ตอนที่แล้วเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่  5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่   7

เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 6


เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา ตอนที่ 6

ความน่าเชื่อถือของผมมันอาจจะมาจากเสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่ก็ได้ ทำให้มีเจ้าหน้าที่ที่ผมไม่ทราบชื่อจับผมขึ้นม้าด้วย

ที่นี่เป็นกองรักษาการณ์ห่างไกลจากปราสาทจอมมาร

มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย ? ผมน่ะพยายามอย่างหนักที่จะออกมาจากปราสาทแต่สุดท้ายตอนนี้ก็กลายเป็นว่าผมพยายามกลับไปเข้าปราสาท

ผมไม่เคยนั่งหลังม้ามาก่อน

เจ้าหน้าที่ที่ขี่ม้าก็คอยจับตัวผมไว้แน่นจนผมแน่ใจแล้วว่าจะสามารถทดแรงสั่นบนหลังม้าไหว

“บอกรายละเอียดหน่อยได้ไหม ?

ตอนนี้ปราสาทก็ถูกยึดแล้ว ทำไมอัศวินคนนั้นถึงตกอยู่ในอันตรายได้ !?”

ผมเองก็ไม่รู้ว่าบุคคลนี้น่ะจะเป็นลูกน้องของเบอตัสหรือเปล่า แต่ดูๆไปคนๆนี้น่ะยังดูหนุ่มอยู่เลย

ไม่รู้ว่าอำนาจของเบอตัสนั้นจะมาถึงพวกทหารชั้นผู้น้อยด้วยหรือเปล่านะ ?

ผมคิดอยู่สักครู่แต่ต่อจากนี้ชายคนนี้จะเป็นคนที่ช่วยผม

“ผมจะบอก คุณตอนที่เราพบเซอร์ฟรานซิส!”

“เข้าใจละ !”

ผมไม่จำเป็นที่ต้องโน้มน้าวอะไรเขา เขาก็ยังคงเต็มใจช่วยผม

อาจเพราะนี่เป็นการขึ้นขี่ม้าครั้งแรกของผมก็ได้มั้ง สะโพกผมแทบจะหัก แต่มันไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนั้นแล้ว

สภาพของปราสาทจอมมารนั้นเละเทะอันเป็นผลมาจากสงคราม และรอบที่ราบก็มีแต่ปีศาจที่โดนจับเรียงรายกันเหมือนเป็นปลากัลบิ(Gulbi)

ปีศาจพวกนั้นไม่ใช่ว่าตายกันหมด บางส่วนก็ยอมแพ้และกลายเป็นนักโทษ

ผมโล่งใจขึ้นมาที่พวกนั้นไม่ได้ตายกันทุกคน

ถึงอย่างนั้นผมก็แอบรู้สึกผิดที่ทรยศพวกเขา  ทั้งที่ตัวเองก็เป็นเจ้าชายของพวกเขาแท้ๆ

“จะเกิดอะไรขึ้นกับปีศาจพวกนั้น ?”

แม้สถานการณ์จะเร่งด่วนอยู่ แต่ผมก็ยังคงถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวออกไป

“หากเป็นสงครามระหว่างมนุษย์ ก็คงจะเรียกค่าไถ่นั่นแหละ แต่พวกนั้นมันเป็นปีศาจ”

เขาพูดเหมือนกับจะบอกว่า ผมน่ะถามอะไรแปลกๆ

“ถึงตอนนี้เราจะจับพวกนั้นเป็นเชลยศึกแต่จะมีอะไรอย่างอื่นให้เราทำอีกนอกจากฆ่าทิ้ง ?”

