Chapter 4 ฉันจะไม่ยอมไปไหน
ตอนที่ 4
ตระกูลจี้ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว แม้ว่าจี้หยวนหยวนจะเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียว แต่คนในตระกูลจี้ก็ไม่ได้เอาอกเอาใจเธอเลย ที่จี้เจียนกั๋วต้องการพาตัวจี้หยวนหยวนไปไม่ใช่เพราะเขาต้องการที่จะดูแลเธอ เขาทำเพียงเพราะเขาต้องการทำให้หลี่ซูรู้สึกเจ็บปวดก็เท่านั้น
โดยธรรมชาติแล้ว จี้หยวนหยวนเป็นคนจิตใจอ่อนโยน คำพูดดีๆ เพียงสองสามคำจากจี้เจียนกั๋วทำให้เธอตัดสินใจที่จะตามไปอยู่ฝ่ายเขาแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จี้หยวนหยวนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
หากความจำของเธอยังดีอยู่ ไทม์ไลน์ของเธอในชาติที่แล้ว จี้เจียนกั๋วคงจะต้องมารับเธอในวันรุ่งขึ้น
เหตุผลที่เธอเป็นลมในวันนี้ก็เพราะเธอทะเลาะกับพี่ชายสองคนของเธอ จีซีอังแย่งขนมของเธอไป ดังนั้นเธอจึงอยากกลับไปที่บ้านของจี้เจียนกั๋วด้วยความโมโห จี้ซีซวนและจี้ซีอังก็พยายามรั้งเธอไว้และไม่ยอมให้เธอจากไป แต่เธอจงใจพยายามสลัดพี่ชายทั้งสองออก แต่มันมากเกินกำลังของเธอ สุดท้ายเธอล้มลงไปอย่างแรงและหัวของเธอกระแทกไปที่พื้น เธอหมดสติไปหลังจากนั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ เธอรู้ว่ามันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้นอกจากทบทวนเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น
ในชาติก่อนของเธอ จี้เจียนกั๋วแต่งงานใหม่หลังจากแยกทางกับหลี่ซูได้ราว 6 เดือน คนที่เขาแต่งงานใหม่ด้วยคือแม่ของเสิ่นหลิงซู่
หลังจากแต่งงานใหม่ จี้เจียนกั๋วก็ลาออกและเข้าสู่วงการธุรกิจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะโชคดีขนาดนี้ ทุกสิ่งที่เขาลงทุนไปก็ทำกำไรอย่างมหาศาลใช้เวลาเพียงปีเดียว เขาตัดสินใจย้ายออกจากหมู่บ้านทั้งครอบครัวย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปอยู่ที่เมือง จี้หยวนหยวนแทบไม่ได้เจอหลี่ซูและคนอื่นๆเลย จี้เจียนกั๋วเจตนาที่จะขัดขวางพวกเขาทุกวิถีทาง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ชีวิตของจี้เจียนกั๋วหลังจากแต่งงานใหม่ เขาก็ไม่มีลูกอีกต่อไป ไม่แน่ชัดว่าเขาไม่ต้องการหรือไม่สามารถที่จะมีลูกได้อีก
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันทำให้ชีวิตในตระกูลจี้ของเธอไม่ได้เลวร้ายกับเธอนัก
เมื่อเธออายุยี่สิบปี เธอแต่งงานกับฉินมู่เชิงภายใต้การจัดแจงของจี้เจียนกั๋ว
ตระกูลฉิน เป็นตระกูลที่ร่ำรวยแห่งเมือง B ภูมิหลังของพวกเขานั้นดีกว่าตระกูลจี้เป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าจี้เจียนกั๋วสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลฉินได้อย่างไร แต่สุดท้ายพวกเขาก็อนุญาตให้เธอแต่งงานเข้ามาเป็นสมาชิกของตระกูลเรียบร้อยแล้ว
เมื่อนึกถึงฉินมู่เชิง จี้หยวนหยวนก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง
ชีวิตก่อนหน้านี้ ชีวิตแต่งงานของพวกเขาดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและจบลงภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี
เฉินมู่เชิงเป็นคนมีรูปร่างและหน้าตาดีมาก อีกทั้งยังมีอุปนิสัยที่อ่อนโยนช่างเอาอกเอาใจผู้อื่น ดังนั้นจี้หยวนหยวนจึงตั้งความหวังต่อฉินมู่เชิงสูงมากในตอนแรก เพราะด้วยบุคลิกของเธอ เธอคงไม่ยอมแต่งงานเพื่ออาชีพการงานของจี้เจียนกั๋วอย่างแน่นอน แม้ว่าจะบังคับขู่เข็ญเธออย่างไรก็ตาม เธอก็พร้อมจะยอมแลกด้วยชีวิต หากเขาไม่ใช่คนที่เธอเลือก
ฉินมู่เชิงเขาเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยมีคำหวานจากปากเขา และยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่พวกเขาแต่งงานได้ไม่นาน ผู้นำของตระกูลฉินก็เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ภาระของบริษัททั้งหมดจึงตกอยู่ที่ฉินมู่เชิง
ดังนั้นเขาจึงยุ่งมากและไม่ค่อยมีเวลาให้กับเธออีกเลย เจ็ดในสิบวันของเขาต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงสังคม
ความรู้สึกของจี้หยวนหยวนในตอนนี้เปลี่ยนจากความคาดหวังกลายเป็นความอึดอัดและคับแค้นใจอย่างรวดเร็ว พวกเขาแต่งงานกันได้ไม่ถึงสามปีก็แยกทาง
หนึ่งปีต่อมาหลังจากการหย่าร้าง เธอได้รู้จักกับจ้าวเทียนหัวภายใต้การแนะนำของเสิ่นหลิงซู่
จ้าวเทียนหัวและฉินมู่เชิง มีนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาเก่งในการยกยอเอาใจผู้อื่น คำพูดจาหวานๆไพเราะจากเขาก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเคลือบแคลง
จี้หยวนหยวนไม่เคยสัมผัสความรู้สึกของการถูกกุมไว้ในมือจากใครบางคน ดังนั้นเธอจึงตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดาย
หลังจากที่เธอโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็กลับมาติดต่อกับหลี่ซูและพี่ชายทั้งสองคนของเธออีกครั้ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ค่อยสนิทใจกันมากนัก
ในเวลานั้นหลี่ซูมีอาการป่วย แต่เมื่อเธอรู้ว่าลูกของเธอกำลังจะแต่งงานใหม่กับจ้าวเทียนหัว เธอก็รีบโทรหาทันทีเพื่อโน้มน้าวให้เธอเปลี่ยนใจ หลี่ซูไม่เคยชอบจ้าวเทียนหัวเลย เธอรู้สึกว่าจ้าวเทียนหัวไม่ได้รักลูกสาวของเธอจริงๆ
แต่ในเวลานั้นดูเหมือนเธอจะถูกครอบงำ เธอยืนกรานเด็ดขาดที่จะแต่งงานกับจ้าวเทียนหัวและปฎิเสธที่จะฟังคำทักท้วงไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม เธอก็ยังพูดจาแย่ๆ หลายอย่างกับหลี่ซูด้วย
ด้วยความเจ็บปวดและคับแค้นใจ อาการป่วยของหลี่ซูก็ยิ่งแย่ลงและเธอก็จากไป หลังจากที่พี่ใหญ่และพี่รองรู้เข้าก็ทำโทษเธอเป็นครั้งแรก
ในงานศพของหลี่ซู คือครั้งสุดท้ายที่เธอได้พบกับฉินมู่เชิง
เขาผอมลงไปมาก สายตาที่เขามองมาที่เธอช่างแสนเย็นชา
ในเวลานั้น จี้หยวนหยวนไม่เข้าใจในปฏิกิริยาของเขา แต่เมื่อเธอนึกทบทวนดีดีจึงได้เข้าใจ ฉินมู่เชิงคงจะรู้สึกผิดหวังในตัวเธอแล้วอย่างสิ้นเชิง
แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่เธอหายตัวไป ฉินมู่เชิงก็ยังคงตามหาตัวเธออย่างบ้าคลั่ง
ต่อมาหลังจากที่เธอได้แต่งงานกับจ้าวเทียนหัวตามที่เธอต้องการ เธอคิดเพียงว่าพวกเราแต่งงานกันด้วยความรัก แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการที่สมคบคิดกันระหว่างเสิ่นหลิงซู่กับจ้าวเทียนหัว ขณะที่เธอกำลังเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ลูกของจ้าวเทียนหัวอยู่ จ้าวเทียนหัวกับเสิ่นหลิงซู่ก็กำลังคิดแผนการเข้ายึดกิจการของจี้เจียนกั๋ว
สุดท้าย ตัวเธอเองที่เป็นต้นเหตุสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ใหญ่และพี่รอง คนหนึ่งเสียชีวิตในต่างแดน ในขณะที่อีกคนถูกตัดคอ แล้วเด็กน้อยคนนั้น เขาช่างไร้เดียงสาขนาดไหน!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จี้หยวนหยวนเธอทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ด้วยความเสียใจ
โชคดีที่สวรรค์ยังให้โอกาสเธอแสดงความเสียใจออกมา
แต่เด็กน้อยคนนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ล้างบาปกับเรื่องนี้ สีหน้าของเธอค่อยๆ เศร้าหมองลงเมื่อนึกถึง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ถ้าโดยธรรมชาติแล้วเธอไม่สามารถที่จะมีเขาได้ในชีวิตนี้ ชะตากรรมแม่-ลูกของพวกเขานั้นสั้นนัก ใช้เวลาร่วมกันเพียงไม่กี่เดือน
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ แม่, พี่ใหญ่ และพี่รองของเธอยังคงมีชีวิตอยู่ เธอยังมีโอกาสที่จะชดเชยให้กับพวกเขา
ส่วนฉินมู่เชิง…
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อจี้หยวนหยวนตื่นขึ้น หลี่ซูก็กำลังเก็บข้าวของของเธออยู่
เสื้อผ้าและของเล่นทั้งหมดของเธอถูกบรรจุลงในกระเป๋าผ้าลายสก็อตสีแดง มีจี้ซีซวนและจี้ซีอังยืนข้างๆกันและเฝ้าดูด้วยน้ำตานองหน้า
หลี่ซูเร่งเร้าอย่างช่วยไม่ได้ “เด็กๆ รีบไปกินข้าวเร็วๆเข้า กินเสร็จจะได้ไปอ่านหนังสือกันต่อ”
จี้ซีซวนและจี้ซีอัง สองคนนี้ หนึ่งในนั้นอายุจริงๆ คือ 11 ปี และกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ส่วนอีกคนอายุจริงๆ คือ 9 ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พวกเขาเกิดในยุคที่มีนโยบายการคุมกำเนิดที่เข้มงวดมาก ดังนั้นเมื่อจี้เจียนกั๋วลงทะเบียน เขาจำเป็นต้องรายงานว่าหนึ่งในนั้นมีอายุมากกว่าอายุจริงหนึ่งปี และอีกคนอายุน้อยกว่าอายุจริงหนึ่งปี ในสมุดทะเบียนบ้านจะถูกระบุว่าพี่น้องสองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน ส่วนจี้หยวนหยวนเป็นการตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน จึงยังไม่ได้มีชื่อในสมุดทะเบียนบ้าน
เมื่อพวกเขาย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถไปโรงเรียนเดิมได้ หลี่ซูกำลังคิดหาวิธีการที่จะย้ายทะเบียนบ้านของพวกเขามายังที่นี่ เพื่อที่จะได้เข้าเรียนโรงเรียนของที่นี่แทน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะทำให้สำเร็จ ขณะนี้จี้ซีซวนและจี้ซีอังทำได้เพียงเรียนรู้เองที่บ้านได้เท่านั้น
ทันทีที่หลี่ซูพูดจบ จี้ซีอังก็สังเกตเห็นว่าจี้หยวนหยวนลืมตาขึ้นแล้ว เขาถามด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวว่า “น้องเล็ก คุณให้รถคันนี้แก่ฉันได้ไหม? ฉันจะได้ดูมันเมื่อฉันคิดถึงคุณ”
จี้หยวนหยวนกลอกตามองบน “พี่เพียงแค่อยากได้มัน ไหนบอกว่าคิดถึงฉันไง”
จี้ซีอังชะงักไปครู่หนึ่งและดูเขินอายขึ้นเล็กน้อย “มันคงจะดีมากถ้าน้องไม่ไปจากที่นี่ เราจะได้เล่นด้วยกันทุกวันไง”
หลี่ซูพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “พอแล้วๆ ลูกทั้งสองคนรีบไปกินข้าวเถอะ”
จากนั้นเธอก็มองไปที่จี้หยวนหยวน “หยวนหยวน รีบลุกขึ้นเถอะ อีกไม่นานคุณพ่อจะมารับลูกแล้ว”
“แม่คะ หนูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” จี้หยวนหยวนโต้กลับทันที ทั้งสามคนในห้องต่างตกตะลึงกับเสียงที่ได้ยิน
จี้ซีอังเป็นคนแรกที่ตอบสนอง เขาถามอย่างมีความสุขว่า “จริงเหรอ? จะไม่ไปอยู่กับพ่อจริงๆเหรอ?”
จี้หยวนหยวนพยักหน้าราวกับว่าเธอแน่วแน่กับสิ่งที่พูดออกไป “แม่คะ เดิมทีหนูอยากไปอยู่กับพ่อเพื่อเป็นสายลับ แต่ตอนนี้หนูไม่อยากไปแล้ว” เธอพบข้อแก้ตัวแบบเด็กๆ สำหรับความโลเลในครั้งนี้
คำพูดแบบเด็ก ๆ ของจี้หยวนหยวนทำให้หลี่ซูหัวเราะทั้งน้ำตาออกมา เธอเอื้อมมือออกไปกอดจี้หยวนหยวน “ตราบใดที่หยวนหยวนไม่ต้องการทิ้งแม่ไป แม่ก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน”
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจี้ซีซวนและจี้ซีอังก็เข้ามากอดด้วย
เช้านี้หลี่ซูทำข้าวต้มเป็นอาหารเช้าและปรุงมันเทศเป็นกับข้าวอีกเล็กน้อย
หลี่ซูออกจากบ้านหลังนั้นมาตัวเปล่า ครอบครัวของเธอก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องผจญกับความยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม สามพี่น้องก็กำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อนี้
เมื่อมองดูเด็กน้องทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาของหลี่ซูก็แดงก่ำปกคลุมไปด้วยน้ำตา
เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าเธอจะไม่ขอเรียกร้องอะไรเลย ขอแค่มีลูกทั้งสามคนนี้อยู่กับเธอ หากจี้เจียนกั๋วตั้งใจที่จะแย่งพวกเขาไป เธอก็จะสู้กับเขาให้ถึงที่สุด