ตอนที่แล้วบทที่ 18 ผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20 เวทแปลงโฉม

บทที่ 19 แสงศักดิ์สิทธิ์


โรคระบาดครั้งนี้ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่าหกสิบคน ซึ่งถือเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงสำหรับเมืองใต้ดินที่มีประชากรเพียงห้าพันกว่าคน และความสูญเสียเช่นนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ในอีกสามสี่วันข้างหน้า จำนวนผู้เสียชีวิตจะพุ่งสูงขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างแน่นอน

หากแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ อาจมีผู้เสียชีวิตถึงหนึ่งถึงสองพันคน ฟิลินเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ แต่ก็ไม่มีวิธีแก้ไขที่ดี จำนวนพ่อมดนักบำบัดในเมืองใต้ดินเดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้ว จึงไม่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ทั้งหมด ได้แต่มองดูผู้ป่วยตายจากโรคภายใต้การกักกันอย่างช่วยไม่ได้ หรือไม่ก็ออกไปข้างนอกแล้วถูกโครงกระดูกฆ่าตาย

ให้ตายอยู่บ้านได้ แต่ให้ออกไปตายข้างนอกไม่ได้ ฟิลินไม่สามารถยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้ เขายังคงแยกแยะความสำคัญได้ ต่อให้ต้องตายเป็นพันสองพันคน ก็ห้ามออกจากบ้าน อย่างน้อยก็ยังสามารถรักษาชีวิตคนที่เหลืออีกสามสี่พันคนไว้ได้

กระนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของโครงกระดูกในบางพื้นที่ ในขณะที่มันวิ่งไล่ล่าผู้ติดเชื้อ ผู้ติดเชื้อเหล่านั้นไม่เพียงแต่หนีตายเท่านั้น แต่ยังวิ่งหนีเข้าไปในวิหารแห่งความไม่ตายอีกด้วย ทหารโครงกระดูกของฟิลินถูกขับไล่โดยอังเกอร์

ฟิลินตกใจมาก จึงรีบมาที่วิหารในทันที แน่นอนว่าไม่ได้มาเพื่อกล่าวโทษ แต่เป็นการมาขอโทษ ผู้ได้รับเชื้อได้หนีเข้าไปในวิหารแห่งความไม่ตาย แต่ไม่มีอันตรายอะไรกับผู้ที่อาศัยในวิหาร เนื่องจากภายในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตสักหนึ่งชีวิต จึงไม่ต้องกลัวการแพร่ระบาดของโรค แต่ท่านผู้พิทักษ์ห้ามปรามทหารโครงกระดูกของเขาในขณะที่ไล่ล่าผู้ติดเชื้อ นี่เป็นสัญญาณว่าท่านกำลังโกรธหรือไม่?

ฟิลินมาถึงแต่กลับไม่พบใคร กลับเห็นผู้ป่วยที่หนีหายไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังนอนหลับสนิทด้วยสีหน้าแดงก่ำ

ฟิลินตกใจจนหน้าซีด ทันใดนั้นก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา ท่านผู้พิทักษ์รักษาอาการท้องร่วงของผู้ป่วยให้หายแล้ว

ฟิลินรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที ทำไมตัวเองถึงไม่ได้คิดที่จะขอความช่วยเหลือจากท่านผู้พิทักษ์เลย? หากจะมีใครในเมืองใต้ดินที่สามารถกำจัดโรคระบาดครั้งนี้ได้ ท่านผู้พิทักษ์น่าจะเป็นความหวังที่ใหญ่ที่สุด

ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดโรคระบาดในเมืองใต้ดิน มาตรการตามธรรมเนียมก็คือการกักกัน ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติตามธรรมเนียมในทันทีที่เกิดเหตุ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันนี่สิ มีท่านผู้พิทักษ์อยู่ด้วย

รออยู่นานแสนนาน ในที่สุดอังเกอร์ก็กลับมาพร้อมกับกะโหลกวัวในอ้อมแขน

"เอ่อ ท่านไปขุดหลุมศพมาหรือเจ้าข้า? ข้าเก็บโครงกระดูกดีๆ ไว้บ้าง เดี๋ยวจะนำมาถวายให้" ฟิลินเข้าใจผิดอย่างชัดเจน เอ่ยปากอย่างเอาใจ แล้วยังฉวยโอกาสขอต่อทันที "ท่าน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ได้โปรดช่วยเมืองใต้ดินด้วยเถิด โปรดขายยาวิเศษที่ใช้รักษาเด็กน้อยคนนั้นให้ข้าด้วยเถอะ"

พูดไปพลาง ฟิลินก็ถวายพลังวิญญาณที่ตนเก็บสะสมมาได้ทั้งหมดในช่วงนี้ ซึ่งน่าจะมีราวสี่สิบกว่าอัน

นับตั้งแต่ใช้พลังวิญญาณแลกอาหารจากอังเกอร์ได้ ฟิลินก็พยายามหาพลังวิญญาณทุกวิถีทางในช่วงนี้ โดยขนเอาของในบ้านตัวเองและปีศาจอมตะระดับสูงในเมืองมาเกลี้ยงหมด

พลังวิญญาณสามารถเกิดได้จากการตกผลึกอย่างจงใจของปีศาจอมตะที่มีสติปัญญาเท่านั้น โดยจำเป็นต้องแลกด้วยการเสียสละพลังวิญญาณของตนเอง การตกผลึกหนึ่งอันต้องพักผ่อนเจ็ดแปดวัน ถ้าตกผลึกออกมาหลายอันพลังวิญญาณก็จะตกลงไปมาก ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนจึงจะฟื้นตัวกลับมาได้

ถ้าการใช้พลังวิญญาณแลกกับสิ่งที่ได้มาคุ้มค่าก็ไม่เป็นไร แต่ฟิลินเอาไปซื้ออาหารที่ปีศาจอมตะใช้ประโยชน์ไม่ได้ แบบนี้ทุกคนก็ไม่พอใจแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมต้องเสียสละวิญญาณของตัวเองเพื่อซื้ออาหารให้มนุษย์ด้วย?

ฟิลินต้องพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ว่าประชากรเป็นรากฐานของสังคม มนุษย์เป็นแหล่งกำเนิดแรงผลิต หากมนุษย์ตายหมดและเหลือแต่ปีศาจอมตะ เมืองใต้ดินนี่ไม่กลายกลายเป็นสุสานหรอกหรือ กว่าจะกล่าวให้พวกปีศาจอมตะเหล่านั้นให้สงบลงได้กินเวลานานมาก

รวบรวมเงินซื้ออาหารได้แล้ว แต่ก็มาเจอกับโรคระบาดอีก ท่านผู้พิทักษ์มีวิธีรักษาโรคระบาด คราวนี้ไม่ต้องคิดแล้ว ต้องเสียเลือดเนื้อแน่ๆ การแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมเป็นกฎของท่านผู้พิทักษ์เสมอมา อาหารยังแพงขนาดนี้ สิ่งที่ใช้ช่วยชีวิตคนต้องแพงกว่านี้แน่ๆ

"ไม่เอาเงิน" อังเกอร์ปฏิเสธพลังวิญญาณ เขายกถังน้ำรดมอสส์มาเองแล้วเริ่มใช้เวทย์มนต์ชำระล้าง

"ไม่เอาเงินเหรอ? อะ อา!? แส...แสงศักดิ์สิทธิ์!" ฟิลินพึ่งตกใจที่อังเกอร์บอกว่าไม่เอาเงิน ไม่นานนักเขาก็ต้องตกใจกับแสงแห่งเวทย์มนต์ชำระล้างที่อยู่ในมืออังเกอร์อีกครั้ง

อังเกอร์ไม่สนใจเขา ชำระน้ำให้บริสุทธิ์เสร็จแล้วก็ชี้ไปที่ถัง "อันนี้ รักษาโรคระบาด"

ฟิลินชี้ไปที่ถังน้ำ "แสงศักดิ์สิทธิ์" แล้วก็ชี้ไปที่มืออังเกอร์ "แสงศักดิ์สิทธิ์?" สุดท้ายก็มองมาที่อังเกอร์ "แสงศักดิ์สิทธิ์!"

แสงศักดิ์สิทธิ์ฝังรอยเป็นเงาดำในวิญญาณของปีศาจอมตะ แม้แต่ฟิลินที่เป็นจอมมารแห่งแม่มดมานับพันปี ยังตกใจจนพูดได้แค่ "แสงศักดิ์สิทธิ์!" เท่านั้น

อังเกอร์คิดว่าเขาสนใจแสงศักดิ์สิทธิ์ จึงแบมือออก เวทย์มนต์ชำระล้างก่อตัวรวมอยู่บนมือ เห็นเป็นกลุ่มแสงศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ที่ถูกอังเกอร์ถือไว้ในมือ

ฟิลินยกมือขึ้นป้องกันร่างกายโดยอัตโนมัติ แต่อีกไม่นานเขาก็พบว่ากลุ่มแสงศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวแต่อย่างใด

ในสถานีผ่านโลกในโลกเก่า มีผู้แทนของศาสนาแห่งแสงสว่างเข้ามาอาศัยอยู่ แต่พวกยโสโอหังเหล่านั้นแม้จะต้องมาอยู่ในพื้นที่ของจักรพรรดิ ก็ยังไม่ระมัดระวังตัวซ่อนตัวปะปนผู้คน แต่กลิ่นอายที่น่ารังเกียจนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่หายไปเลย

แต่แสงศักดิ์สิทธิ์บนมือของอังเกอร์ไม่มีกลิ่นอายที่น่ารังเกียจและไม่สบายตัวเช่นนั้นเลย

ฟิลินคลายมือ ค่อยๆ เข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง พบว่ามันไม่ได้ทำร้ายเขาจริงๆ และในที่สุดก็อดใจไม่ไหวแล้วใช้นิ้วแหย่เข้าไปในกลุ่มแสง

เห็นเพียงว่าสิ่งสกปรกบนนิ้วมือถูกชำระจนหมด พอดึงออกมาดู นิ้วก็ขาวขึ้นไปหลายส่วน เหมือนขาไก่ที่เพิ่งลอกหนังและล้างเสร็จ ตัดกันอย่างชัดเจนกับส่วนอื่นๆ ของนิ้ว

ฟิลินพับมือเข้าไปในชุดคลุมอย่างเขินอาย น่าอับอายเกินไป ในฐานะเจ้าแห่งแม่มด การอาบน้ำเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนื้อหนังที่เปียกน้ำจะเน่าเปื่อย แม้จะใช้เวทมนต์ชะล้าง ก็ทำได้แค่บริเวณผิวหนังเท่านั้น ไม่สามารถชะล้างส่วนที่ซึมเข้าไปในเซลล์ได้ ได้แต่ปล่อยให้ลมเป่าแห้ง

โอ้ ยังมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอีก คือการฝังตัวลงไปในดินที่สงบ

ตามปกติ แม่มดทำความสะอาดร่างกายกันยังไง?

เหมือนการดูแลรักษาเครื่องหนัง ก็แค่ปัดฝุ่น เช็ดถู แล้วก็ทาน้ำมันหนังหน่อย น้ำมันขนแกะให้ผลดีที่สุด

จริงๆ แล้ววิธีทำความสะอาดดูแลรักษาเหล่านั้นล้วนไม่สามารถทำให้ร่างกายสะอาดหมดจดได้ โดยเฉพาะปีศาจแม่มดที่มีชีวิตมานับพันปี เพียงแค่คราบเก่าที่เกาะหนาเตอะ ก็ทำให้มองไม่เห็นสีเดิมแล้ว

แต่ตอนนี้ดีแล้ว ด้วยเวทย์มนต์ชำระครั้งเดียว คราบพันปีก็ถูกล้างจนหมดสิ้น ฟิลินเพิ่งรู้ว่าที่แท้ตัวเองสกปรกขนาดไหน น่าอับอายจริงๆ

"ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ต้องรักษาโรคระบาด ไปบอกบอกคนอื่นมาด้วย" อังเคิลชี้ไปที่เปลวไฟวิญญาณผู้ไม่ตายบนแท่นบูชา เพียงแค่พลังวิญญาณที่ผู้ศรัทธาถวายในการสักการะทุกวันก็มากพอให้อังเกอร์มองข้ามพลังวิญญาณจำนวนนี้แล้ว

ฟิลินจากไปด้วยความซาบซึ้งใจ ตอนแรกเขาเข้ามาด้วยความตั้งใจว่าลองดูเท่านั้น ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะทำให้เขาดีใจเกินคาด

แต่ถึงท่านผู้พิทักษ์จะไม่เอาเงิน เขาเองก็ไม่ควรจะไม่แสดงน้ำใจตอบแทน นึกถึงโครงกระดูกวัวที่อังเคิลอุ้มกลับมา คงไม่ได้เอามาต้มซุปแน่ๆ แต่คงมีประโยชน์อย่างอื่น

ดังนั้นฟิลินจึงให้คนขนกระดูกล้ำค่าของตนที่เก็บสะสมเอาไว้บางส่วนไปยังปราสาทแห่งความไม่ตาย

ขณะที่อังเคิลยังยืนงงอยู่กับกองกระดูกไม่รู้ว่าคืออะไร ก็ปรากฎศพเวทย์สาวสวยผู้สะอาดสะอ้านก็ลากฟิลินพรวดพราดเข้ามา

เธอเช็คให้แน่ว่าอังเกอร์คือคนที่เธอตามหาจริงๆ แล้วก็ดึงฟิลินมาตรงหน้า ชี้ไปที่นิ้วที่มีสีแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ถามอย่างกระหายใคร่รู้ "ท่าน...ท่านทำได้อย่างไรกัน? สอนข้าได้ไหม? ข้ายินดีถวายสิ่งที่ฉันมีทั้งหมด"

สิ้นสุดคำพูดของหญิงสาว เปลวไฟวิญญาณอันใหญ่ก็ลอยออกมา ซึมเข้าไปในร่างอังเกอร์ แล้วก่อตัวเป็นสัญลักษณ์ประหลาดอีกอันหนึ่งบนจิตวิญญาณ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด