บทที่ 201 ทักษะเวทย์หมื่นปรานกระบี่
หยางเสี่ยวเทียนถึงกับอึ้งไปครู่ เมื่อเห็นท่าทางสงสัยใคร่รู้ของน้องสาวตน เขาไม่คิดว่านางจะถามถึงเรื่องนี้ ระหว่างที่เขากำลังจะตอบ ก็พลันสัมผัสได้ถึงดวงตาอีกสองคู่ที่จับจ้องมายังเขาขณะนี้
หยางเฉาและหวงอิ๋งทันทีที่ทั้งสองได้ยินคำถามของหยางหลิงเอ๋อร์ ทั้งคู่ก็ให้ความสนใจมาก แววตาของพวกเขาทั้งสามนั้น จ้องหยางเสี่ยวเทียนอย่างกระตือรือร้นด้วยความอยากรู้เป็นที่สุด
บิดามารดาของเขารู้เป็นอย่างดีว่า เมืองเสินเจี้ยนนั้นมีแปลงดินอยู่มากมาย ทั้งยังมีราคาที่สูงมากต่างจากเมืองซิงเยว่ ในตอนที่พวกเขาทั้งสามถูกเลี่ยวคุนพามายังจวน ใบหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก ครั้นเห็นว่าจวนนี้มีขนาดใหญ่โตโอ่อ่ามากถึงเพียงใด
ครั้นเห็นอากัปกิริยาอันกระตือรือร้นของบิดามารดาตนและน้องสาว หยางเสี่ยวเทียนจึงพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เป็นของข้าเอง”
ดวงตาหยางหลิงเอ๋อร์เบิกกว้างด้วยความตะลึง ก่อนเอ่ยถามต่อทันที “พี่ใหญ่ จวนหลังนี้ท่านใช้เงินซื้อไปมากเพียงใดกัน”
หยางเสี่ยวเทียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ จึงกล่าวไขข้อสงสัยที่นางอยากรู้ “ไม่มากนัก เพียงไม่กี่ล้านเหรียญทองเท่านั้นเอง”
“อะไรนะ ไม่กี่ล้านเหรียญทองงั้นหรือ” หยางหลิงเอ๋อร์อ้าปากค้างพลางนับนิ้วมือ “เรือนของเราในเมืองซิงเยว่ มีราคาเพียงพันเหรียญทองเท่านั้น หากมีหลายล้านเหรียญทอง เราจะซื้อเรือนในเมืองซิงเยว่ได้กี่หลังกัน”
หลังนางนับนิ้วอยู่สักครู่ ก่อนพลันเอ่ยสิ่งที่เขามิอาจคาดถึงได้ “ด้วยเหรียญทองนับล้านนี้ มันสามารถซื้อลูกกวาดให้ข้าได้กี่เม็ดกันนะ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นน้องสาวกล่าวเมื่อครู่นี้ หยางเสี่ยวเทียนจึงมีสีหน้าตกตะลึงจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก
แต่สีหน้าบุคคลผู้ตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่า คือหยางเฉาและหวงอิ๋งเองที่เพลานี้ ที่ต่างมีสีหน้าสับสนต่อวาจาของบุตรชายพวกตนมากนัก
จวนหลังนี้ เป็นของบุตรชายพวกตนจริงงั้นหรือ…
สำหรับทั้งสอง แม้นหยางเสี่ยวเทียนจะส่งเงินให้ทุกเดือน กระทั่งบางเดือนอาจส่งมากถึงสองหน แต่ด้วยพวกตนนั้นคิดว่าบุตรชายคงลำบาก ทั้งคู่จึงประหยัดใช้ไม่เกินเดือนละร้อยเหรียญทองเท่านั้น ซึ่งส่วนที่เหลือก็เก็บเอาไว้ให้บุตรชายตนในภายหน้า
แต่เมื่อได้ยินคำว่าหลายล้านเหรียญทอง พวกเขาก็ต้องตกใจในทันที เพราะนี่เป็นเงินที่พวกเขามิอาจจินตนาการถึงได้ ประหนึ่งดวงดาวในดาราจักร ที่มันมีจำนวนมากสุดคณานับ
บัดนี้ ใบหน้าพวกเขาเปี่ยมด้วยความปีติสุข แม้จะรับรู้ดีว่าบุตรชายตนมีพรสวรรค์ที่มิมีผู้ใดเทียบได้ แต่เพียงไม่คาดว่าบุตรชายตนจะมีความสารถมากกว่าที่คิดเสียอีก ทั้งมีตำแหน่งเป็นเจ้าตำหนักกระบี่และอันดับหนึ่งในการแข่งขันหลอมโอสถ
ในใจพวกเขาเพลานี้ อันแน่นด้วยความสุขมากล้นอย่างบอกไม่ถูก
“เสี่ยวเทียน แม้เจ้าจะเป็นนักปรุงโอสถและผู้อาวุโสตำหนักกระบี่ แต่เงินมากมายจำนวนมหาศาลเช่นนั้น ลูกคงต้องลำบากมากเลยใช่หรือไม่” หยางเฉารีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หยางเสี่ยวเทียนแย้มยิ้มและกล่าวว่า “เพื่อครอบครัวเรา ไม่ลำบากเลยท่านพ่อ ส่วนนี่คือเงินทั้งหมดที่ข้าได้จากการหลอมโอสถแล้วนำไปขาย”
หยางเฉาและหวงอิ๋งน้ำตาไหล แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะกล่าว หยางเสี่ยวเทียนก็พลันหยิบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ออกมาสองเม็ด จากนั้นกล่าวว่า
“ท่านพ่อท่านแม่ นี่คือโอสถที่ข้าหลอมได้ในตอนนี้ ต่อไปพวกท่านสามารถกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์เพื่อฝึกฝนได้ และอย่าได้ห่วงสิ่งใดอีกเลย”
“นี่มัน โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์” หยางเฉาและหวงอิ๋งอุทานเกือบจะพร้อมกันด้วยความประหลาดใจยิ่ง
ทั้งสองมองไปยังหยางเสี่ยวเทียน ก่อนลดสายตาลงมามองโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ที่วางอยู่บนมือเขาในขณะนี้ มองขึ้นแล้วลงเช่นนี้อยู่สองสามหน
นี่เป็นโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์มิใช่หรือ ไฉนบุตรชายเขาจึงยื่นโอสถล้ำค่าให้เช่นนี้
“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านมิต้องเป็นกังวล เพราะว่าข้าสามารถหลอมมันขึ้นเมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ พวกท่านรับไปเถิด” หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขณะยื่นให้ เขารู้ดีว่าบิดามารดาของเขากำลังกังวลเรื่องใดอยู่
หลังได้ฟังวาจาเช่นนั้นของบุตรชายตน จิตใจของหยางเฉาและหวงอิ๋ง ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสำราญใจจนหาที่สุดมิได้ คล้ายดั่งว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความฝันที่เกิดขึ้นจริง
นานมากแล้ว ที่ทั้งสองนั้นมิเคยได้สัมผัสความสุขราวกับอยู่ในห้วงความฝันเช่นนี้ และยิ่งไปกว่านั้นความสุขอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นสิ่งที่บุตรชายของพวกเขาเป็นผู้มอบให้ ความทุกข์ยากและความเจ็บปวดในใจ ที่สั่งสมไว้ตั้งแต่อยู่หมู่บ้านสกุลหยาง บัดนี้ถูกปัดเป่าจนมลายหายสิ้น
ยามนี้ พวกเขามองบุตรชายตนผู้อยู่เบื้องหน้า ช่างไม่คล้ายกับบุตรชายพวกเขาที่วิ่งเล่นอยู่ในหมู่บ้านสกุลหยางเมื่อสองสามเดือนก่อน เพราะหยางเสี่ยวเทียนผู้ซึ่งสามารถหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์คนนี้ ดูเป็นผู้ใหญ่และจริงจังกว่าในตอนนั้นมาก
หยางเสี่ยวเทียนไม่แปลกใจกับอากัปกิริยาของบิดามารดาเขาในตอนนี้แต่อย่างใด เขายังรู้ด้วยว่าทั้งสองยังต้องการเวลาเพื่อแยกแยะทุกสิ่ง ที่พวกเขารับรู้เรื่องราวต่างๆ อย่างกะทันหันในวันนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากฝึกฝนในธาราโอสถพันปี เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์สำเร็จ ตอนนี้เขาน่าจะสามารถหลอมโอสถขั้นมหาสมบัติระดับนิรันดร์ได้แล้ว
ในตอนกลางดึกของคืนวันนี้
หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มฝึกฝนทักษะเวทย์
เพราะเขาเป็นวิญญาจารย์ขั้นราชันยุทธ์ ซึ่งปราณแท้ของเขาก่อนหน้าได้รวมเป็นแก่นแท้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ตอนนี้เขาสามารถฝึกฝนทักษะเวทย์ได้แล้ว
ทักษะเวทย์มีพลังอำนาจสูงเกินกว่าจะนำมาเปรียบเทียบวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ทักษะเวทย์นั้น มันมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอยู่ แบ่งออกเป็น ระดับนักเวทย์ ระดับจอมเวทย์ และระดับมหาจอมเวทย์ซึ่งฝึกฝนยากที่สุด บางคนฝึกฝนมันอย่างหนักตลอดหลายปีก็ยังมิอาจบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยได้
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขั้นราชันยุทธ์หลายคน ที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตก็มิอาจฝึกฝนทักษะระดับมหาจอมเวทย์จนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบได้ ไม่ต้องกล่าวถึงขั้นวรยุทธไร้เทียมทานเลยด้วยซ้ำ
ในบรรดาคัมภีร์เวทย์ที่เฉาชุ่นทิ้งไว้นั้น มีทักษะระดับมหาจอมเวทย์อยู่สิบเอ็ดเล่ม
หยางเสี่ยวเทียนจึงตัดสินใจฝึกฝนทักษะระดับมหาจอมเวทย์ ที่เรียกว่า “หมื่นปราณกระบี่” เป็นทักษะแรก
ในบรรดาวรยุทธที่ปรากฏมีนั้น สิ่งที่เขาชอบมากสุดคือวรยุทธกระบี่
ทักษะเวทย์ทั้งสิบเอ็ดประการที่วางอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ทักษะเวทย์หมื่นปราณกระบี่แข็งแกร่งที่สุด
พลังของทักษะเวทย์หมื่นปราณกระบี่ หากฝึกฝนมันจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทาน มันอาจสยบทั่วทั้งสวรรค์และโลก ด้วยพลังอันมหาศาลที่มิอาจคาดเดาได้
หยางเสี่ยวเทียนเปิดอ่านคัมภีร์เวทย์หมื่นปราณกระบี่ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเริ่มศึกษามันทีละหน้าอย่างถี่ถ้วน หลังจากอ่านจบทั้งเล่มแล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็จดจำเนื้อหาทั้งหมดได้