ตอนที่แล้วบทที่ 16 โรคระบาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18 ผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง

บทที่ 17 ข้าร่ายเวทย์ได้


เสียงโหยหวนดังมาจากซอมบี้น้อย มันพุ่งชนกระดูกล้มลงจนกระจัดกระจาย ก่อนจะกำลังจะพุ่งเข้าใส่กระดูกด้านหลังอีกครั้ง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคำรามของอังเกอร์เป็นสัญญาณเรียกมัน มันจึงถอยกลับมาด้วยความไม่พอใจ

อังเกอร์รู้สึกประหลาดใจกับความเร็วของซอมบี้ตัวนั้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันวิ่งได้เร็วถึงเพียงนี้ เร็วกว่าซอมบี้ทั่วไปมาก เร็วกว่ากระดูก และยังเร็วกว่าการวิ่งระยะสั้นของมนุษย์อีกมาก

ตอนนี้อังเกอร์เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงกลั่นแกล้งโครงกระดูกสีเทาได้ จนสามารถกำจัดลูกน้องของอีกฝ่ายได้มากมายโดยไม่บาดเจ็บเลย ด้วยความเร็วระดับนี้ ไม่มีสิ่งใดในทุ่งร้างที่จะไล่ตามทันมัน

กระดูกที่ถูกชนจนกระจัดกระจายเหลือแค่แขนข้างเดียว มันมองอังเกอร์ด้วยความหวาดกลัว และก้าวถอยหลังไปพลางเก็บชิ้นส่วนของตัวเองที่กระจัดกระจาย เริ่มจากเก็บแขนอีกข้างประกอบเข้ากับตัว หลังจากนั้นใช้มือทั้งสองข้างยันตัวเอง ตามด้วยประกอบขาอีกข้างหนึ่ง แล้วจึงประกอบอีกข้าง เมื่อประกอบขาทั้งสองข้างเสร็จ มันก็ลุกขึ้นยืนและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วทันที

ส่วนเพื่อนของมันนั้น หลังจากได้ยินเสียงคำรามของอังเกอร์ ก็หนีไปแล้วอย่างไร้น้ำใจ

"รอดไปอย่างหวุดหวิด" เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอก พละกำลังหมดลงจนไม่สามารถอุ้มน้องสาวไว้ได้อีกต่อไป ทั้งสองล้มกลิ้งไปกับพื้น

เด็กหญิงล้มลงจนเจ็บ จึงร้องไห้อย่างอ่อนแรง เด็กชายรีบคลานเข่าไปสองก้าวเพื่อประคองน้องสาว มองซ้ายมองขวา

สายตาของเขามองไปที่อังเกอร์ก่อน จากนั้นก็ไปก็ทอดสายตาไปที่ที่ซอมบี้ตัวน้อย แล้วก็ไปหยุดที่โครงกระดูกสีเงิน แต่ดูเหมือนจะไม่ไว้ใจใครเลย ในที่สุดเขาก็ฝืนอุ้มน้องสาวมาที่หน้าแท่นบูชา ก้มกราบอย่างหนัก

พร้อมกับการกราบไหว้ของเขา วิญญาณแห่งเปลวไฟก็พุ่งเข้าสู่ไฟแห่งวิญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง

อังเกอร์มองเขาด้วยสีหน้างุนงง จนกระทั่งเนเกริสทนดูต่อไปไม่ไหว เอ่ยขึ้นว่า "ช่วยเขาสิ ยืนบื้อ

อยู่ทำไม นี่คือผู้ศรัทธาที่บ้าคลั่งที่สุดนะ ปล่อยให้เขาผิดหวังไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความเชื่อที่เขามีทั้งหมดจะกลายเป็นความแค้นต่อศาสนา ผู้สูญเสียศรัทธาก็จะเกิดขึ้น"

อังเกอร์เอียงศีรษะ "แล้วจะช่วยยังไงล่ะ" เขาก็เป็นแค่โครงกระดูกที่ปลูกผักเท่านั้น พอเอาอาหารให้คนกินแค่สองคำ ก็เกือบจะทำให้เขาสำลักตายอยู่แล้ว ส่วนเด็กผู้หญิงก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้หิว เขาไม่รู้ว่าจะช่วยเธอได้ยังไง

เนเกริสถอนหายใจ "เจอนายนี่เป็นโชคร้ายของข้าจริงๆ เชียว"

หลังจากเจออังเกอร์ เนเกริสก็ทำผิดกฎมากเกินไปแล้ว นั่นก็เพราะตอนที่ตัวเขาเองโดนผนึก เขาก็คิดอยากทำลายตัวกฎของตัวเองซะบ้าง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคืออังเกอร์ทำให้หงุดหงิดได้มาก  เขามักจะทำอะไรสวนทางกับสิ่งที่ผู้ขอคาดหวังเสมอ ถ้าผู้ขอไม่ดูแลเขาจริงๆ เขาก็จะปล่อยให้เรื่องราวไหลไปในทิศทางที่ผู้ขอไม่อยากให้เป็นที่สุด

ผู้ศรัทธาบ้าคลั่ง ทำไมตัวเขาเองถึงไม่เคยเจอเลยล่ะ ไอ้หมอนี่มันโชคดีชะมัด ช่างมันเถอะ ไม่สนใจแล้ว ยังไงก็โดนผนึกอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กฎมาควบคุมตัวเองอีกต่อไป ปล่อยให้กฎบ้าๆนี้มันหายไปซะ

"แค่โรคระบาดของปีศาจเท่านั้น ทำให้ผู้ติดเชื้ออาเจียน ท้องร่วง และขาดน้ำจนตาย รักษาง่ายจะตาย พวกเจ้ารู้จักเจ้าของที่นี่ใช่ไหม ไปยืมตัวพ่อมดจากเขามาสักคน ไม่ต้องสูงส่งอะไรมาก ขอแค่ไม่ใช่เด็กฝึกหัดก็พอ" เนเกรีสบอก

"เวทมนตร์น่ะนะ ข้าทำได้" อังเกอร์ตอบ

"พวกเจ้าทำได้ด้วยเหรอ ไอ้โครงกระดูกอย่างพวกเจ้าจะไปรู้เรื่องเวทมนตร์ได้ยังไง อย่ามาล้อเล่น รีบไปตามคนมาเดี๋ยวนี้" เนเกริสหัวเราะเยาะ โครงกระดูกร่ายเวทมนตร์ได้ด้วยเหรอ พลังจิตที่อ่อนแอกับความคิดทื่อๆ แบบนั้น จะไปร่ายเวทมนตร์ได้ยังไง แม้แต่วาดเส้นรอยเวทย์สักเส้นก็อย่าได้หวัง

"ข้ารู้เวทมนตร์อยู่ 4 อย่าง คือ เรียกฝน, เผาทุ่ง, ผสมเกสร และ พรวนดิน" อังเกอร์เกอร์กล่าวพลางสาธิตการใช้เวทมนตร์ 'เรียกฝน' เพียงแค่เขาแบมือออกแล้วหันฝ่ามือไปยังพื้นที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ธาตุต่างๆ ก็เริ่มรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหยดน้ำพรำๆ รดลงบนพื้น ราวกับว่ามีฝนตกลงมาเป็นพักๆ

"นี่มันเวทมนตร์บ้าบออะไรกัน ทำไมมีแต่เรื่องเกี่ยวกับการทำไร่ทำนาไปเสียหมด อย่าบอกนะว่าเป็นเวทมนตร์นี้เจ้าคิดค้นขึ้นมาเอง?" แม้แต่เนเกริส ผู้เป็นเทพแห่งความรู้ยังงงงวยกับเวทมนตร์ทั้งสี่อย่างนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ในโลกนี้ยังมีเวทมนตร์ที่ตัวเองไม่รู้จักอีกเหรอเนี่ย?

อังเกอร์พยักหน้า เวทมนตร์เหล่านี้เขาเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเองจริงๆ ในฐานะโครงกระดูกทำนา การรดน้ำต้นไม้เป็นงานประจำวัน แต่ก่อนก็ต้องไปตักน้ำจากบ่อมารดต้นไม้

กระทั่งปีที่ห้าหลังจากที่วิญญาณอมตะหายไป บ่อน้ำใกล้ๆ ฟาร์มก็เหือดแห้งไป

มองดูพืชผลที่กำลังค่อยๆ เหี่ยวเฉายิ่งทำให้อังเกอร์กระวนกระวายใจ เขาพยายามคิดหาวิธีต่างๆ นานา ต้องเข้าใจว่าเมื่อกว่าพันปีก่อน สมองของอังเกอร์มีขนาดเล็กกว่าตอนนี้มาก กะ โหลกเล็กๆ ของเขาคิดหาวิธีแก้ปัญหานี้มาหลายเดือนแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ออก ได้แต่มองดูพืชผลค่อยๆ ตายไปต่อหน้าต่อตา

คิดอยู่อย่างนั้นแหละ คิดไปคิดมา นี่มันก็เหมือนกับการทำสมาธิไปแล้ว พอมาถึงปีที่สอง เขาก็เริ่มรู้สึกถึงไอน้ำในอากาศ แล้วก็คิดได้ว่าจะเอา 'น้ำ' ในอากาศมารดต้นไม้

ในช่วงแรกๆ เขาสามารถรวบรวมน้ำพอที่จะรดพืชได้ 3-5 ต้นเท่านั้น ดังนั้นในปีนั้น ผลผลิตของเขาก็มีแค่ 3 จิ๋นเท่านั้น ส่วนในปีที่สองเมื่อพลังจิตของเขาเพิ่มมากขึ้น เขาก็สามารถรวบรวมน้ำมากพอที่จะรดพืชได้ทีละแถว ในปีนั้นเขาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 20 จิ๋น

เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่สาม ปีที่สี่ ปีที่ห้า จนกระทั่งปีที่ 320 ในที่สุดเขาก็สามารถใช้เวทมนตร์ 'เรียกฝน' ได้โดยไม่หยุดพักเป็นเวลาทั้งวัน เพื่อรดน้ำให้ทั่วทั้งฟาร์ม

ด้วยประสบการณ์จากการคิดค้นเวทมนตร์เรียกฝนด้วยตัวเอง อังเกอร์ก็เลยคิดค้นเวทมนตร์ 'พรวนดิน' ขึ้นมาอีก เพื่อให้การเตรียมดินทำได้ง่ายขึ้น แถมยังคิดค้นเวทมนตร์ผสมเกสรอีกด้วย เนื่องจากในฟาร์มมีแมลงน้อยมาก ถ้าไม่มีการช่วยผสมเกสรด้วยมือ ต้นไม้หลายต้นก็จะออกดอกไม่ได้

ส่วนเวทมนตร์เผาทุ่งก็เพื่อบำรุงดินนั่นเอง

พูดถึงการบำรุงดิน อังเกอร์ยังค้นพบอีกว่า บริเวณที่มีโครงกระดูกล้มตายอยู่ วัชพืชจะเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์กว่าบริเวณอื่นๆ เขาจึงลองเอากระดูกที่พังไปแล้วโยนลงไปในดิน ปรากฎว่าผืนดินที่มีกระดูกนั้น อุดมสมบูรณ์กว่าผืนดินที่ไม่มีกระดูก และถ้าบดกระดูกให้เป็นผงด้วยยิ่งให้ผลดี

ไม่มีที่ไหนจะมีกระดูกหนาแน่นกว่าในวิหารสงบจิต ที่นั่นเต็มไปด้วยกระดูกเน่าเปื่อยทั่วทุกหนทุกแห่ง แค่เก็บมาแค่ส่วนเล็กๆ ก็พอให้อังเกอร์เกอร์ใช้ได้อีกนานแล้ว

นี่ก็เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมอังเกอร์ถึงสามารถใช้เวทมนตร์ได้

"เจ้าใช้เวทมนตร์ได้จริงๆ ด้วย แต่พลังเวทย์ของเจ้าน้อยนิดมาก คงอยู่ในระดับเดียวกับพ่อมดขั้น 1 แค่นั้น แต่ทำไมเจ้าถึงใช้เวทมนตร์ได้ต่อเนื่องล่ะ? พลังเวทย์นิดๆ หน่อยๆ แบบเจ้า คาดว่าแค่ใช้ไปสักคาถา พลังคงหมดแล้วนะ ลองดูอีกทีสิ" เนเกริสเกิดความสงสัยอีกทั้งยังคิดไม่ออก

อังเกอร์ทำตามที่เนเกริสบอก เขาใช้เวทมนตร์เรียกฝน พอเห็นหยาดฝนพรำลงสู่พื้นดินแล้ว อังก็ใช้เวทมนตร์เรียกฝนอีกครั้ง แบบนี้ไปเรื่อยๆ พอเวทมนตร์ก่อนหน้าหมดฤทธิ์ไป เขาก็ปล่อยเวทมนตร์ถัดไปออกมาทันที

เมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว มือของอังเกอร์ก็ไม่ต่างอะไรจากฝักบัวน้ำ ที่รดน้ำลงบนพื้นไม่หยุดหย่อน

"คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ เจ้ามีพลังจิตอนันต์ ทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูพลังเวทย์เร็วมากเป็นพิเศษ" เนเกริสคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง พลังเวทย์นั้นสัมผัสได้ แต่พลังจิตกลับสัมผัสไม่ได้ เพียงแค่ทำให้ดูมีชีวิตชีวาเท่านั้น แต่จะไปดูออกได้ยังไงว่าโครงกระดูกดูก 'มีชีวิตชีวา'?

"ในเมื่อเจ้าใช้เวทมนตร์เป็น งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน เอาน้ำมาสักแก้ว นี่เป็นเวทย์ชำระล้าง เป็นเวทย์แสงศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 ที่ง่ายมาก น้ำที่ผ่านการชำระล้างแล้วจะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มันสามารถใช้ในการขับไล่โรคลำไส้โดยเฉพาะ" เนเกริสบอกไป

พูดจบ เนเกริสก็เหมือนนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นได้ เขาหัวเราะคิกคัก "เฮ่ๆ ถ้าพวกองค์กรแสงสว่างรู้ว่ามีโครงกระดูกมาเรียนเวทย์ชำระล้างของพวกเขา ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงกันนะ?"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด