ตอนที่ 55 เลือด…
ตอนที่ 55 เลือด…
“ขายเห็ดหลินจืออัคคี ผู้ใดสนใจเชิญทางนี้ เห็ดหลินคืออัคคีร้อน ๆ ช่วยเพิ่มพูนการฝึกตนได้…”
ศิษย์มากหน้าหลายตามาตั้งร้านแผงลอยในลานกว้าง เพื่อขายทั้งยาและสมุนไพรวิญญาณ เสียงประกาศเรียกลูกค้าจึงดังไปทั่วแห่งหน
“สหายร่วมสำนักผู้นี้ เห็ดหลินจืออัคคีถือเป็นของดี เพียงกินเข้าไปก็ช่วยเสริมการฝึกตนได้ สรรพคุณนั้นไม่ด้อยไปกว่ายาย้อนฝัน ราคาปกติขายที่เจ็ดสิบศิลาวิญญาณ แต่หากซื้อตอนนี้เอาไปเลยที่หกสิบ รีบเข้ามา รีบเข้ามา ของดีมีน้อยซื้อก่อนได้ก่อน” ศิษย์กลั่นลมปราณขั้นที่สี่ผู้กำลังพยายามขายเห็ดหลินจืออัคคี พบเห็นเด็กหนุ่มกำลังยืนมองตรงหน้าแผงขายของตนเอง เวลานี้จึงพยายามชักชวนเสียยกใหญ่
คำโฆษณาเหล่านี้อาจฟังดูเกินเลยจนเกินไป หลอกได้ก็เพียงแต่มือใหม่
จี้เตี๋ยย่อมไม่คิดเปิดเผยเรื่องราว แต่เลือกที่หยิบเห็ดหลินจืออัคคีสีแดงชาดขึ้นมารับชม
เห็ดหลินจืออัคคีที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ตัวเห็ดเป็นสีแดงและก้านมีส่วนโค้งเว้า มันเหมือนกับที่มีบอกไว้ในบันทึกนักปรุงยา แม้ว่ายามทานเข้าไปแล้วสรรพคุณจะไม่อาจเทียบกับยาย้อนฝัน แต่มันสามารถช่วยส่งเสริมการฝึกตนได้ประมาณหนึ่งจริง
ขณะเขากำลังจะจ่ายซื้อสินค้า ตอนนี้เองที่เสียงอันน่ารับฟังดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“จี้เตี๋ย… เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ผ่านมานานแล้วไฉนไม่มาหาข้าบ้าง!” เด็กสาวในชุดกระโปรงสีครามมาหยุดยืนพร้อมส่งเสียงทักท้วงดังเจื้อยแจ้ว
ช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านพ้น จี้เตี๋ยแทบลืมนางเสียสนิท มันถึงขั้นเป็นเหตุให้นางเกิดความไม่พอใจ
“คารวะศิษย์พี่หญิงซู…”
ซูลั่วเป็นผู้มีชื่อเสียงในยอดเขาโอสถ ศิษย์น้อยคนจะไม่รู้จักนาง ดังนั้นเพียงพบเห็นตัวตนของอีกฝ่าย ศิษย์คนที่กำลังขายของจึงหลั่งเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เขาไม่คาดคิดว่า ‘เหยื่อ’ ตรงหน้าหรือก็คือจี้เตี๋ยจะรู้จักกับซูลั่ว
“ศิษย์พี่หญิงซู ช่วงนี้ข้าค่อนข้างทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกตน ดังนั้นจึงไม่ได้มีเวลาแบ่งไปปรุงยาเลยขอรับ” จี้เตี๋ยที่ได้ยินเสียงโกรธเคืองจึงพยายามยิ้มตอบรับ
“ตอนแรกประเมินว่าเมื่อใดสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด จะแวะเวียนไปพบศิษย์พี่หญิงซูเพื่อขอคำแนะนำขอรับ”
“เหอะ! กว่าเจ้าจะสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดก็ยังต้องใช้เวลาอีกนาน” เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวไม่พอใจกับคำตอบ เวลานี้จึงกลอกตาไม่อยากมองหน้าอีกฝ่าย
“ช่วงที่ผ่านมาเซี่ยปินไม่ได้มาสร้างปัญหาอะไรให้ใช่หรือไม่?”
จี้เตี๋ยยิ้มรับกับความห่วงหาที่นางมีมอบให้
“ข้าซ่อนตัวอยู่แต่ในถ้ำทุกวี่วัน ต่อให้มันอยากมาสร้างปัญหาก็เกรงว่าจะหาตัวข้าไม่พบขอรับ”
“งั้นก็ดี ว่าแต่วันนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“มาหาซื้อสมุนไพรวิญญาณขอรับ บังเอิญว่าได้เห็นเห็ดหลินจืออัคคีวางขาย ข้าเลยแวะหยุดดูสักครู่…” จี้เตี๋ยส่งเห็ดหลินจืออัคคีในมือให้แก่นาง ราวกับต้องการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ข้ออ้าง
“เห็ดหลินจืออัคคี… ไหนขอข้ารับชม…” เด็กสาวรับเอาไว้ด้วยความประหลาดใจ นางจับจ้องพิจารณาจนสุดท้ายแค่นเสียงขึ้นจมูกดังขึ้น “เป็นเห็ดหลินจืออัคคีก็จริงอยู่ แต่คุณภาพไม่ใช่ดีเด่นอะไร สรรพคุณทางยาไม่อาจดีเท่าเห็ดหลินจืออัคคีตามปกติด้วยซ้ำ ราคาเท่าไหร่?”
“หกสิบขอรับ แพงไปหรือไม่?” จี้เตี๋ยถามอย่างไม่ค่อยใส่ใจเรื่องราคาสักเท่าไหร่
ช่วงที่ผ่านมาเขาขาดแคลนศิลาวิญญาณอยู่พอสมควร เนื่องจากไม่อาจขายผลยกวิญญาณไปมากกว่านี้ เพราะมันไม่ใช่วิธีที่แนบเนียนและชาญฉลาด ทั้งยังจะกระตุ้นความสงสัยได้ง่าย ดังนั้นเขาจึงคิดซื้อสมุนไพรวิญญาณไปยกระดับและปรุงเป็นยาอีกทีหนึ่ง
แต่เพราะยาที่เขาปรุงขึ้นมามีประสิทธิภาพที่ดีกว่าของผู้อื่น ดังนั้นจึงได้รับความนิยมในยอดเขาโอสถไม่ใช่น้อย เป็นเหตุให้ราคาพุ่งสูงขึ้นกว่ายาทั่วไปอยู่พอสมควร ด้วยเหตุนี้จึงสร้างผลกำไรได้มาหลายร้อยศิลาวิญญาณ!
ขณะนี้เองศิษย์ที่ขายสินค้าจึงพูดออกมาด้วยความลำบากใจ “ข้าไม่ทราบเลยว่าศิษย์พี่ท่านนี้เป็นมิตรสหายของศิษย์พี่หญิงซู หากว่าศิษย์พี่หญิงซูต้องการ จ่ายแค่ห้าสิบก็พอแล้วขอรับ”
“ห้าสิบงั้นหรือ ค่อยฟังดูสมเหตุสมผลหน่อย” ซูลั่วพยักหน้าตอบ
“นามของศิษย์พี่หญิงซูเป็นที่กล่าวขาน เพียงแค่มาถึงกลับช่วยข้าประหยัดไปได้สิบศิลาวิญญาณแล้วขอรับ” จี้เตี๋ยตอบรับอย่างนึกสนุกพลางนำศิลาวิญญาณออกมาจากถุงมิติ สุดท้ายจึงส่งให้คนขาย ภายหลังทำการซื้อขายเรียบร้อย เขาจึงเก็บเห็ดหลินคืออัคคีลงถุงมิติและไม่คิดเสียเวลาอยู่ที่ยอดเขาโอสถต่อนานนัก
ภายหลังบอกลาซูลั่วและกล่าวว่าอีกสักระยะจะแวะเวียนไปพบเจอ นางจึงกลับถ้ำของตนเองที่ยอดเขาโอสถด้วยสีหน้าท่าทียินดี และภายหลังปรุงยาทุ่งสมุทรจำนวนหนึ่ง เขาจึงเริ่มทำการฝึกฝนตนเองต่อ
ภายหลังฝึกฝนมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าไม่มียาย้อนฝันให้ใช้งาน แต่ระดับการฝึกตนของเขาก็เข้าใกล้จุดสูงสุดของการกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้ว
ไม่นานเวลาอีกครึ่งเดือนจึงผ่านพ้น จี้เตี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะนำเอาเห็ดหลินจืออัคคีออกมา เพื่อนำมันใส่ลงหม้อทองแดงอีกทีหนึ่ง
ขณะแสงสีเขียวสว่างวาบ กลิ่นหอมฟุ้งจึงแพร่กระจาย
“น่าจะพอให้ไปถึงจุดสูงสุดของขั้นที่หกได้…” จี้เตี๋ยที่ตื่นเต้นนำเอาเห็ดหลินจืออัคคีออกมา สุดท้ายจึงส่งมันตรงเข้าปากและกัดเคี้ยว
ยามเมื่อกลิ่นเนื้อเห็ดสัมผัสและฟุ้งกระจายในปาก มันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระแสความอุ่นร้อนไหลเวียนไปทุกส่วนในร่างกาย พลังวิญญาณภายในกายของเขาเริ่มไหลบ่าอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายขยายขนาดจนเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง
ภายหลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เห็ดหลินจืออัคคีจึงถูกกินไปจนหมด
“ยังขาดอีกเล็กน้อยกว่าจะถึงจุดสูงสุดของขั้นที่หก นอกจากนี้ยังไม่รู้สึกถึงอาการตีบตัน…” จี้เตี๋ยนึกสงสัยอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงนำขวดหยกออกมาและสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อเทเม็ดยาซึ่งอยู่ภายในออกมาและตัดสินใจลองเสี่ยงดวง
ภายหลังติดอยู่ขั้นที่หกมายาวนาน แม้ว่าขาดอีกเล็กน้อยจะเกือบไปถึงจุดสูงสุดได้แล้ว แต่เพราะว่าอีกเล็กน้อยในความคิดของเขาจึงทำให้ประเมิน ว่าหากทานยาบ่มเพาะต้นกำเนิดเข้าไปย่อมมีโอกาสทะลวงได้สำเร็จ!
เพราะปัจจุบันไม่มีหลักประกันใดยืนยันได้ ว่าฝั่งเหนือจะค้นพบหลักฐานว่าเขาฆ่าพวกหวังอวิ๋นแล้วหรือไม่
การทะลวงสู่ขั้นที่เจ็ดโดยเร็วที่สุด มันจะทำให้เขามีกำลังปกป้องตนเองได้!
ตู้ม! ขณะยาบ่มเพาะต้นกำเนิดเข้าสู่ร่างกาย พลังวิญญาณอันมหาศาลเริ่มทะลักไหลบ่าในร่างกายของจี้เตี๋ย พวกมันเริ่มไหลเวียนไปยังทุกตำแหน่งของร่างกาย
อาการตีบตันสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด มันคือจุดที่ยากลำบากที่สุดของการกลั่นลมปราณทั้งมวล!
“ทะลวงสิ ทะลวงสิ!” จี้เตี๋ยหลับตาลงแน่นเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณภายในกาย เขาพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปะทะและทะลวงอาการตีบตัน
แต่บางทีอาจเพราะพลังวิญญาณของเขายังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของการกลั่นลมปราณขั้นที่หก อาการตีบตันจึงเพียงแค่สั่นสะเทือนเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีว่าจะถูกทะลวงแต่อย่างใด
จี้เตี๋ยกัดฟันแน่นเพราะไม่คิดยอมปล่อยพลาดโอกาส เขาพยายามฝืนระดมพลังวิญญาณภายในกายเพื่อทะลวงผ่านมันไปให้ได้
…..
“ศิษย์น้องหญิงซ่ง ยังไม่คิดปล่อยวางอีกหรือ?”
ฝั่งเหนือ ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าท่าทีอ่อนโยนอบอุ่น เขาส่ายศีรษะขณะมองสตรีผู้เย็นชาซึ่งอยู่ภายในถ้ำ
“ท่านและข้าต่างทราบว่าผึ้งสะกดรอยจิตวิญญาณสามารถตามรอยได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือน ภายหลังผ่านไปแล้วลมปราณจะเลือนหายจนหมด ต่อให้ไอ้เด็กนั่นติดต่อกับหวังอวิ๋นก็ไม่อาจเป็นหลักฐานว่ามันเป็นฆาตกร”
“มันก็อาจไม่ใช่เช่นนั้น…” สตรีผู้สวมใส่ชุดกระโปรงยาวนั่งบนเก้าอี้พร้อมเผยเรียวขายาวคือซ่งเจีย นางที่ได้ยินคำตอบถึงกับต้องกระตุกมุมปาก
คนทั้งสองคือผู้มีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในบรรดาศิษย์ฝั่งเหนือ และเนื่องจากจ้าวสำนักมักจะเก็บตัว ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสเองก็ฝึกฝนกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นคดีฆาตกรรมที่เจิ้งอี้รายงานมาถึงฝั่งเหนือ ผู้รับผิดชอบจึงเป็นคนทั้งสอง
“จะเป็นอย่างไรหากว่าฆาตกรบังเอิญทิ้งคราบเลือดของตนเองเอาไว้ในที่เกิดเหตุ…” ซ่งเจียตบถุงมิติที่มือซ้าย ตอนนี้เองที่กระบี่ยาวเล่มหนึ่งซึ่งโชกด้วยเลือดปรากฏขึ้น
“ศิษย์พี่โจวเองก็ทราบ ว่าหากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ที่พิเศษบางประการ ลมปราณภายในเลือดจะคงอยู่ยาวนานกว่าจะแตกสลาย…”
แมลงที่คล้ายผึ้งบินออกมาจากแขนเสื้อของนาง ก่อนจะเริ่มบินวนเวียนรอบตัวกระบี่
“เลือด… หมายความถึง…” โจวสวี่เผยประกายในดวงตา ราวกับกำลังคาดหวังในผลลัพธ์บางประการ
ซ่งเจียพยักหน้าตอบรับ
“ถูกต้อง เลือดนี้ไม่ใช่ของหวังอวิ๋น พวกเราเหลือแค่พิสูจน์ว่ามันใช่เลือดของไอ้เด็กนั่นหรือไม่ ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้ทราบว่ามันใช่ฆาตกรหรือว่าไม่ใช่”