บทที่ 6: หลี่หยวน
บทที่ 6: หลี่หยวน
เมื่อการต่อสู้จบลง เหล่าอาจารย์ในโรงเรียนก็กรูกันเข้ามาดูสถานการณ์
อาจารย์ประจำชั้นของโม่ซิ่วกาวเฉียนเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่เข้ามาถึง และเมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็ถึงกับตกตะลึงที่นักเรียนสามคนสามารถจัดการกับปีศาจอินทรีได้สำเร็จ
ตอนนี้โม่ซิ่วกับอีกสองคนกำลังได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากนักเรียนคนอื่นๆ
โม่ซิ่วยื่นมือขวาออกไปหาหนุ่มแว่น “ไง ฉันชื่อโม่ซิ่ว คนนี้ชื่อเจิ้งอี้”
ตอนนี้หนุ่มแว่นได้กลับมาสู่สภาพรูปร่างผอมบางของเขาแล้ว หลังจากที่ปรับแว่นเขาก็จับมือกับโม่ซิ่ว “ฉันชื่อลิ่วชิงหยู ฉันเคยได้ยินเรื่องราวความเก่งกาจของนายมาบ้างแล้ว แต่เท่าที่เห็นทุกคนยังประเมินนายต่ำไปมากทีเดียว”
โม่ซิ่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าลิ่วชิงหยูเป็นคนเก็บตัวเพราะด้วยฝีมือขนาดนี้ไม่ทางที่จะไม่มีใครรู้จัก
แต่หลังจากได้ยินคำพูดที่ยกย่องของลิ่วชิงหยู เขาจึงรู้ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน และสาเหตุที่เขาไม่มีใครรู้จักเป็นแค่เพราะเขาชอบเก็บตัว
โม่ซิ่วอยากจะคุยกับลิ่วชิงหยูต่ออีกสักหน่อย แต่เจิ้งอี้ก็มาขัดจังหวะ
“พวกนายสองคนคุยอะไรกันอยู่น่ะ?! แต่เรื่องนั้นน่ะชั่งเถอะโม่ซิ่ววันนี้นายเท่โคตรเลยนอกจากนี้การต่อสู้ครั้งนี้ก็มันส์โคตรๆ ด้วย!”
โม่ซิ่วถอนหายใจเบาๆเพราะรู้ว่าต่อให้จะพูดอะไรจริงจัง เจิ้งอี้ก็จะพาออกนอกเรื่องไปหมด
ลิ่วชิงหยูพูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกัน “เนอะ เท่โคตรๆเลย!”
พอเห็นอาจารย์เดินเข้ามา ลิ่วชิงหยูจึงรีบทำความเคารพก่อนที่จะจากไป
“ฉันน่ะอยู่ม.6 ห้อง 2 ถ้าพวกนายอยากคุยอะไรกับฉันภายหลังก็มาหาฉันได้เลย นอกจากนี้ฉันก็ไม่ชอบเป็นจุดสนใจของหลายๆคนเดียว ดังนั้นฉันต้องขอตัวไปก่อนล่ะ”
โม่ซิ่วถึงกับงง เพราะลิ่วชิงหยูเป็นคนที่แปลกจริงๆ
อาจารย์กาวเฉียนเดินนำเหล่าอาจารย์มาก่อนที่จะถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับพวกโม่ซิ่วและเจิ้งอี้ไม่กี่ข้อแล้วก็แยกย้ายกันไป
ตอนนี้เรื่องที่เร่งด่วนคือการรักษาเพื่อนร่วมชั้นและหาสาเหตุที่ปีศาจอินทรีปรากฏตัวขึ้นในโรงเรียน เพราะโรงเรียนมัธยมต้นที่ เมืองแห่งนี้ไม่ได้อยู่ติดเขตชายแดนดังนั้นพวกสัตว์ร้ายและปีศาจจะไม่ปรากฎตัวขึ้นได้ง่ายๆ และยิ่งเข้ามาในโรงเรียนได้ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ
โม่ซิ่วกับเจิ้งอี้จึงแยกย้ายกันกลับบ้านตัวเอง เพราะหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาก็หมดแรงไปหมด
การใช้พลังเพียงแค่ 3 นาทีสำหรับโม่ซิ่วนั้นรู้สึกเหนื่อยกว่าฝึกซ้อมทั้งบ่ายเสียอีก
เมื่อโม่ซิ่วกลับมาถึงบ้านและไม่เห็นแม่ เขาเลยเดินเข้าไปนอนพักในห้องตัวเอง พอตรวจสอบพลังของตัวเองอีกครั้ง มันได้กลายเป็น “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” ไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้มันยังติดคูลดาวน์และใช้ไม่ได้
หลังจากนั้น โม่ซิ่วก็หลับโดยไม่รู้ตัวและตื่นขึ้นอีกทีเพราะเสียงแม่ปลุก
"โม่ซิ่ว ตื่นมากินข้าวกันเถอะ วันนี้วันเกิดลูกแม่ตุ๋นไก่ให้ลูกกินเป็นพิเศษเลยนะ"
โม่ซิ่วเดินตามแม่ไปที่โต๊ะอาหารและเห็นกับข้าว 4 อย่าง กับซุปอีก 1 หม้อใหญ่ ซึ่งทำให้โม่ซิ่วรู้สึกซึ้งใจขึ้นมา
ในยุคนี้ วันเกิดกับวันปลุกพลังนั้นเป็นวันเดียวกันดังนั้นความสำคัญของวันเกิดจึงลดน้อยลง
ครอบครัวธรรมดาๆนั้นจะดูพลังที่ลูกๆของเขาปลุกขึ้นมาได้ก่อน ถ้าหากว่าได้พลังที่ดีพวกเขาก็จะเชิญญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมาเลี้ยงฉลอง
แต่ถ้าได้พลังที่ห่วยแตก บางบ้านพ่อแม่ก็อาจจะปลอบใจลูก แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่นั้นจะไม่ค่อยพอใจและบางบ้านถึงขั้นดุลูกตัวเองเลยด้วยซ้ำดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการฉลองใดๆเลย
พ่อแม่เองก็โทษลูกไม่ได้ ซึ่งมันเพราะสภาพแวดล้อมทำให้การปลุกพลังนั้นมันสำคัญกับคนมากเกินไป
แต่สำหรับหลี่หยวนเธอนั้นแตกต่างออกไป เธอจะจัดงานฉลองวันเกิดให้โม่ซิ่วอย่างดีที่สุดทุกปี แถมเธอยังไม่ค่อยสนใจพลังของเขาสักเท่าไหร่นัก
มันก็เหมือนกับตอนที่เห็นโม่ซิ่วได้ปลุกพลังวิเศษได้ ซึ่งพอถึงตอนเช้าเธอก็แค่ถามไปเฉยๆเท่านั้น ส่วนโม่ซิ่วเองก็ตอบสั้นๆว่า พลังของเขานั้นดี
หลังจากนั้น แม่ของเขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพลังหรือความสามารถจากพลังของเขาอีกเลย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะความรักความไว้ใจที่แม่มีให้เขาก็ได้
โม่ซิ่วก้มหน้าก้มตากินข้าวและเขาก็ไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้แม่ฟัง เพราะกลัวว่าแม่จะกังวล
ซึ่งนี่ก็เป็นนิสัยของโม่ซิ่วอยู่เสมอที่มันจะบอกแต่เรื่องดีๆและไม่เคยเล่าเรื่องร้ายๆเลย
"แม่ครับ ผมจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหยานจิ่ง (มหาวิทยาลัยหยานจิ่ง - มหาวิทยาลัยในกรุงปักกิ่ง) ถ้าผมสอบติดแม่ก็จะไม่ต้องทำงานที่นี่อีกต่อไป เพราะงั้นแม่ไปอยู่กับผมที่หยานจิ่งนะ"
แม่ที่กำลังคีบน่องไก่ใส่ชามโม่ซิ่วถึงกับยิ้มแล้วพูดว่า "แม่น่ะแก่แล้ว แม่ไม่ไปอยู่เป็นภาระให้ลูกหรอก ลูกน่ะไปทำตามความฝันของลูกเถอะ"
"แต่แม่ครับ ผมไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว แม่ก็เลี้ยงผมมาตลอด 18 ปีแล้ว พอผมเข้ามหาวิทยาลัยผมจะดูแลแม่เอง"
หลี่ หยวนเอาตะเกียบไปเคาะหัวโม่ซิ่วเบาๆซึ่งเป็นการกระทำที่ทำมาตั้งแต่เด็กๆ แต่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วที่แม่ของเขาไม่ได้ทำแบบนี้กับเขา
"โลกนี้น่ะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ลูกคิดหรอก ตอนลูกยังเด็กแม่ก็เคยถามลูกนะว่าอยากประสบความสำเร็จหรืออยากจะอยู่กับแม่ที่นี่ไปตลอด ตอนนั้นคำตอบของลูกมันก็กำหนดคำตอบของแม่ในวันนี้แล้วไง"
"แม่ครับ..."
"เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว! แค่กลับมาหาแม่บ้างก็พอแล้วล่ะ"
โม่ซิ่วมองหน้าแม่ที่เด็ดเดี่ยวและไม่พูดอะไรต่อ เขากำหมัดแน่นและตั้งปณิฐาณว่าจะไม่ยอมให้แม่ต้องลำบากอีกเด็ดขาด
หลังจากกินข้าวเสร็จ โม่ซิ่วออกไปยังภูเขาแถวบ้านที่ไม่ค่อยมีคนมากนัก
โม่ซิ่วพอจะเข้าใจพลังของตัวเองเบื้องต้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่เพื่อยืนยันความคิดของเขาว่ามันถูกต้องหรือไม่
หลังจากที่มองไปรอบๆและแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงเปิดใช้งาน “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” ทันที
คราวนี้ โม่ซิ่วจ้องไปที่รูปแบบทันทีที่เขาใช้ "พลังก้าวข้ามขีดจำกัด" ซึ่งรูปแบบของ “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” นั้นได้เปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรกและเปล่งประกายแสงออกมา
หลังจากนั้นรูปแบบของ "พลังก้าวข้ามขีดจำกัด" ก็หมุนวนไปหนึ่งรอบ หลังจากนั้นมันก็หมุนทวนกลับมาด้านหลังและกลายเป็น "พลังเนตรแห่งพระเจ้า"
“อย่างงี้นี่เอง!!”
ในที่สุด โม่ซิ่วก็เข้าใจและรู้แล้วว่าตอนนี้เขามีพลังอยู่ถึงสามอย่างจริงๆ
"พลังเนตรแห่งพระเจ้า" และ "พลังก้าวข้ามขีดจำกัด" นั้นจะใช้ตำแหน่งพลังเดียวกัน ซึ่งพลังทั้งสองจะติดกันเหมือนกับเหรียญที่มีหัวก้อย ดังนั้นเมื่อใช้พลังใดพลังหนึ่ง มันจะไปกระตุ้นพลังติดตัว "พลิ้ว" ซึ่งทำให้พลังที่ติดกันนั้นถูกบิดพลิ้วไปอีกด้านหนึ่ง
โม่ซิ่วถอนหายใจออกมายาวๆ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่มีปัญหาในเรื่องพลังของเขาหรือความไม่แน่นอนของพลังอีกต่อไป
ด้วยวิธีนี้ โม่ซิ่วผู้มีพลังถึงสองอย่างจะอยู่เหนือกว่าเพื่อนร่วมรุ่นทุกคน
ความแข็งแกร่งของพลังนั้นช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นของโม่ซิ่วที่จะแข็งแกร่งขึ้น และเนื่องจากตอนนี้ "พลังก้าวข้ามขีดจำกัด" พร้อมใช้งานแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มฝึกฝนทันที
หลังจากที่เปิดใช้ “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” แล้ว โม่ซิ่วนั้นรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าพละกำลังของเขา เพิ่มขึ้นถึง 100% ทันทีหลังจากเขาเปิดใช้งานพลังนี้
อันที่จริง มันไม่ได้เป็นการเพิ่มแค่พลังเท่านั้น เนื่องจาก “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” นั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพจากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความคล่องแคล่ว พละกำลัง ความเร็วในการตอบสนอง และอื่นๆ ดังนั้นความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาจึงเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% อย่างแน่นอน
หลังจากนั้น โม่ซิ่วก็วิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ผ่านป่าไป เพื่อฝึกความอึดของเขา
การเพิ่มค่าประสิทธิภาพก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าการจะใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นเมื่อโม่ซิ่วสามารถปรับตัวให้เข้ากับพลังที่เพิ่มได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้น เขาจึงจะสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดของ “พลังก้าวข้ามขีดจำกัด” ได้
ซึ่งนี่ก็เหมือนกับการต่อสู้ในช่วงบ่ายวันนี้ ที่โม่ซิ่วและเจิ้งอี้ได้เปิดใช้งานพลังพร้อมกันและพุ่งเข้าใส่ปีศาจอินทรี
พลังของเจิ้งอี้นั้นเพิ่มความเร็วให้เขาเพียง 100% ในขณะที่พลังของโม่ซิ่วเพิ่มค่าประสิทธิภาพทั้งหมดของเขา 100%
ตามหลักการแล้ว โม่ซิ่วน่าจะเร็วกว่าเจิ้งอี้ แต่เจิ้งอี้นั้นกลับไปถึงปีศาจอินทรีก่อนโม่ซิ่วได้
ดังนั้นจึงอาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ โม่ซิ่วได้ใช้พลังของเขาและยังไม่คุ้นเคยมากพอ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาได้
ในทางกลับกัน ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในพลังของเจิ้งอี้นั้นเหนือกว่าโม่ซิ่วเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน