและข้าต้องการพบหมอ!"
"แย่เพียงนั้นเลยหรือ" เห็นได้ชัดว่าชูเหลียงเป็นห่วงเล็กน้อย เขาหันไปพูดกับซ่งชิงอี้ว่า "อาจารย์ซ่ง ข้าคงต้องพาเขาไปหาหมอเสียก่อน หากเราล่าช้า..."
"เอาล่ะๆ พวกเจ้าทั้งคู่ควรไปหาหมอ" ซ่งชิงอี้ยอมปล่อยพวกเขาไป เธอมองชูเหลียงกับเหยียนเสี่ยวหยู่ที่นอนอยู่บนพื้น "พรุ่งนี้เมื่อพวกเจ้ากลับมาที่สำนัก ข้าจะให้เจ้าสำนักจัดการเรื่องนี้"
ชูเหลียงออกเดินทางไปหาหมอพร้อมกับเด็กถือหนังสือหลินเป่ยที่ "ได้รับบาดเจ็บ" และอันธพาลสองคนก็พยายามประคองเหยียนเสี่ยวหยู่ที่ถูกทุบตีจนหมดสภาพออกไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สองอันธพาลของแก๊งเสือดําที่ประคองเหยียนเสี่ยวหยู่ยังคงไปได้ไม่ไกล พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนมาจากข้างหลัง
ทั้งสองหันหลังกลับและพบคู่กรณีของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าเดินต่อและรีบจับเหยียนเสี่ยวหยู่ลงกับพื้นและคุกเข่าลง
"มิจําเป็นกลัวถึงเพียงนั้น" ชูเหลียงพูดพลางยิ้มเมื่อมองพวกเขา "ข้าเพียงอยากจะบอกว่าเราไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล"
ชูเหลียงพูดพลางเอื้อมมือไปหาหลินเป่ยแล้วกล่าวว่า “ขอเงินเหรียญกระบี่ให้ข้า”
หลินเป่ยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็หยิบเหรียญกระบี่ออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้ชูเหลียง
ชูเหลียงมอบเหรียญกระบี่ให้กับอันธพาลคนหนึ่งแล้วสั่งว่า “จงรับสิ่งนี้ไป มอบมันให้หัวหน้าแก๊งของเจ้า บอกเขาว่ามันเป็นค่ารักษาพยาบาลของลูกชายของเขา ให้แน่ใจว่าเจ้ามอบมันให้กับหัวหน้าแก๊งของเจ้าด้วยตัวเอง”
"ขอรับ" ทั้งสองคนพยักหน้าและรีบหนีไป
"เฮ้ย เจ้าทิ้งนายน้อยเจ้าไว้น่ะ" หลินเป่ยตะโกน
"อ้อ ขอรับๆ " อันธพาลสองคนรีบกลับมารับเหยียนเสี่ยวหยู่ที่ถูกทิ้งไว้ที่พื้นแล้วจากไปอีกครั้ง
เมื่อมองดูพวกอันธพาลถอยออกไปไกล หลินเป่ยจึงเอ่ยถาม “เหตุใดเราจึงต้องให้เหรียญกระบี่กับพวกเขาด้วย”
“เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” ชูเหลียงอธิบาย “ถ้าเราเอาเหรียญให้พ่อของเหยียนเสี่ยวหยู่ เขาก็ไม่น่าจะทําให้เราเดือดร้อน”
"แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องเอาเหรียญกระบี่ของข้าให้พวกเขา" หลินเป่ยถาม
"ข้าต้องเก็บเหรียญของข้าไว้ทำอย่างอื่น" ชูเหลี่ยงตอบอย่างจริงจัง
หลินเป่ย: "? "
...
ขณะนี้เป็นช่วงกลางคืน
ชูเหลียงเข้ามาพบหลี่เยว่ในห้อง หลี่เยว่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
จากข้อมูลที่ชูเหลียงเก็บรวบรวมมาในวันนี้ หลี่เยว่เคยเป็นนักเรียนที่ขยัน แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทําให้เขาอยู่ในสภาพที่หดหู่
หลี่เยว่เห็นเขาเข้ามาเขาจึงตั้งสติได้และเอ่ยถาม "เกิดอะไรขึ้น"
ชูเหลียงวางเงินห้าตำลึงไว้บนโต๊ะ “นี่คือเงินที่ข้าเอาคืนมาจากเหยียนเสี่ยวหยู่ ต่อไปนี้ท่านมิต้องจ่ายอะไรอีกต่อไปแล้ว”
หลี่เยว่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "วันนี้ข้าเห็นท่านสั่งสอนเขาอยู่.. ขอบคุณนะ"
ชูเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พวกผู้ฝึกตนเหล่านั้นควรเดินไปบนทางแห่งความยุติธรรม การสั่งสอนพวกเขาให้ถูกทางเป็นหน้าที่ของเรา”
"อืม.."
หลี่เยว่ดูเหมือนจะคิดอะไรอยู่ เขาค่อยๆ กลับไปอยู่ในความคิดของตัวเองอีกครั้ง
ทันใดนั้นชูเหลียงก็ถามออกมา “เหตุใดท่านจึงบอกว่าเขาจะอยู่ได้ไม่นาน”
"อืม" หลี่เยว่ตกใจกับคําถามนี้และละสายตา แต่เขาไม่ตอบสนอง
"เป็นเพราะซือถูเหยียนหรือ" ชูเหลียงถามอีก
หลี่เยว่ส่ายหัว "ข้าไม่รู้..."
ชูเหลียงกล่าวต่อว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขารังแกซือถูเหยี่ยน”
หลี่เยว่มองชูเหลียง "กรุณาอย่าถามอีก"
"พ่อของท่านจ่ายราคามหาศาลเพื่อให้พวกเราเพื่อปกป้องท่าน ยิ่งเราอยู่ที่นี่นานเท่าใด พ่อของท่านก็จะเสียเงินมากขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้จะต้องได้รับการแก้ไขจากท่านโดยเร็ว นี่ถึงจะเป็นผลประโยชน์ของท่านมากที่สุด" ชูเหลียงพูดอย่างสงบและน่าเชื่อถือ "ข้าถามท่านตรงๆ เลยก็แล้วกัน วิญญาณแห่งความแค้นคือซือถูเหยียนหรือ"
"..." หลี่เยว่ขมวดคิ้วและตกอยู่ในความคิด ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น "ใช่ น่าจะเป็นเธอ"
"แล้วท่านกลัว... เพราะท่านรังแกเธอหรือ" ชูเหลียงกล่าวต่อ
"ไม่" หลี่เยว่ส่ายหัวอย่างแน่วแน่ "ข้าไม่เคยทำแบบนั้น"
"แล้วพวกพวกที่รังแกเธอเป็นใครกันล่ะ" ชูเหลียงถาม
หลี่เยว่คว้าหัวของตัวเอง เหมือนมีหลายเรื่องที่ไม่อยากพูดถึง อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็ตอบ “จางชง อู๋เส้าอัน เหยียนเสี่ยวหยู่ เฉินต้า.. มันเป็นพวกเขา พวกเขาเป็นคนที่รังแกซือถูเหยียนเป็นประจํา...”