Chapter 10 ความฝันตั้งแต่วัยเยาว์
บทที่ 10
หลังอาหารเย็น จี้ซีอังแทบจะรอไม่ไหวที่จะเปิดกล่องของขวัญสองกล่องที่ฉินเสี่ยวหมิ่นมอบให้
“ว้าว แม่ มันเป็นขนมปังลูกพีช” จี้ซีอังพูดด้วยความประหลาดใจ
ในยุคนี้ขนมปังพีชเป็นสิ่งที่นิยมมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็ชื่นชอบ
หลี่ซูเงยหน้าขึ้นเพื่อดูและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าเพิ่งเปิดอีกกล่องหนึ่งนะ กล่องนี้เราจะส่งให้คุณตาและคุณยายคืนนี้”
แม้ว่า จี้ซีอังจะตะกละ แต่เขาเป็นคนมีน้ำใจต่อญาติของเขามาก เขาตอบตกลงทันที “เข้าใจแล้วฮะแม่”
หลี่ซูเห็นว่าดวงตาของจี้หยวนหยวนหรี่ลงจึงรีบพูดว่า "หยวนหยวนมานี่เร็ว มาให้แม่กอดและกล่อมลูกนอนนะจ๊ะ"
จริงๆแล้วจี้หยวนหยวนยังไม่อยากเข้านอน แต่ตอนนี้เธอยังเป็นเด็ก จึงเป็นช่วงที่ร่างกายของเธอต้องการเวลานอนมากๆ
ก่อนเข้านอน จี้หยวนหยวนตัดสินใจที่จะไม่บอกหลี่ซูและคนอื่นๆ เกี่ยวกับมิติพิเศษในตอนนี้
มันน่าจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับพวกเขาใช่ไหม? มันคงจะดีกว่าถ้าจะบอกเรื่องนี้กับพวกเขาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมในอนาคต
ไม่นานหลังเที่ยง จี้เจียนกั๋ว ก็มาถึงพร้อมกับซองจดหมายหนาๆในมือ
เมื่อเข้าไปในบ้าน เขาโยนซองหนาลงบนเตียงอิฐด้วยสีหน้านิ่งเฉย “นับสิ ห้าพันหยวน มากน้อยไม่เกินหนึ่งเซ็นต์”
หลี่ซูไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่หยิบซองจดหมายขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และเริ่มนับเงิน
มันคงจะป็นเงินที่ จี้เจียนกั๋ว เพิ่งเอาออกมา ทั้งหมดที่อยู่ในซองนี้เป็นธนบัตรใบใหญ่
หลี่ซูนับอย่างรวดเร็ว “ถูกต้อง ห้าพันหยวน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จี้เจียนกั๋ว ก็กัดฟันแล้วพูดว่า“คุณพูดเองนะ แล้วต่อไปอย่ามายุ่งกับผมอีก”
การแสดงออกของ หลี่ซูเย็นชา “พวกเราไม่ได้ติดหนี้บุญคุณอะไรกันแล้วนะ จบสิ้นกันซะที!”
จี้เจียนกั๋ว มองไปที่ หลี่ซู เขาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดขึ้น “ผมหวังว่าต่อไปคุณจะไม่เสียใจกับสิ่งที่คุณทำในวันนี้นะ”
จากนั้นเขาก็กระแทกประตูแล้วจากไป
จี้ซีอังตกใจกับเสียงกระแทกประตู เขาโกรธมากจนอยากจะรีบวิ่งตามออกไปทันที
จี้ซีซวนดึงเขากลับมา “คุณกำลังจะทำอะไรน่ะ”
จี้ซีอังพูดอย่างโกรธ ๆ “เขากล้ากระแทกประตูใส่เรา ฉันจะไปเจาะยางรถจักรยานของเขา”
หลี่ซูส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และหยิบซองจดหมายขึ้นมา “ไปกันเถอะ แม่จะพาเข้าเมืองไปซื้อของอร่อยๆ กินกัน”
เธอหยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาจากซองโชว์ขึ้น “วันนี้ มาใช้เงินนี่ให้หมดกันเถอะ โอเคไหม?”
หลี่ซูรู้สึกว่าเธอเป็นหนี้เด็ก ๆ เหล่านี้มากมายในช่วงเวลานี้ เธอจึงคิดที่จะเข้าไปในเมืองเพื่อซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้พวกเขา
จี้ซีอังจอมตะกละยกแขนขึ้นทันที “โอเค โอเค ซื้ออาหารอร่อย ๆ …”
จี้ซีซวนมีอายุมากกว่าจี้ซีอังสองปี แต่ในแง่ของวุฒิภาวะเขาโตกว่าจี้ซีอังมากกว่าสองปีเป็นแน่แท้
เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม่ฮะ พวกเราไม่มีอะไรที่อยากกินเลย ในอนาคตเรายังต้องใช้เงินอีกมาก ดังนั้นเราควรเก็บมันไว้ทั้งหมดนะฮะ”
เมื่อฟังจี้ซีซวนพูดด้วยความห่วงใย หลี่ซูรับฟังอย่างขื่นขม
เธอเอื้อมมือออกไปสัมผัสที่หัวของจี้ซีซวนแล้วพูดว่า “เด็กดี ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องเงินนักหรอก หลังจากเปลี่ยนสมุดทะเบียนบ้านของเราแล้ว เราอาจจะได้ที่ดินไม่กี่เอเคอร์ และเมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะมีรายได้ แต่ถ้าเราไม่ได้มันมาก็ไม่เป็นไร แม่ก็จะหางานทำในเมืองและก็จะสามารถดูแลลูกๆทุกคนได้”
หลี่ซูคิดไว้ว่าหลังจากที่เธอเข้าไปในเมือง เธออยากจะซื้อเนื้อสัตว์และผักส่งให้พ่อแม่ของเธอบ้าง
พวกเขายังต้องส่งเสียน้องสาวคนเล็ก ดังนั้นพวกเขาจึงมีเงินไม่มากนัก เมื่อวานนี้พวกเขาเพิ่งจะซื้อเนื้อสัตว์ส่งมาให้เธอ ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้ 80% ที่พวกเขาไม่มีเนื้อสัตว์กินในวันนี้
เมื่อเห็นความตื่นเต้นบนใบหน้าของจี้ซีอัง, จี้ซีซวน ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
น้องชายของเขายังเด็กอยู่ เป็นธรรมดาที่เขาจะโลภเล็กน้อย อย่างมากเขาก็แค่กินมันให้น้อยลง
ด้วยความคิดนี้ จี้ซีซวน จึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
หลังจากเก็บข้าวของแล้ว หลี่ซูก็พาเด็กทั้งสามคนไปที่เมือง
ตอนนี้ หลี่ซูมีเงิน แต่จักรยานของเธอไม่สามารถบรรทุกลูกทั้งสามคนได้ เธอจึงต้องพาลูกๆ ขึ้นรถบัส
ราคาตั๋วสำหรับเส้นทางชนบทจากชานเมืองไปยังหัวเมืองสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ตั๋วราคา 2 หยวน แต่จี้หยวนหยวนสูงไม่ถึง 1.2 เมตร ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงคิดเฉพาะตั๋วสำหรับ 3 คน รวมเป็น 6 หยวน
จี้ซีอังเฝ้าดู หลี่ซูยื่นเงินแก่เจ้าหน้าที่ หกหยวนก็เพียงพอที่จะซื้ออมยิ้มได้หกสิบอัน ถ้าเขากินอมยิ้มสองลูกต่อวัน ทั้งหมดก็เพียงพอให้เขากินมันได้ทั้งเดือน เขานึกเสียดายอยู่ในใจ
ในเวลานั้นอมยิ้มมีราคาเพียงหนึ่งเซ็นต์เท่านั้น
“การขับรถบัสมีกำไรงามจริงๆ เมื่อฉันโตขึ้น ฉันจะเป็นคนขับรถบัสด้วย” จี้ซีเซียงกระซิบกับจี้ซีซวน
จี้หยวนหยวนฟังจากด้านข้างและมองไปที่จี้ซีอังอย่างครุ่นคิด
คำพูดของจี้ซีอังในตอนนี้มันกลายเป็นความจริง
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เมื่อ จี้ซีอังโตขึ้น เขากลายเป็นนักแข่งรถ จากการให้สัมภาษณ์ เขาเคยกล่าวไว้ว่าการขับรถคือความฝันของเขาตั้งแต่ยังเด็ก
อย่างไรก็ตาม เธอไม่คาดคิดว่าช่วงเวลาที่ จี้ซีอังจะมีความฝันนี้ก็คือตอนนี้
เป็นเพราะเขาไม่ค่อยอยากเล่าความฝันของเขากับใคร จี้ซีอังแตกต่างจากคนอื่นๆ มากตั้งแต่เขายังเด็ก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลี่ซูและลูกๆ ทั้งสามของเธอลงจากรถบัสที่หน้าร้าน Supply and marketing agency
ในปี 1996 ร้าน Supply and marketing agency ค่อยๆ ทยอยปิดตัวลงไปมากแล้ว
ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งหรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้ากำลังผุดขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงอย่างหลี่ซูรู้จักเพียงร้าน Supply and marketing agency เท่านั้นเมื่อพวกเขาเข้ามาในเมือง
แจ็กเก็ตผ้าขนสัตว์สีแดงที่หลี่ซูใส่มันมา พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันกี่ปีมาแล้ว จีหยวนหยวนรู้สึกช้ำใจ
ในปีนี้ หลี่ซูอายุเพียง 32 เธอแต่งงานกับจี้เจียนกั๋วตอนอายุ 20 เมื่อเธออายุ 21 ปี เธอให้กำเนิดจี้ซีซวน และหลังจากนั้นเธอก็มีลูกคนต่อไป
จี้เจียนกั๋วไม่มีบ้านในเมือง เนื่องจากที่ทำงานของเขาอยู่ใกล้บ้าน เขาสามารถขี่จักรยานเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้น หลี่ซูจึงอาศัยอยู่ในชนบทมาโดยตลอด เธอดูแลลูกทั้งสามคนด้วยตัวเธอเองและปลูกผักบนที่ดินสามเอเคอร์บริเวณบ้าน
แม้ว่าเงินเดือนของจี้เจียนกั๋วจะสูง แต่เขาก็ให้เธอไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนไม่มากนัก ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากที่ดินก็มีไม่มากเช่นกัน
การเลี้ยงดูลูกทั้งสามคนต้องใช้เงินจำนวนมาก เงินเพียงเล็กน้อยที่มีนั้นไม่เพียงพอ
ดังนั้น หลี่ซูจึงไม่ค่อยใช้จ่ายเงินสำหรับตัวเธอเองเลย
“แม่คะ หนูได้ยินมาว่ามีห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เปิดใหม่ในเมือง”
จี้หยวนหยวนมองหลี่ซูอย่างกระตือรือร้นด้วยสีหน้าโหยหา
เธอรู้ดี ถ้าเธอบอกว่าอยากได้เสื้อผ้าให้หลี่ซู หลี่ซูคงไม่ยอมพาเธอไปแน่นอน แต่ถ้าเธอบอกว่าเธออยากไป หลี่ซูก็จะกัดฟันสู้ เพื่อพาเธอไปที่นั่นให้ได้
และแน่นอน หลังจากได้ยินคำพูดของจี้หยวนหยวน หลี่ซูก็ถามอย่างลังเลว่า “หยวนหยวน ลูกอยากไปที่นั่นไหม?”
จี้หยวนหยวนแสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็นมาก “หนูอยากไปค่ะแม่ หนูไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ซูก็กัดฟัน “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปที่นั่นกันเถอะ”
หลังจากสอบถามทางก็พบว่าห้างสรรพสินค้าอยู่ห่างจากที่นี่เพียงหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น
หลี่ซูคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอตัดใจไม่ซื้อตั๋วรถบัสราคา 50 เซ็นต์ เธอเลือกที่จะเดินไปเอง
ระยะทางหนึ่งกิโลเมตรอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับคนขาสั้นอย่างจี้หยวนหยวน เธอทนไม่ไหวจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เพื่อแบ่งเบาภาระให้ลี่ซู จี้หยวนหยวนพยายามอดทนและไม่ยอมปริปากบ่นออกมาว่าเธอเหนื่อย แต่หลี่ซูไม่สามารถทนปล่อยให้จี้หยวนหยวนเดินระยะทางไกลเช่นนี้ได้ ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปได้ครึ่งทาง เธอก็อุ้มจี้หยวนหยวนขึ้น
ที่ระยะทางหนึ่งกิโลเมตร พวกเขาใช้เวลาเดินไปประมาณยี่สิบนาที ระหว่างทางมีธนาคารอยู่ หลี่ซูเลยแวะฝากเงิน โดยเธอแบ่งเงินออกไว้ใช้จ่ายเพียงสามร้อยหยวน ส่วนที่เหลือเข้าธนาคารทั้งหมด
แม้ว่าห้างสรรพสินค้าในเวลานี้จะไม่หรูหราเท่าห้างสรรพสินค้าในศตวรรษที่ 21 แต่มันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
จี้หยวนหยวนจำได้เพียงว่าเธอและจี้เจียนกั๋วเคยมาที่นี่ในชีวิตที่แล้ว ในตอนนั้นจี้เจียนกั๋วได้พาเสิ่นเหม่ยไปซื้อเสื้อผ้าพร้อมกันกับเธอ
ดูเหมือนเธอจะได้เสื้อกั๊กสีแดงตัวเล็ก ๆ จากที่นี่
ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นในวันนั้นด้วย...