บทที่ 200 ขั้นจักรพรรดิยุทธ์!
เพราะความแค้น มันจึงหวังฆ่าหยางเสี่ยวเทียนด้วยพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งสุดของมัน ให้เด็กน้อยเบื้องหน้าดับสิ้นในคราเดียว
“ดาบคลั่งจันทราคราม!” มันคำราม นัยน์ตาเปี่ยมด้วยจิตสังหารพร้อมทุ่มพละกำลังทั้งหมดที่มันมี
แต่ในเวลานี้ แสงสว่างสีเขียวหม่นน่าพรั่นพรึง พุ่งพล่านลอยขึ้นเหนือนภายามมืดมิดจากไม้เท้าสภาพทรุดโทรม ที่อูฉีกำลังโบกสะบัดในมืออันโรยรา
ส่งโถมปะทะกับปราณดาบคลั่งจันทราครามจนสลายสิ้น พร้อมพุ่งกระทบหน้าอกของเจ้าผู้นำพรรคดาบโลหิตทันที
ตัวมันที่ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ กระเด็นหล่นกระแทกพื้น ครั้นถูกปราณสีเขียวหม่นจากไม้เท้าอูฉี ชัดทะลวงถึงตัวมันแม้สวมชุดเกราะซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณ แต่กลับไร้ประโยชน์ มิต่างอันใดกับสวมอาภรณ์ธรรมดา
สีหน้ามันขณะมองดูอูฉีเพลานี้ ตระหนกกลัวจนเสียขวัญ “เจ้า จักรพรรดิยุทธ์!”
ร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าอูฉี ไร้ซึ่งความรู้สึกใดนอกจากความเยือกเย็นประดับยังแววตา
ระหว่างเขาทุ่มไม้เท้าโทรมๆ ในมือกระแทกพื้น ทันใดนั้น สายลมหนาวจากทั่วสารทิศ พลันหมุนวนก่อเป็นพายุน้ำแข็งสีเขียวเข้มขนาดใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ วาดแผ่กระจายออกไปราวระลอกคลื่นหลังเขาโบกสะบัดชี้ยังเบื้องหน้า
บรรดาลูกสมุนทั้งหมดของพรรคดาบโลหิต จมอยู่ภายใต้พายุเยือกแข็งสีเขียวเข้ม พร้อมถูกแช่เป็นประติมากรรมน้ำแข็งทีละคน
เจ้าผู้นำพรรคดาบโลหิต ได้เพียงนอนฟุบเงยหน้ามองดูปราณน้ำแข็งสีเขียวเข้ม กวาดเข้ามาที่มันด้วยสีหน้าหวาดกลัว มันรีบยันตัวลุกขึ้นพร้อมเหวี่ยงดาบในมือฟันออกไปป้องกันสุดกำลังเพื่อฝ่าหนี
แต่ทันทีหลังมันหันตัวเตรียมวิ่ง ปราณน้ำแข็งก็กวาดผ่านตัวมันไป จนยืนแข็งนิ่งราวรูปปั้นในท่าก้าวหนีไม่ต่างจากพี่น้องของมันทุกคนเพลานี้
กระบี่นับร้อยเหินกลับมาเบ่งบานในมือหยางเสี่ยวเทียน ก่อนเขาดีดนิ้วส่งพวกมันทั้งหมด พุ่งทะลวงพรรคดาบโลหิตที่กลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งขณะนี้ แตกกระจายเป็นก้อนน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงผู้นำมันด้วย
เจ้าผู้นำพรรคดาบโลหิตถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ปล่อยเหล่าผู้อาวุโสอีกห้าคนต้องตะลึงตาค้างกันไปจนขนลุกกร้าวทั้งตัว
“นั้นมันขั้น ขั้นจักรพรรดิยุทธ์! หนีเร็ว!” ทั้งห้าพร้อมเคลื่อนตัวหนีด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดสู้อีกต่อไป
ขณะพวกมันกำลังคิดหลบหนี มีหรือที่อูฉีจะยอมปล่อย เขาชี้ไม้เท้าในมือ พุ่งลำแสงออกไปหามันทั้งห้าจนร่างลอยกระเด็น ปลิวไปคนละทิศละฝั่ง
เมื่อมันทั้งห้าตกลงกระแทกพื้น ศีรษะก็ถูกบดละเอียด เหลือเพียงร่างเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์
ตอนนี้ ฝ่าเท้าของคนทั้งสามเปื้อนเปรอะด้วยเลือดอันโสมม ขณะยืนอยู่ท่ามกลางซากศพกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นหุบเขา
ครั้นสายลมพัด ปัดกลุ่มเมฆที่บดบังแสงนวลจากดวงจันทร์อันลอยเด่นอยู่กลางนภากาศ ความสว่างก็เผยสาดส่องกระทบร่างไร้วิญญาณนับพัน นอนเกลื่อนกลาดขณะส่งกลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
“เหวินจิงเทา” หยางเสี่ยวเทียนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาขณะยิ้มเยาะ
จากปากของเจ้าผู้นำพรรคดาบโลหิต มันทำเขารู้ได้ทันทีว่าเหวินจิงเทาจากสมาคมการค้าเฟิงยวิน เป็นผู้เปิดเผยข้อมูลเขาให้พวกมันทราบ ด้วยกำลังร่วมมือกับพรรคดาบโลหิตคิดทำการณ์ใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของกันและกัน
ซึ่งข่าวสาร หลังพวกเขาออกจากเมืองหลวง เหวินจิงเทาและเหวินซิ่วหลานก็เป็นผู้ส่งแจ้งให้พวกมันเฝ้าคอยติดตาม กระทั่งพบเส้นทางระหว่างพวกเขากำลังมุ่งกลับ
ต่อจากนั้น หลังหยางเสี่ยวเทียนค้นเศษซากร่างเจ้าผู้นำอยู่ครู่ เขาก็พบกริชเทียนหลงอีกเล่มบนตัวมัน พร้อมเก็บใส่ในแหวนเตาหลอม เดินก้าวข้ามเศษสวะไปรวมกลุ่มกับคนทั้งสองอย่างไม่แยแส
ก่อนจากไป หยางเสี่ยวเทียนยังไม่ลืมที่จะกำจัดซากศพทั้งหมดของพรรคดาบโลหิต เขาเหยียดฝ่ามือไปเบื้องหน้า ปล่อยเปลวไฟดาราพุ่งลอยขึ้นสูงบนท้องฟ้า ก่อนพวกมันตกลงมา ผลาญเศษซากน้อยใหญ่ทุกชิ้นจนเป็นเถ้าธุลีปลิวหายไปกับสายลมอ่อน
สถานที่แห้งแล้งยังหุบเขา ไม่ปรากฏแม้แต่หยดเลือดสักหยด ครั้นถูกเปลวไฟดาราผลาญจนสิ้นราวกับมิเคยเกิดเหตุการณ์อันน่าสยดสยองก่อนหน้าขึ้น ดั่งมันหายไปหลังตื่นจากฝัน
ทั้งสามพร้อมมุ่งหน้ากลับเมืองเสินเจี้ยนด้วยความรีบเร่งเช่นเดิม
สำหรับเหวินจิงเทาและเหวินซิ่วหลาน พวกเขาจะถูกตัดสินชะตาภายในสามเดือน หลังหยางเสี่ยวเทียนต้องกลับมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง เมื่อการแข่งขันระดับสำนักเริ่มขึ้น
ส่วนตอนนี้ เขายังมีสิ่งที่ต้องให้ความสนใจมากกว่าเรื่องจัดการสองคนนั้น คือรีบกลับไปที่เมืองเสินเจี้ยนหาคนที่ตนรักทั้งสาม
หนึ่งวันต่อมา
ที่สุด หยางเสี่ยวเทียนก็กลับถึงเมืองเสินเจี้ยน และได้พบกับบิดามารดาพร้อมน้องหญิงผู้น่าเอ็นดู ซึ่งทั้งสามก็กำลังเฝ้ารอการกลับมาของเขาเช่นกัน
หยางหลิงเอ๋อร์น้ำตาไหลพรากทันทีที่นางเห็นหน้าหยางเสี่ยวเทียน “พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมาสักที”
แต่ขณะที่นางยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นั้น มือน้อยๆ ก็ยังไม่วายยกลูกกวาดที่จางจิงหรงซื้อให้ขึ้นกิน
หยางเสี่ยวเทียนเห็นท่าทีเช่นนั้น ก็พลันเผยยิ้มด้วยอดเอ็ดดูไม่ไหว เขาเข้าโอบกอดนาง พลางใช้มือปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าหยางหลิงเอ๋อร์อย่างสงสาร เด็กน้อยคนนี้ชื่นชอบของหวานเป็นพิเศษเสียจริง
เวลานี้เอง จู่ๆ หยางหลิงเอ๋อร์ก็ดึงหยางเสี่ยวเทียน ไปยังมุมหนึ่งภายในโถงแล้วเปิดปากถามอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ จวนหลังนี้ใหญ่กว่าจวนตระกูลหยางเสียอีก มันเป็นของท่านจริงๆ ใช่หรือไม่”