การตกลงเจรจากันนั้นไร้ความหมายเพราะเป็นคนละเผ่าพันธุ์กัน

มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเดิมทีมันก็เป็นสงครามแห่งการฆ่าล้างบางกันอยู่แล้ว

เป็นธรรมดาที่จะบดทำลายเมล็ดพันธุ์อีกฝ่ายก่อนมันจะเติบใหญ่ขึ้น

มันทำให้ผมหนักใจ แม้ผมจะเป็นคนธรรมดาๆที่มาอยู่ในร่างกายของเจ้าชายปีศาจ แต่ผมก็ไม่สามารถขจัดความรู้สึกแย่ๆออกไปได้

ผมกับเจ้าหน้าที่ทหารคนนั้นผ่านขบวนแห่นักโทษที่ยาวเหยียด

กำแพงขนาดใหญ่โดนทำลายลง เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณมากมาย ผมรู้สึกแย่ที่ได้เห็นศพของทั้งมนุษย์และปีศาจเรียงราย

“มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนนึงสมควรเห็น”

เขาแสดงความใจดีออกมาด้วยการเอามือของเขาปิดตาผมไว้ขณะที่ขี่ม้า

ผมบอกจำนวนไม่ได้เลยว่า มีมนุษย์และปีศาจกี่คนแล้วที่ตายไป

พวกเราผ่านประตูที่ถูกทำลายไป มีรถม้าจำนวนมากเรียงแถวอยู่

พวกเขาขนข้าวของมากมายที่พบเจอในปราสาทจอมมาร

อาณาจักรปีศาจถูกทำลายอันเนื่องจากสงครามโลกปีศาจ ปัญหาความขัดแย้งที่ยาวนานในที่สุดก็คลี่คลายได้ด้วยมือมนุษย์…

แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ คุณค่าของทรัพย์สินข้าวของต่างๆ

ทุกประเทศที่เข้าร่วมสงครามโลกปีศาจจะได้รับความมั่งคั่งมากมายจากการขายสินค้าจากดินแดนปีศาจ

นั่นคือ ยุคทองคำที่ยาวนานเริ่มต้นในดินแดนของมนุษย์

จะบอกว่า สันติสุขอันยาวนานนั้นแลกมาด้วยเลือดก็ว่าได้

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยได้จินตนาการถึง เรื่องราวนั้นในมุมมองของฝ่ายปีศาจเลย

สุดท้ายมันก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะทำให้สงครามกลายเป็นการปล้นชิง โดยใช้กำลังทหารจำนวนมากกวาดทรัพย์สินเงินทองไปจากปราสาทจอมมาร

รถเกวียนที่เต็มไปด้วยข้าวของนาๆ เคลื่อนออกจากพื้นที่ แล้วก็มีรถเกวียนเปล่าๆคันใหม่เข้ามาแทนที่

เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นพาผมไปส่งที่ศูนย์บัญชาการด้านในตัวปราสาทที่ทำหน้าที่ส่งคนและตรวจค้น

เจ้าหน้าที่คนนั้นทำการวัทยหัตถ์เมื่อเห็นผู้บัญชาการ

“ร้อยโท ไดรัส (Dyrus), ผู้บัญชาการ หมวดที่ 3  , กองร้อยที่ 11 , หน่วยทหารม้าที่ 4 , กองพลจักรพรรดิที่ 1  !”

เขาตะโกนชื่อตำแหน่งตัวเองด้วยใบหน้าเคร่ง

ร้อยโท ไดรัส ในที่สุดผมก็ได้รู้ชื่อเขาเสียที

เขาสังกัดกองทหารม้านี่เอง มิน่าล่ะทำไมเขาถึงขี่ม้าส่งตัวผมมาอยู่ที่นี่

ผู้บัญชาการที่ยืนตรงข้ามกับเขาไม่รู้ว่าเขานั้นเป็นใคร ซึ่งก็พอเดาได้ เพราะดูจากตำแหน่งแล้ว ไดรัสก็น่าจะมียศต่ำกว่า

“แล้วนั่นอะไร ?”

เจ้าหน้าที่คนที่ดูจะมียศสูงกว่า ขมวดคิ้วขณะที่มองหน้าผมสลับกับเจ้าหน้าที่ผู้น้อย

เหมือนเขากำลังจะตำหนิอยู่กลายๆเรื่องที่ อีกฝ่ายไม่ยอมอธิบายให้ชัดเจนว่า ทำไมถึงได้เอาคนที่ไม่ใช่ทหารมาอยู่ที่นี่ด้วย

“ผมพาเด็กชายคนนี้มาก็เพราะเขาบอกว่า เขามีข้อความเร่งด่วนที่ส่งตรงมาจากท่านผู้บัญชาการถึงเซอร์ฟรานซิสครับ

ผมเชื่อว่ามันเป็นข่าวลับ จึงไม่ได้ถามเขาว่า คือข่าวอะไร ”

“หืม ?”

ดูเหมือนคำโกหกน้อยๆของผมจะกลายเป็นโกหกคำโตไปเสียแล้ว ทำเอาผมเสียววาบ

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ถามผมว่าทำไมผู้บัญชาการถึงได้ส่งข้อความเร่งด่วนผ่านคนอย่างผม

“อ่า ….”

สีหน้าของเขาตึงเคร่งราวกับรู้อะไรบางอย่าง

“เซอร์ฟรานซิสน่ะ …. ผมเพิ่งได้รับรายงานว่า เขาตายระหว่างการต่อสู้ระหว่างที่ทำการค้นหาสิ่งของในปราสาท ...”

เบอตัสลงมือก่อนแล้ว ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่หน้าเครียด ร้อยโทไดรัสเองก็เช่นกัน

“มีข้อความอะไรที่ผมสมควรรู้ไหม ?”

“มะ ,ไม่มีครับ ! ผมหมายถึงมันเป็นข้อความส่งตรงถึงเซอร์ฟรานซิสเท่านั้น!”

“น่าสงสารเหลือเกิน เจ้าพวกปีศาจนั่นสมควรตายๆไปซะให้หมด”

สีหน้าผู้บัญชาการคนนั้นหมองเศร้า เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเสียดายที่ต้องสูญเสียอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ไปให้กับปีศาจ

มันไม่ใช่เลย เซอร์ฟรานซิสน่ะถูกมนุษย์ฆ่าไม่ใช่ปีศาจ

“ท่านครับ , นี่ที่ไม่ใช่สถานที่สำหรับเด็ก ผมจะพารีบเขากลับไปส่ง”

“อืม !”

นับเป็นโชคดีที่ผู้บัญชาการคนนั้นไม่ได้ไต่ถามผมเรื่องข้อความที่ส่งให้หรือตัวตนของผม

ดูเหมือนเขากำลังวุ่นยุ่งอยู่กับการพลิกแผ่นดินหาทุกจุดในปราสาท

หลังจากออกฐานบัญชาการ ร้อยโทไดรัสก็จับไหล่ผม

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดถึงได้รู้ว่า เซอร์ฟรานซิสตกอยู่ในอันตราย ?”

ผมบอกว่า ชีวิตของเซอร์ฟรานซิสตกอยู่ในอันตรายแล้วเขาก็ตายไปจริงๆ ผมมองร้อยโทที่อยู่ตรงหน้าผม เห็นได้ชัดเลยว่า เขามีอำนาจน้อยมากที่นี่

แต่ตอนนี้เซอร์ฟรานซิสก็โดนฆ่าไปแล้ว ผมต้องการใครก็ได้มาช่วยผม

“อันที่จริงไม่ใช่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดหรอกครับ”

“อะไรนะ ?”

หวังว่า การดึงคนๆนี้เข้ามาร่วมด้วยจะไม่ใช่ความผิดพลาดนะ

“เจ้าหญิงส่งผมมาครับ”

ผมบอกเขาตามความจริง

ผมอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง ในพื้นที่แยกส่วนในตัวปราสาทที่พวกทหารไม่ผ่านกัน

ผมเริ่มเล่าตั้งแต่จุดที่ เจ้าหญิงโดนขังและได้รับความช่วยเหลือออกมา

“แปลว่า เซอร์ฟรานซิสถูกใครบางคนในกองทัพฆ่า ไม่ใช่ปีศาจอย่างนั้นเหรอ ?”

“ครับ , น่าจะเป็นอย่างนั้น….”

“บ้าเอ้ย นึกไม่ออกเลยว่ามันต้องเจ็บปวดขนาดไหนกับการที่พวกมันพยายามจะทำร้ายองค์หญิงทันทีหลังจากเธอถูกช่วยออกมาแล้ว ?”

เขากัดฟันแน่น ดูเหมือนเขาจะตะลึงกับการที่ได้ยินว่า มีใครบางคนวางแผนการแบบนั้น

“แล้วนายก็มาช่วยองค์หญิงสินะ ?”

“ใช่ครับ”

“เอาล่ะ ผมนับถือความกล้าหาญของนายเลย เจ้าหนู”

เขาแตะไหล่ผมด้วยท่าทางที่ภาคภูมิใจในตัวผม ที่พยายามจะช่วยเหลือเจ้าหญิงแม้ผมจะไม่มีพลังอะไรเลย

แถมเขายังดูตกใจกับความจริงที่มีการห้ำหั่นกันอยู่ในฝ่ายของตัวเอง ทั้งที่คิดว่า เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแล้วแท้ๆ

“ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น

ไม่ว่ายังไงผมจะเป็นพลังให้องค์หญิง ”

แม้ที่นี่จะมีคนรู้คนเห็นเยอะ แต่ก็ยังมีพวกเดียวกันถูกฆ่าอีก

นั่นก็แปลว่า ลูกน้องของเจ้าชายเบอตัสนั้นมีอยู่ทั่วกองทัพจักรวรรดิแล้ว

“ผมต้องไปหาองค์หญิงให้เร็วที่สุด ถึงผมจะไม่เก่งกาจอย่างเซอร์ฟรานซิส แต่แค่มีอีกคนมาช่วยก็มีความหมายมากเกินพอแล้ว”

“ใช่แล้วครับ”

นับเป็นโชคดีที่ ไดรัสนั้นเป็นคนรักความยุติธรรมและไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไป ผม ไม่ได้บอก ว่า เขาอาจต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วย

แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่า เขาอาจจะต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้องเธอ

ตอนที่เขากำลังจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวผม

“ร้อยโทครับ เดี๋ยวก่อนครับ”

“อะไรล่ะ ? ผมต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด”

ผมชี้ไปที่พวกรถเกวียนจำนวนมาก

“ตอนนี้มีวิธีช่วยเจ้าหญิงแล้วครับ”

ใช่แล้วล่ะ ผมต้องกล้ากลับไปที่ปราสาทจอมมารอีกรอบ

“ที่นี่คือปราสาทจอมมาร”

“ใช่ แล้วมันยังไง ?”

“ผมเห็นสิ่งที่อยู่ในห้องไอเทมเวทย์มนตร์ ตอนที่ผมถูกช่วยออกมาครับ”

ผมมาไกลถึงขนาดนี้ ผมไม่มีทางยอมกลับไปมือเปล่าแน่

“ทำไมเราถึงไม่ลองไปค้นหาคัมภีร์เทเลพอร์ทดูที่นั่นล่ะครับ ?”

ถึงคัมภีร์วาร์ป เคลื่อนย้ายอาจใช้ที่นี่ไม่ได้ แต่ในค่ายทหารน่ะใช้ได้แน่ๆ

ด้วยการใช้เวทย์นั้น เจ้าหญิงก็สามารถหนีพ้นจากสถานที่อันตรายได้

ผมได้แต่หวังว่า คลังเก็บม้วนคัมภีร์จะไม่โดนปล้นไปซะก่อนนะ และถ้าไม่มีใครไปปล้นคัมภีร์เทเลพอร์ทคงต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ

เราไม่สามารถขอให้พวกพ่อมดช่วยเทเลพอร์ทเราไปได้ เพราะพวกนั้นตั้งใจจะขังเราไว้

ไดรัสดูจะลังเล เขาไม่แน่ใจว่า เป็นทางเลือกที่ถูกไหมในการหาคัมภีร์เทเลพอร์ทที่ยังไม่แน่เลยว่า มันมีอยู่จริงหรือเปล่า

แต่ผมน่ะรู้ดีถึงตำแหน่งของคัมภีร์เทเลพอร์ท แล้วถ้าผมยืนยันได้แล้วว่า มันโดนคนอื่นฉกไปแล้ว เราก็ออกมาเลยทันที

“ให้ตายเถอะ ก็ได้ ดูเหมือนผมจะช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ต่อให้อยู่กับองค์หญิงก็เถอะ ….”

เขาพยักหน้าด้วยความที่รับรู้ขีดกำจัดในความสามารถของตัวเอง

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักถึงแผนที่ของปราสาทจอมมาร ถึงอย่างนั้นผมก็พอจำอะไรบางอย่างได้ตอนที่ออกมาจากคุก

เนื่องจากมีทหารเข้าๆออกปราสาทอยู่เยอะ จึงไม่มีใครหยุดหรือห้ามเราไว้

“ทางนี้”

อาจมีหลายคนที่มองผมด้วยความสงสัยเพราะผมเดินตัวเปล่าไร้อาวุธ แต่ผมไม่ว่างพอจะไปอธิบายให้พวกเขาฟัง

ถือว่า โชคดีที่ผมสามารถเดินย้อนรอยแกะเส้นทางกลับไปได้ถูก

ปราสาทจอมมารน่ะกว้างขวางมาก และคุกที่ผมอยู่ กับห้องเก็บไอเทมเวทย์มนตร์นั้นอยู่ลึกเข้าไป มันจึงเป็นไปได้สูงมากที่มันจะยังไม่โดนปล้น

“นี่มันกว้างเกินไปละ !”

ทำเอาผมเหนื่อยเสียจนต้องขึ้นขี่หลังไดรัส  ผมพยายามขุดค้นความจำตัวเอง แล้วชี้ทิศทางที่ผมนึกออ

ถือว่าดีมากที่เราไปถึงโดยไม่หลง

“นี่แหละ ยังอยู่ดีอยู่!”

โชคดีสุดๆ ทุกอย่างสภาพยังดีอยู่ดูเหมือนไม่มีใครมาเจอที่นี่

“…ดูแล้ว มันไม่ได้อยู่ดีตรงไหนเลย ผมว่ามีใครบางคนมาถึงที่นี่แล้วไม่ใช่รึ ?”

โอ้ะ คนๆนั้นมันผมเองแหละ

“อ่า , เรื่อง , เรื่องนั้น …… ผม, ผมหมายความว่า คัมภีร์มันยังอยู่ดีอยู่เลย !”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นมาหากัน”

ผมแทบจะหยิบคว้าคัมภีร์เทเพอร์ทที่กระจายอยู่บนพื้น

“ผมเจอแล้ว  !”

“เจอแล้วเหรอ ?”

“ใช่ฮะ,ดูนี่สิ”

ชื่อของเวทย์มนตร์ที่เขียนไว้บนคัมภีร์นั้นใช้ภาษาทั่วไป เขาไม่ถามผมด้วยซ้ำว่า ผมไปเจอมันได้ยังไงบ

ถ้าบนนั้นเขียนด้วยภาษาปีศาจ เขาคงสงสัยผมแหงๆ

กับการที่ผมรู้ทั้งสองภาษาทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยเรียนมาก่อน

มันเหมือนสูตรโกงที่แถมมาด้วยสำหรับคนที่มาจากต่างโลก ผมเก็บคัมภีร์กลับไปโดยที่ไม่เปิดใช้งานมัน และแน่นอนการเทเลพอร์ทนั้นใช้ได้ผลกับแค่คนๆเดียว

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ม้วนคัมภีร์เทเลพอร์ทหมู่น่ะมีไหม แต่ผมต้องหามันเพิ่มอีก

ไม่ใช่แค่ชาร์ล็อตคนเดียว แต่ผมก็ต้องออกไปจากที่นี่ด้วยเหมือนกัน อ้อ ไดรัสเองก็ด้วย เขาก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน

“ผมอยากได้มากกว่านี้อีก เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เราต้องการคัมภีร์เพิ่มอีกเผื่อมันช่วยเราได้ ”

“เจ้าหนู , เอานี่ไปสิ”

“นะ , นี่มัน …?”

“หนังสือเก็บคัมภีร์, นี่เป็นครั้งแรกที่นายเห็นสินะ ? มันอยู่ตรงนั้นน่ะ”

เขาส่งหนังสือเปล่าให้ผม

“มะ , ไม่ใช่แบบนั้น ผมรู้ว่าใช้ยังไง”

“แบบนั้นก็ดี ใช้มันสิ”

ผมรู้ว่า หนังสือคัมภีร์คืออะไร

มันไม่ใช่ไอเทมเวทย์ด้วยซ้ำ ,ก็แค่หนังสือที่สามารถใส่คัมภีร์ลงไป แล้วดึงออกมาใช้ได้ด้วยการฉีกหน้ากระดาษหน้าที่ต้องการใช้

มันเป็นของที่คนที่ไม่ใช่พ่อมดใช้กัน แต่อยากจะใช้เวทย์ในสนามรบ

มันเป็นไอเทมที่ผมคิดขึ้นมาเองไม่มีทางที่ผมจะไม่รู้จักมันหรอก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็รู้สึกแปลกๆที่มีของที่ผมจินตนาการมาอยู่ในมือแบบนี้

นับเป็นเรื่องดีที่ผมไม่ต้องหอบคัมภีร์เข้ากระเป๋า

ผมเริ่มใส่เวทย์ที่มีประโยชน์ลงในหนังสือคัมภีร์ ขณะที่ไดรัสเองก็หาหนังสือคัมภีร์แล้วเติมเวทย์ลงไปด้วยเช่นกัน

“ปราสาทจอมมารนี่สุดยอดจริงนะ ผมได้ยินมาว่า แค่คัมภีร์ระดับต่ำเล่มเดียวก็มีราคาสูงกว่าเงินเดือนผมแล้ว”

ดูเหมือนเขาจะนับถือกับกองคัมภีร์ที่มีมากมาย

“ได้ยินมาว่า คัมภีร์เวทย์ส่วนมากใช้ไปหมดแล้วในสงคราม แต่ถ้าเราเอาพวกคัมภีร์ระดับล่างไปหมดก็ถือว่าชดเชยเพียงพอเลยล่ะ”

ไดรัสพูดไปขณะที่ค้นหาคัมภีร์ไปด้วย

ถึงจะไม่มีเวทย์โจมตีหมู่ แต่พวกเราก็รวบๆคัมภีร์ที่มีประโยชน์

ก่อนหน้านี้ผมไม่สามารถเอามาด้วยได้เพราะต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อปลอมตัวแต่ตอนนี้ผมสามารถเก็บมันทุกเล่มได้

ได้ คัมภีร์มีประโยชน์มาแล้ว ไปเล้ยย ตัวผม

แล้วผมก็ถึงกับตาโตขึ้นมาเพราะเจออะไรบางอย่าง

“เดี๋ยว !”

“อะ, อะไร ?”

[เทเลพอร์ทหมู่] [Mass Teleportation]

สามารถเคลื่อนย้ายคนไปหลายคนพร้อมกันได้

คราวนี้ไม่จำเป็นต้องหาคัมภีร์เทเลพอร์ทเพิ่มอีกแล้ว

“ไปกันเถอะ ร้อยโท !”

“ใช่ รีบไปเถอะ”

และตอนที่เราจะก้าวเท้าออกจากห้อง พวกเราก็ถึงกับตัวแข็งทื่อไป

“ห้ะ ?”

“เอ้ะ”

ดวงตาของพวกเราสบเข้ากับทหารที่แบกห่อผ้า

ไม่สิ  ,ถ้าลองคิดดูดีๆ จะมองมุมไหนพวกเราก็แค่คนที่ลักลอบขโมยของที่ควรจะเป็นของกองทัพไม่ใช่รึไง ? และมันเป็นความผิดอาญาด้วยในการลักขโมยแบบนี้

แล้วถ้าเจ้าพวกนั้นไม่ยอมให้เราไปง่ายๆล่ะ ?

ผม ไดรัส และทหารอีกคนนั้นมองจ้องกันอยู่เงียบๆ

ไดลัสขบฟัน เป็นไปได้ว่า เขาอาจเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายไว้แล้ว

เพื่อภารกิจปกป้องเจ้าหญิง เขาเตรียมใจจะทำทุกอย่าง

แม้มันจะหมายถึงการกำจัดพวกพ้องของตัวเองก็ตามที

“คืองี้นะ ร้อยโท”

ทหารคนนั้นพูดขึ้นอย่างระวังหลังจากตรวจดูยศของไดรัสดีแล้ว

“ว่าไงดีล่ะ ทั้งสองฝ่ายมา ปิดตาไปข้างนึงดีไหม ?”

…..…เอ้ะ นายก็ด้วยเหรอ ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด