ตอนที่แล้วตอนที่ 55 เลือด…
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 57 ผู้อาวุโสซุน

ตอนที่ 56 กลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด


ตอนที่ 56 กลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด

ภายในถ้ำ ดวงตาของจี้เตี๋ยแทบหลั่งเลือด เพราะไม่ทราบว่าเขาได้ทดลองใช้พลังวิญญาณภายในร่างเพื่อทะลวงอาการตีบตันไปแล้วกี่ครั้ง

“ทะลวงสิ!”

พลังวิญญาณภายในกายของเขายังไหลบ่าและรุนแรงภายใต้สรรพคุณของยาบ่มเพาะต้นกำเนิด เพียงแต่จี้เตี๋ยรู้สึกได้ ว่าอีกไม่ช้าสรรพคุณของยาจะเลือนหาย

ดังคำบอกกล่าวแต่โบราณ ว่าหากพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า สรรพคุณของตัวยาจะถูกปลดเปลื้องจนไม่อาจข้ามผ่านสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด และสุดท้ายจะจบลงที่ความล้มเหลว!

และมันไม่ใช่ผลลัพธ์ก็ตามที่ใครอยากได้พบเห็น!

“วันนี้เราต้องทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดให้จงได้!” จี้เตี๋ยในปัจจุบันกำลังเป็นประหนึ่งนักพนันที่พร้อมทุ่มหมดหน้าตัก เขานำยาทุ่งสมุทรทั้งหมดที่มีออกมาและกลืนพวกมันลงไปในคราวเดียว แม้ไม่ทราบว่าจะช่วยเพิ่มพลังวิญญาณให้ได้หรือไม่ แต่เขากำลังทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อฝึกฝนโคจรตามวิชามหาลึกล้ำ

ตู้ม! พลังวิญญาณในฟ้าดินรอบด้านเริ่มรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง จี้เตี๋ยที่พบเห็นจึงเกิดรู้สึกโล่งอกที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้ ขณะนี้พลังวิญญาณเริ่มรวมตัวรอบกายของเขา เพื่อผสานรวมเข้ากับพลังวิญญาณภายในร่างเพื่อหาทางปะทะและฝ่าอาการตีบตันที่เผชิญ

ไปต่อ!

กึก… ภายใต้ความเชื่อมั่นของตนเอง ท้ายที่สุดแล้วภายในร่างกายของเขาพลันเกิดเสียงอะไรบางอย่างแตกทลายดังขึ้น เพียงแต่มันยังไม่ใช่การแตกทลายโดยสมบูรณ์!

“ตึง ตึง ตึง!” จี้เตี๋ยพยายามระดมพลังวิญญาณเพื่อเข้าปะทะอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเสียงอันรุนแรงเริ่มดังออกมาจากภายในกาย

ตอนนี้เองที่ความรู้สึกอันเย็นเยือกแผ่ไปทั่วทั้งกายของเขา

“กลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด!” จี้เตี๋ยไม่มีเวลาพอให้ตื่นเต้น กายของเขาเปรียบเสมือนวังวนดึงดูด พลังวิญญาณแห่งฟ้าดินที่ลอยล่องรอบด้านให้เริ่มไหลบ่าเข้าหา ทั้งยังผสานรวมเข้ากับพลังวิญญาณภายในกาย

เป็นเวลาราวครึ่งชั่วยามกว่าปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้จะสงบลง พลังวิญญาณที่ก่อนหน้านี้เกือบจะกลายเป็นแม่น้ำ ปัจจุบันได้กลายเป็นแม่น้ำที่สมบูรณ์แล้ว!

ขณะเดียวกัน ระยะรัศมีพลังจิตของเขาก็ขยายใหญ่กว้างมากขึ้น ปัจจุบันมันกว้างเกินกว่าเจ็ดจ้างแล้ว

ความเคลื่อนไหวอันเล็กน้อยรอบด้านที่เกิดขึ้น ปัจจุบันมันแทบไม่อาจหลุดรอดจากสายตาของเขาไปได้!

“สำเร็จแล้ว!” จี้เตี๋ยลืมตาตื่นด้วยอาการตื่นเต้นยินดี ตอนนี้เองที่ได้ตระหนักว่าร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อจนเสื้อผ้าเปียกไปทั้งกาย แต่แม้กระนั้นเขาก็ตื่นเต้นและยินดี

การทะลวงครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดำเนินตามลำดับแบบแผน แต่เป็นการเสี่ยงเดิมพัน

โชคดีที่ครั้งนี้ชนะเดิมพันจนทะลวงด่านได้สำเร็จ เป็นเหตุให้ความรู้สึกยินดีในเวลานี้มันเกินจะอธิบาย กล่าวคือมันน่ายินดียิ่งกว่าการทะลวงตามปกติถึงหลายเท่า!

ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าเขาจะสะกดความตื่นเต้นยินดีนี้เอาไว้ได้ จี้เตี๋ยลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเพราะรู้สึกเหนียวไปทั้งกายจึงเตรียมไปอาบน้ำที่ริมธาร

แต่ขณะที่ออกมาจากถ้ำนี้เอง เขาได้พบคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาราวกับรออยู่ไม่ไกล และจุดหมายคือถ้ำแห่งนี้ จนเป็นเหตุให้เขาต้องขมวดคิ้ว

และเขารู้จักอีกฝ่าย

สิงจง!

“เจ้าหนู ผู้อาวุโสเจิ้งเรียกให้เจ้าไปพบ!” ไม่ช้าสิงจงจึงมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าดำมืด ลึกในดวงตาของเขายังคงปรากฏความไม่พอใจ

“อย่าหาว่าข้าไม่กล่าวเตือน เพราะหากเจ้าไม่ไปก็จงเตรียมแบกรับผลที่ตามมา!”

จี้เตี๋ยขมวดคิ้วพร้อมเกิดลางสังหรณ์ ว่าผู้อาวุโสเจิ้งเรียกพบครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของหวังอวิ๋น

หรืออีกฝ่ายค้นหาเบาะแสพบเจอแล้ว?

เพียงแต่อีกฝ่ายทราบที่อยู่ของเขา ดังนั้นคิดหลีกเลี่ยงไปไร้ค่า

“นำทางไป” เขาตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

สิงจงมองตอบสีหน้าอันสงบนิ่งของอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวคำใดให้มากความ สุดท้ายจึงแค่นเสียงก่อนจะหันกลับและเดินนำทางไป

‘สงบได้ก็จงสงบต่อไป ข้าอยากจะเห็นนักว่าจะวางท่าได้แค่ไหน!’

‘เพราะอีกไม่ช้าเจ้าจะได้ตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!’

จี้เตี๋ยไม่ทราบความคิดของอีกฝ่าย ปัจจุบันจึงแค่เดินตามไปด้วยคิ้วขมวดและครุ่นคิด ไม่ช้าเขาจึงออกพ้นจากพื้นที่โรงนาจนไปถึงยอดเขาสรรพสัตว์ กระทั่งได้ย่างก้าวเข้ามาสู่สถานที่ที่ไม่เคยมาเยือนในยามปกติ

ด้านหน้าคือหอขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านเหนือยอดเขาสรรพสัตว์ รอบด้านรายล้อมด้วยหมู่เมฆ หมอกหนา และป่ารกชื้น

ด้านนอกหอคือลานกว้างที่มีเสาหินสูงเสียดฟ้า ทั้งยังมีลวดลายสัญลักษณ์แกะสลักเอาไว้

“เข้าไปด้วยตัวเจ้าเอง” สิงจงหยุดแค่ตรงหน้าหอ ขณะหันมามองและบอกกล่าวด้วยท่าทีเย้ยหยัน และตัวเขาไม่คิดเข้าไปมากกว่านี้

จี้เตี๋ยตระหนักได้ถึงอาการเย้ยหยันที่แสดงออกชัด เพียงแต่เลือกไม่สนใจ สายตาเขาสำรวจมองหอหลักที่อยู่ตรงหน้า ขณะพลังจิตพอตรวจสอบได้ว่าภายในมีลมปราณที่แข็งแกร่งอยู่จำนวนหนึ่ง

ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับสูง!

และสองคนในนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเขา อย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่แปด!

เป็นคนจากทางฝั่งเหนือ!

ด้วยความคิดที่ว่าในเมื่อมาแล้วก็ต้องไปให้ถึงที่สุด จี้เตี๋ยก้าวเดินเข้าไปด้านใน และทันทีที่ก้าวเข้าไปด้านในโถง เขาจึงรู้สึกได้ถึงสายตาทั้งสามคู่ที่จับจ้องมองมาโดยพร้อมกัน

สายตาเหล่านี้มีทั้งการเย้ยหยันและจิตสังหาร เป็นเหตุให้เขารู้สึกไม่ใคร่สบายใจ กระทั่งขมวดคิ้วและจ้องมองออกไป

โถงด้านในนี้โอ่อ่ากว้างขวางและมีเสาสีแดงจำนวนหนึ่งค้ำยันโครงสร้าง และสายตาที่มองมาเมื่อครู่นั้นไม่ได้อยู่ไกลมากนัก

สองชายหนึ่งหญิงที่อยู่ตรงหน้า เขาเคยได้พบเจอมาก่อน เป็นซ่งเจีย โจวสวี่ และผู้อาวุโสเจิ้งที่ยืนนอบน้อมอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง

ก่อนเขาจะทันถามอะไร ตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มเอ่ยคำขึ้น

“ศิษย์น้องหญิงซ่ง ลองดู”

ซ่งเจียพยักหน้ารับก่อนจะยกนิ้วขึ้นมา ตอนนี้เองที่ผึ้งสะกดรอยจิตวิญญาณปรากฏออกมาจากปลายนิ้วและบินเชื่องช้ามาทางจี้เตี๋ย

ผึ้งสะกดรอยจิตวิญญาณ!

จี้เตี๋ยขมวดคิ้วนิ่วหน้า ขณะรับชมแมลงที่คล้ายผึ้งบินเข้าหา เขาเคยได้เห็นมันตั้งแต่ครั้งยังอยู่หมู่บ้านเหวินเหอแล้ว ขณะนี้ในใจจึงเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาขุมหนึ่ง

ผ่านไปชั่วครู่ เสียงหึ่งของแมลงกระพือปีกดังให้ได้ยิน มันเริ่มบินวนเวียนรอบกายของเขาและหยุดลงที่หัวไหล่ ราวกับเป็นการยืนยันอะไรบางอย่าง สุดท้ายจึงบินกลับไปหาปลายนิ้วของซ่งเจีย

“คราบเลือดบนกระบี่เป็นของชายคนนี้ หมายความถึงเขาคือคนสังหารหวังอวิ๋น” ซ่งเจียเอ่ยคำอันเย็นเยือกออกมา และเพราะจิตวิญญาณของนางเชื่อมโยงกับผึ้งสะกดรอยจิตวิญญาณ ขณะนี้จึงจ้องมองจี้เตี๋ยด้วยสายตาอันเย็นเยือก

“เป็นมันจริงงั้นสินะ ไอ้เดรัจฉานต่ำช้า ไฉนยังไม่คุกเข่า!” ผู้อาวุโสเจิ้งที่ได้ยินผลลัพธ์การตรวจสอบจึงแค่นเสียงดังออกมา กระทั่งก้าวเดินมาด้านหน้าพร้อมกับใช้พลังวิญญาณก่อเกิดแสงประหลาดจากปลายนิ้วยิงพุ่งตรงมายังหัวเข่าของจี้เตี๋ย

‘เร็วมาก!’ จี้เตี๋ยได้ตระหนักทราบเช่นกัน ว่าเรื่องหวังอวิ๋นถูกสังหารถูกเปิดเผยด้วยเหตุบางประการแล้ว ยามพบเห็นอีกฝ่ายลงมือ พลังวิญญาณในกายของเขาจึงปะทุออกมาถอยร่างกลับไปหลายจ้าง ขณะนี้จึงค่อยมีเวลาได้มองบริเวณที่ตนเองยืนอยู่เมื่อครู่

เขาได้เห็นแสงอันแปลกประหลาดส่องประกายจากบนพื้น ภายหลังเสียงการปะทะดังขึ้น พื้นพลันระเบิดออกจนวัสดุปูพื้นกระจัดกระจายไปทั่วแห่งหน มันถึงขนาดทำนัยน์ตาของเขาต้องหรี่แคบ

เพราะหากขยับตัวช้ากว่านี้ โชคชะตาของเขาก็คงไม่ต่างกับก้อนหินเหล่านั้น!

“เร็วดีนัก” พบเห็นจี้เตี๋ยหลบได้ ผู้อาวุโสเจิ้งจึงเผยความประหลาดใจ

เมื่อครู่คือวิชาดัชนีกระบี่ ที่เป็นการใช้ปลายนิ้วต่างอาวุธส่งลำแสงกระบี่อันรวดเร็วโจมตีออกไป และมันรวดเร็วขนาดแม้กระทั่งผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดยังยากจะหลบเลี่ยง!

เพราะแบบนั้นการที่จี้เตี๋ยหลบได้จึงถือว่าเกินคาดคิดไปมาก!

“เหตุใดผู้อาวุโสเจิ้งถึงได้ลงมือโจมตีกันเช่นนี้!” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าดำมืด เขาคิดอยากทราบถึงเหตุผลที่เรื่องราวถูกเปิดโปง

“ไม่ทราบงั้นหรือ?” ซ่งเจียแค่นเสียงเย้ยหยันก่อนจะโบกมือ กระบี่เล่มยาวพลันปักลงที่ตรงหน้าฝ่าเท้าของเขา

กระบี่เล่มนี้เป็นของชายหน้าม้า จี้เตี๋ยจึงมั่นใจว่าถุงมิติที่ถูกขุดไปเป็นฝีมือของอีกฝ่าย

“ไม่ต้องรีบตอบไป เพราะเจ้ายอมรับหรือไม่ยอมรับก็ไม่ต่าง…” ซ่งเจียยกนิ้วขึ้นเชื่องช้าขณะผึ้งสะกดรอยจิตวิญญาณบินไปหยุดที่ปลายนิ้ว

“กระบี่นี้ถูกค้นพบในบรรดาสิ่งของของหวังอวิ๋น ฆาตกรได้นำถุงมิติของมันไปซ่อนจนเหมือนวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว แต่คงไม่คาดคิดว่าจะมีเลือดหลงเหลืออยู่บนตัวกระบี่ และมันถือเป็นอะไรที่ผึ้งสะกดรอยจิตวิญญาณสามารถตามหาตัวเจ้าของได้!”

จี้เตี๋ยจ้องมองคราบเลือดบนตัวกระบี่ ครั้งนั้นเขาเคยถูกกระบี่นี้เล่นงานก็จริง แต่ไม่นึกมาก่อนว่ามันจะหลงเหลือหลักฐานเอาไว้!

ประมาทเกินไป…

จี้เตี๋ยผ่อนลมหายใจ เพราะมันถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่

หากว่าครั้งนี้รอดชีวิตไปได้ ครั้งหลังจากนี้ต้องระมัดระวังตัวให้มาก

“จริงอยู่ที่ข้าสังหารหวังอวิ๋น แต่ทั้งหมดก็เพราะมันต้องการสังหารข้าก่อน”

ในเมื่อหลักฐานปรากฏ มันไม่ใช่การโยนข้อกล่าวหาอีกต่อไป เป็นเหตุให้ปฏิเสธไม่ยอมรับไปก็เท่านั้น

การยอมรับออกมาโดยตรงจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

4 6 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด