บทที่ 9 : ทฤษฎีพลังในร่างกาย
บทที่ 9 : ทฤษฎีพลังในร่างกาย
เมื่อโม่ซิ่วได้รู้ว่าอาจาย์ถังคือชายชราในห้องสมุด เขาก็รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทั้งสี่คนก็ไปสถานที่ที่เหมือนกับห้องเรียนและนั่งลง
ที่ด้านหน้าของห้องมีเตียงและกระดานดํา ในขณะเดียวกันก็มีเก้าอี้กระจัดกระจายที่อยู่ด้านหลังของห้องเรียน
พวกเขาสองสามคนรีบจัดเก้าอี้ให้เป็นระเบียบหลังจากเข้าห้องเรียนเพื่อไม่ให้ทั้งห้องเรียนดูยุ่งเหยิง
ในขณะที่โม่ซิ่วกําลังสงสัยว่าอาจารย์จะสอนอย่างไรโดยที่มีเตียงอยู่หน้าห้องนั้น...
หวังหยูได้ก้าวเข้ามาในห้องเรียนและนั่งลงบนเตียง จากนั้นเขาก็ปรับแว่นและพูดว่า "ดีมาก ทุกคนอยู่ที่นี่ครบแล้ว"
โม่ซิ่วตกใจมากจนพูดไม่ออก เพราะนอกจากชื่อชั้นเรียนระดับสูงแล้ว ห้องเรียน อาจารย์และหลายๆดูเรียบง่ายอย่างมาก
โม่ซิ่วรู้สึกว่าเขาควรจะอยู่ในโรงเรียนมากกว่าที่นี่ หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่อีกสามคนและเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดมองไปที่ หวังหยูด้วยความเคารพ
หวังหยูจึงกระแอมและพูดว่า “อะแฮ่ม ฉันจะแนะนําให้พวกเธอรู้จักกับหลักสูตรของชั้นเรียนระดับสูงว่าจะมีการเรียนการสอนทั้งหมดสิบวัน ซึ่งจะแบ่งออกเป็นคาบเรียนทฤษฎีที่ฉันจะสอนในตอนเช้า และคาบเรียนด้านการต่อสู้ที่หวังเล่ยพี่ชายของฉันจะสอนในตอนบ่าย”
“ก่อนอื่น สิ่งที่สอนในคาบนี้มันอาจจะไม่มีประโยชน์มากสําหรับการสอบเข้าวิทยาลัยของพวกเธอ”
“สิ่งสําคัญคือการพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของพวกเธอ ดังนั้นคาบเรียนทฤษฎีจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่พวกเธอได้เรียนมาตอนม.ปลายเช่นกัน”
“พวกเธอมีคําถามอะไรไหม? ถ้าไม่มีฉันจะเริ่มสอนทันที”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครถามคําถามใดๆหวังหยูจึงกล่าวต่อ "เอาล่ะ วันนี้พวกเราจะมาเรียนรู้ถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพลัง"
โม่ซิ่วนั้นไม่เข้าใจ หวังเล่ยเพิ่งบอกว่าเขาจะไม่พูดถึงความรู้ในระดับม.ปลาย แล้วทําไมเขาถึงต้องพูดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพลัง?
“พวกเธอทุกคนคงรู้ถึงพลังที่จะถูกปลุกขึ้นมาอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเธอรู้หรือไม่ว่าอะไรคือจุดแข็งในการปลุกพลังขึ้นมา?”
โม่ซิ่วส่ายหัวเป็นการแสดงว่าเขาไม่แน่ใจ ในขณะเดียวกันหลิวซี่หยางนั้นพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ผมรู้ครับ พลังนั้นสามารถสืบทอดต่อได้”
หวังหยูพูดเสริมว่า “ถูกต้อง พลังนั้นไม่ได้ปรากฏขึ้นมาแบบสุ่ม พวกมันได้รับการสืบทอดมา หรือก็คือพลังของพ่อแม่พวกเธอมีแนวโน้มที่จะสืบทอดส่งตรงมาถึงพวกเธอได้”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่เกี่ยวกับพลัง พลังนั้นจะจํากัดเฉพาะความถนันทั่วไปตามความสามารถในร่างกายของแต่ละคน ซึ่งฉันจะเรียกสิ่งนี้ว่าทฤษฎีขีดจํากัดของร่างกาย”
“ร่างกายนั้นแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งหมวดหมู่ที่กว้างที่สุดคือร่างกายของนักรบ ร่างกายของนักฆ่า ร่างกายของนักเวทย์ และร่างกายพิเศษที่ค่อนข้างหายาก”
“สําหรับผู้ที่มีร่างกายเป็นนักรบนั้น พลังที่ตื่นขึ้นของพวกเขาส่วนใหญ่จะประกอบด้วยพลังโจมตีและป้องกันขั้นพื้นฐาน”
“สําหรับผู้ที่มีร่างกายนักฆ่า พวกเขาจะปลุกพลังที่เน้นความว่องไว ซ่อนเร้นหรือพลังที่สร้างความเสียหายรุนแรงในครั้งเดียว”
“สําหรับผู้ที่มีร่างกายเป็นนักเวทย์ พลังของพวกเขามีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายจากพลังธาตุเป็นส่วนใหญ่”
“และเนื่องจากทุกคนมีร่างกายเป็นของตัวเอง ดังนั้นการเลือกพลังของพวกเขาจึงถูกจํากัดแค่ในร่างกายของพวกเขา”
ท่าทีของโม่ซิ่วนั้นจริงจัง เพราะนี่ไม่ใช่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพลัง แต่นี่เป็นทฤษฎีที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นโม่ซิ่วจึงถามว่า “อาจารย์ ผมมีคําถาม ทําไมผมถึงไม่เคยได้ยินทฤษฎีนี้มาก่อนเลยครับ?”
หวังหยูปรับแว่นตาของเขาและพูดว่า "ถ้าเคยได้ยินสิแปลก เพราะฉันเป็นคนพัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง"
โม่ซิ่วนั้นไม่ใช่คนเดียวที่ตกตะลึง เพราะเมื่อคนอื่นๆได้ยินคําพูดของหวังหยู พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตกตะลึง
“นี่ไม่ใช่บ้าอะไรกัน? เขาเพิ่งพูดถึงทฤษฎีที่เขาคิดขึ้นมาเองงั้นเรอะ?!”
เย่หยวนจึงถามว่า "อาจารย์ แล้วทฤษฎีของอาจารย์นั้นถูกต้องจริงๆหรือ?"
หวังหยูไม่ได้ตอบคําถามของเย่หยวน แต่เขาพูดตรงๆว่า “โม่ซิ่วนั้นมีร่างกายนักรบ หลิวซี่หยางมีร่างกายนักฆ่า และเย่หยวนมีร่างกายนักเวทย์ ส่วนร่างกายของมู่ชิงอี้นั้นฉันไม่สามารถระบุได้ นายก็ลองไปคิดดูแล้วกันว่าฉันพูดถูกไหม?”
ทุกคนถึงกับเงียบลง โม่ซิ่วจึงมุ่งความสนใจไปที่พลังของเขา พลังที่สามารถใช้ได้ตอนนี้คือ “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” ซึ่งตามทฤษฎีของหวังหยู มันก็เหมาะกับคนที่มีร่างกายนักรบจริงๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร หวังหยูจึงพูดต่อ “ฉันขอแนะนําตัวเองอีกครั้ง ฉันเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจากองค์กรเงา พลังแรกของฉันคือ”การสแกน“ซึ่งพลังนี้ทําให้ฉันเห็นคุณลักษณะพื้นฐานของพวกเธอ ส่วนพลังที่สองของฉันคือ”การแบ่งหมวดหมู่ความรู้“ดังนั้นฉันจึงสามารถใช้พลังนี้เพื่อรวมข้อมูลจำนวนมากและเปลี่ยนเป็นหมวดหมู่ได้ พลังที่สามของฉันคือ”การวิเคราะห์ตัวเลขฉับพลัน“ในขณะที่พลังที่สี่ของฉันคือ”การรักษาความลับ“ ”
“ฉันมีร่างกายประเภทฐานเก็บข้อมูล ซึ่งหมายความว่าฉันเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านความรู้ดังนั้นจึงมีหลายคนที่รู้ถึงพลังของฉัน ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องเก็บมันเป็นความลับ นอกจากนี้ทฤษฎีทั้งหมดของฉันยังมีพื้นฐานอีกหลายอย่าง”
โม่ซิ่วตกใจมาก ถึงแม้ว่าพลังเหล่านี้จะไม่แข็งแกร่ง แต่เมื่อรวมกับระบบข่าวกรองที่ทรงพลังขององค์กรเงา มันจะเป็นการคุมความได้เปรียบด้านข้อมูลอย่างมาก
ถ้าให้พูดตรงๆ คนที่กำลังสอนเขาอยู่ก็ไม่ต่างกับคอมพิวเตอร์ขององค์กรเงาด้วยซ้ำ
โม่ซิ่วไม่เคยคิดเลยว่าคนระดับนี้จะมาสอนเขา ดังนั้นเขาจึงถามหวังหยูเพิ่มเติม
หลังจากนั้น หวังหยูก็พูดถึงความรู้ด้านพลังมากมายที่โม่ซิ่วไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นทั้งสี่คนจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งกับปากกาขึ้นมาเพื่อจดข้อมูล
โม่ซิ่วตั้งตารอคาบเรียนการต่อสู้อย่างมาก เพราะสิ่งที่หวังหยูพูดอาจไม่มีผลต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่มันสําคัญมากสําหรับการพัฒนาในอนาคตของเขา
ถ้าเขาใช้ความรู้นี้ได้ในแง่ที่ดี มันจะสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของการต่อสู้หรือกระทั่งกระแสของการต่อสู้ได้
การบรรยายกินเวลาทั้งช่วงเช้า ซึ่งโม่ซิ่วนั้นให้ความสนใจขณะที่เขาฟังหวังหยูและจดบันทึกไปด้วย
หลังจากคาบเช้าผ่านไป โม่ซิ่วรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง เพราะนี่ไม่ใช่แค่คาบเรียนแต่ มันเป็นการเปลี่ยนความเข้าใจทั้งหมดของเขาตั้งแต่เกิดมา
นอกจากนี้คาบเรียนนี้ยังมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อโม่ซิ่วมาก ซึ่งมันได้รับการสอนโดยอาจารย์ที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องธรรมดา
อาจเป็นเพราะพวกเขาได้รับการสอนที่แตกต่างกันมาตั้งแต่ยังเด็ก มู่ชิงอี้และอีกสองคนจึงไม่มีความรู้สึกแบบนี้ บางทีพวกเขาอาจได้รับรู้เรื่องนี้มาจากครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นพวกเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับพลังไม่มากก็น้อย
แต่ว่าความรู้ทั้งหมดของโม่ซิ่วตั้งแต่เด็กนั้นมาจากหนังสือเรียนของโรงเรียน จึงทําให้โม่ซิ่วคิดถึงการสอนของหวังหยูตลอดยันช่วงบ่าย
คาบเรียนการต่อสู้ในช่วงบ่ายกำลังจะเริ่มขึ้น ซึ่งทั้งสี่คนก็ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบภายในห้อง
หวังเล่ยค่อยๆเดินเข้าหาพวกเขาและพูดว่า “พวกเราจะเริ่มคาบเรียนการต่อสู้ตั้งแต่ตอนนี้ พวกเธอจะต้องเข้าใจความสําคัญของคาบการต่อสู้ ในอีกสิบวันนี้แม้ว่าจะไม่มีการทดสอบในคาบเรียนทฤษฎี แต่จะมีการสอบการต่อสู้เพียงอย่างเดียว ดังนั้นพวกเธอทุกคนควรจงเตรียมใจให้พร้อม”
"ครับ/ค่ะ!"
พวกเขาสี่คนตะโกนออกมาพร้อมเพรียงกัน
“เอาล่ะ มาเริ่มบทเรียนกันเลย เนื้อหาบทเรียนในวันนี้คือการต่อสู้กับฉัน พวกนายทุกคนจะต้องบุกเข้ามาหาฉันพร้อมๆกัน”
โม่ซิ่วและคนอื่นๆต่างมองหน้ากัน
“นี่จะเอาตั้งแต่คาบแรกเลยงั้นเรอะ?”
โม่ซิ่วจึงถามไปว่า "อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องไปวอร์มก่อนไม่ใช่เหรอ?"
หวังเล่ยจึงพูดสวนทันทีว่า “ถ้านายได้เจอศัตรู พวกเขาจะให้เวลานายวอร์มร่างกายมั้ย? นอกจากนี้ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฝึกพื้นฐานของนาย เร็วเข้ารีบเข้ามาได้แล้ว!”
พวกเขาทั้งสี่คนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามคำสั่ง ส่วนโม่ซิ่วนั้นค่อนข้างหัวเสียมาก เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังของเพื่อนร่วมทีมนั้นเป็นอย่างไร?
ในฐานะหัวหน้าทีม โม่ซิ่วจึงต้องเป็นคนเริ่มโจมตีเท่านั้น ซึ่งเขาได้ใช้ “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” และพุ่งไปต่อยใบหน้าของหวังเล่ยทันที
หวังเล่ยนั้นไม่ได้ขยับร่างกายแต่อย่างใด แต่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟและแม้แต่ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเปลวไฟเช่นกัน
หมัดของโม่ซิ่วนั้นตกลงมาบนใบหน้าของหวังเล่ยอย่างรุนแรง แต่หวังเล่ยกลับไม่ขยับเลย ในทางตรงกันข้าม โม่ซิ่วกลับต้องถอยออกไปตั้งหลักอีกครั้งกว่าที่เขาจะกลับมาทรงตัวได้
เมื่อมองไปที่รอยไหม้บนมือของเขา เขาจึงมองไปที่หวังเล่ยด้วยความตกใจ แม้ว่าเขาจะใช้พลังของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถทําลายการป้องกันของหวังเล่ยได้
แล้วพวกเขาจะสู้กับคนแบบนี้ได้ด้วยวิธีไหนกัน?