บทที่ 5: การเดิมพัน
บทที่ 5: การเดิมพัน
โม่ซิ่วไม่ได้คิดจะทำตัวเป็นฮีโร่และเขาก็ไม่ได้จะกลับคำพูดตัวเองด้วย ทั้งที่เมื่อกี้เขาเพิ่งสั่งให้ทุกคนหนีแต่ตอนนี้เขากำลังบอกว่าจะสู้กับปีศาจอินทรี
เมื่อกี้โม่ซิ่วคิดจะอาศัยช่วงที่ปีศาจอินทรียังไม่เปลี่ยนร่างเป็นโหมดต่อสู้เพื่อหนีออกไป แต่น่าเสียดายที่ปีศาจอินทรีดันไปยืนขวางทางออกไว้แล้วและถ้าพยายามหนีมันก็จะยิ่งทำให้เกิดความโกลาหลมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้คือยื้อเวลาปีศาจอินทรีเอาไว้ เพราะเสียงโครมครามขนาดนี้ยังไงก็ต้องดังไปถึงหูอาจารย์แน่นอน พวกเขาจึงทำได้แค่รอให้อาจารย์มาถึงเท่านั้น
แต่ไม่ทันที่โม่ซิ่วจะเข้าไปสู้ ปีศาจอินทรีก็เคลื่อนไหวด้วยการเหวี่ยงแขนอันใหญ่โตจนทำให้นักเรียนที่วิ่งมาถึงทางออกกระเด็นกระดอนไปคนละทิศทาง
หลังจากนั้นปีศาจอินทรีได้คว้าร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้และจะยัดร่างเด็กผู้หญิงคนเข้าปาก
โม่ซิ่วตะโกนว่า "แย่แล้ว!" จากนั้นก็ไม่รอช้าเขาใช้พลัง "ก้าวข้ามขีดจำกัด" แล้วพุ่งตัวเข้าไปอย่างสุดแรง
โม่ซิ่วนั้นไม่ใช่คนดีเด่นอะไร แต่ถ้าปล่อยให้เพื่อนร่วมชั้นตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วยเหลืออะไรเลย เขาก็คงจะรู้สึกแย่ไม่น้อย
เดิมทีสภาพร่างกายของโม่ซิ่วก็วิเศษมากอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการเสริมพลังเข้าไปอีกจึงทำให้เขาวิ่งเร็วดุจสายฟ้าและไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าปีศาจอินทรีได้ในพริบตา
สิ่งที่ทำให้โม่ซิ่วประหลาดใจก็คือ แม้ว่าเขาจะใช้ความเร็วเต็มที่แต่ก็ยังมีคนอีกสองคนที่อยู่ด้านหน้าเขา
คนหนึ่งคือเจิ้งอี้ที่ร่างกายถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้าสีม่วง อีกคนเป็นชายหนุ่มที่โม่ซิ่วไม่รู้จัก เขาใส่แว่นตามีรูปร่างผอมบางและดูไม่เหมือนคนที่สามารถพุ่งออกมาด้วยความเร็วขนาดนี้ได้
หมัดของเจิ้งอี้นั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้าสีม่วงขณะที่เขาชกใส่แขนของปีศาจอินทรีที่กำลังคว้าเด็กนักเรียนคนนั้นไว้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าแขนของปีศาจอินทรีนั้นหยุดลง
ส่วนชายหนุ่มใส่แว่นยิ่งเวอร์ไปกว่านั้นอีก กล้ามเนื้อทั้งร่างกายของเขาโป่งพองขึ้นมาจนแทบจะดูไม่ออกเลยว่าเขาเป็นคนผอมแห้ง ซึ่งกล้ามเนื้อของเขาในตอนนี้ใหญ่และแข็งแกร่งยิ่งว่านักเพาะกายเสียอีก
จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปคว้าข้อมือของปีศาจอินทรีไว้และออกแรงดึงแขนข้างนั้นของปีศาจอินทรีจนตกลงมาสู่พื้นดินด้วยพละกำลังมหาศาล
ปีศาจอินทรีถึงกับตะลึงที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีพละกำลังมหาศาลขนาดนี้ได้ แต่มันก็แค่ชะงักไปนิดเดียวก่อนที่จะยกแขนขึ้นอีกครั้ง
หลังจากใช้พละกำลังทั้งหมดไป ชายหนุ่มใส่แว่นตาก็ออกอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันเจิ้งอี้ก็ยังคงโจมตีแขนอีกข้างของปีศาจอินทรีเพื่อลดแรงกดทับให้กับชายหนุ่มใส่แว่น
แต่ทั้งสองคนก็ยื้อได้ไม่ถึงวินาที เพราะพละกำลังของปีศาจอินทรีนั้นมหาศาลเกินไป ชายหนุ่มใส่แว่นจึงถูกเหวี่ยงตัวขึ้นไปแล้วแขนอีกข้างของปีศาจอินทรีก็ฟาดกลับมาพร้อมฆ่าชายหนุ่มใส่แว่นคนนั้น
“แย่แล้ว!” เจิ้งอี้ตกใจจนรีบชกหมัดออกไปอีกครั้งและตะโกนว่า "โม่ซิ่ว!!!"
แน่นอนว่าเจิ้งอี้เห็นโม่ซิ่ววิ่งเข้ามาช่วยจึงขอความช่วยเหลือจากโม่ซิ่วได้เท่านั้น
จริงๆแล้วโม่ซิ่วเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาอาศัยจังหวะที่ปีศาจอินทรีมุ่งความสนใจไปที่เจิ้งอี้กับชายหนุ่มใส่แว่นวิ่งอ้อมไปด้านข้างของปีศาจอินทรี
จังหวะที่ปีศาจอินทรีกำลังยกตัวชายหนุ่มใส่แว่นขึ้นไป โม่ซิ่วก็เริ่มเคลื่อนไหวโดยการกระโดดเข้าไปประจันหน้ากับปีศาจอินทรีและชกหมัดออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกปืน ซึ่งเป้าหมายของเขาคือดวงตาของปีศาจอินทรี
ก่อนที่ปีศาจอินทรีจะตั้งตัวได้ทัน หมัดทั้งสองข้างของโม่ซิ่วก็เข้าเป้าที่ดวงตาเต็มๆ
"อ้ากกกก!"
ปีศาจอินทรีรีบเอามือปิดดวงตา ซึ่งจังหวะนั้นเองเจิ้งอี้และชายหนุ่มใส่แว่นกับนักเรียนหญิงที่เพิ่งถูกจับตัวไปก็สามารถหนีออกมาได้
แต่น่าเสียดายที่ทางออกยังคงถูกปีศาจอินทรีขวางอยู่ทำให้ไม่มีใครหนีออกไปได้
โม่ซิ่วหันหลังกลับไปถึงกับตกใจเพราะผู้คนที่อยู่ด้านหลังเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
กลับกัน มีคนบางคนที่สามารถลอยได้กำลังช่วยเหลือคนที่สู้ไม่เก่ง และยังมีคนที่ช่วยเหลือคนที่ไม่สามารถปลุกพลังได้
ซึ่งทางออกของพวกเขาคือรูบนหลังคาสนามฝึกที่ปีศาจอินทรีได้สร้างเอาไว้
คนที่สามารถมาฝึกที่นี่ในตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังได้หรือคนที่ปลุกพลังได้แล้ว แต่รู้สึกว่าพลังของตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอ
ตอนนี้พวกเขากำลังช่วยเหลือกันเพราะทุกคนรู้ดีว่าโม่ซิ่ว เจิ้งอี้ และชายหนุ่มใส่แว่นนั้น เป็นสามคนที่เก่งที่สุดที่นี่
พวกเขาจะหนีออกไปได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับคนทั้งสามคนนี้เท่านั้น ดังนั้นบางคนจึงรวมกลุ่มกัน โดยที่กลุ่มหนึ่งไปช่วยเหลือสามคนนั้นส่วนอีกกลุ่มก็รีบพาคนที่ไม่มีพลังออกไปจากที่นี่
โม่ซิ่วจึงเข้าใจทันทีว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เขาคิดไว้ นอกจากนี้พลัง "ก้าวข้ามขีดจำกัด" ก็มีเวลาแค่สามนาที ส่วน "สายฟ้าม่วง" ของเจิ้งอี้ก้มีเวลาแค่สองนาที
โม่ซิ่วไม่รู้ว่าพลังของชายหนุ่มใส่แว่นคืออะไร แต่น่าจะเป็นพลังประเภทเพิ่มพลังชั่วคราวหรือพลังแปลงร่างซึ่งน่าจะมีเวลาจำกัดเช่นกัน
ถ้าทั้งสามคนนี้อยากจะหยุดยั้งปีศาจอินทรีให้ได้ พวกเขาต้องทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ทำอยู่ตอนนี้ พวกเขาต้องเร่งการโจมตีและสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับปีศาจอินทรีให้ทันเวลา
"พวกนายสองคนโจมตีปีศาจอินทรีและพยายามหยุดมันให้ได้นานที่สุดซะ"
เมื่อเจิ้งอี้และชายหนุ่มใส่แว่นได้ยินคำพูดของโม่ซิ่ว พวกเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่ลังเล
โม่ซิ่วอยากให้ทั้งสองคนช่วยยื้อเวลาปีศาจอินทรีไว้สักพัก ในขณะที่เขาเองกำลังมองหาอาวุธใดๆที่จะนำมาทำร้ายมัน
พอโม่ซิ่วดูว่าตัวเองเหลือเวลามากแค่ไหน เขาก็ตกใจอีกครั้ง
พลัง "ก้าวข้ามขีดจำกัด" หายไปแล้วกลายเป็นพลัง "เนตรแห่งเทพเจ้า" ที่ปรากฏขึ้นมาแทน เป็นไปได้ไหมว่าพลังติดตัวก็คือพลังที่เปลี่ยนพลังโจมตีของเขาไปเป็นพลังเสริมโดยอัตโนมัติหลังจากที่เขาใช้พลังโจมตีไปแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ โม่ซิ่วจึงรีบหันหลังแล้วใช้พลัง "เนตรแห่งเทพเจ้า" ใส่ปีศาจอินทรีทันที
"พลัง : การเสริมพลัง"
"ผลของพลัง: หดปีกเข้าไปในช่องรักแร้และงอกแขนออกมา ความเร็วลดลง 50% เพิ่มพละกำลัง 200% และเพิ่มการป้องกัน 500% (ยกเว้นบริเวณปีกใต้รักแร้)"
นี่มัน...น่าเหลือเชื่อจริงๆ
นอกจากนี้ยังไม่มีเวลาคูลดาวน์ด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวนะ การป้องกันของมันเพิ่มขึ้นยกเว้นบริเวณปีกใต้รักแร้ นั่นหมายความว่าจุดอ่อนของปีศาจอินทรีก็คือบริเวณปีกใต้รักแร้!”
"แกไม่รอดแน่!"
เจิ้งอี้ที่กำลังต่อสู้กับปีศาจอินทรีคิดว่าโม่ซิ่วหาวิธีเอาชนะได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงยิ้มกริ่มให้กับโม่ซิ่ว
สีหน้าของเจิ้งอี้นั้นดูเหมือนจะบอกว่า "ไงล่ะ ฉันยื้อเวลาให้นายจนหาทางเอาชนะได้เลยนะเนี่ย"
โม่ซิ่วถึงกับส่ายหน้าเมื่อเห็นท่าทางของเจิ้งอี้
แต่หลังจากนั้นสายฟ้าสีม่วงบนร่างกายของเขาก็หายไปและเขาก็เข้าสู่สภาวะพักฟื้นโดยที่พลังต่อสู้ของเขาลดลงไปอย่างมาก
เดิมทีพวกเขาสามารถใช้โอกาสตอนที่สายตาของปีศาจอินทรียังมองไม่เห็นพ่อต่อสู้กับปีศาจอินทรีได้อย่างสูสี แต่ตอนนี้การโจมตีของปีศาจอินทรีได้ตกไปอยู่ที่ชายหนุ่มใส่แว่นคนเดียวแล้ว
ขณะที่โม่ซิ่วกำลังจะวิ่งเข้าไปช่วยเจิ้งอี้ ผู้คนที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่ด้านข้างก็กรูกันเข้ามาแล้วพุ่งเข้าใส่ปีศาจอินทรี
เจิ้งอี้ที่ไม่สามารถใช้พลังได้จึงวิ่งตามพวกเขาไปด้วย
ในขณะเดียวกัน โม่ซิ่วก็รีบตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยที่เขาหยิบดัมเบลล์ขนาดใหญ่สองอันแล้วพุ่งตัวเข้าไปข้างหน้า
โม่ซิ่วกับเจิ้งอี้ต่างก็กระตุ้นพลังของตัวเองพร้อมกัน
"เจิ้งอี้ เจ้าแว่น มานี่เร็วเข้า!"
เจิ้งอี้กับชายหนุ่มใส่แว่นจึงรีบเข้าไปหาโม่ซิ่ว
จากนั้นโม่ซิ่วก็กระซิบแผนการบางอย่างให้กับพวกเขา
เจิ้งอี้ไม่ได้พูดอะไร ขณะเดียวกันชายหนุ่มใส่แว่นพูดว่า "เป็นไปได้ แต่นายมั่นใจเหรอว่าทั้งหมดจะเป็นไปตามที่นายบอกน่ะ?"
โม่ซิ่วพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วพูดว่า "เอาน่ะ ไม่มีเวลาแล้ว รีบทำตามที่ฉันบอกเถอะ!"
พวกเขาทั้งสามคนวิ่งพร้อมๆกันไปหาปีศาจอินทรี เมื่อเข้าไปใกล้ เจิ้งอี้ก็เร่งความเร็วขึ้นกะทันหันแล้วไปหยุดลงตรงหน้าโม่ซิ่ว
เท้าของโม่ซิ่วเหยียบหลังของเจิ้งอี้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแรงเตะหรือเพราะเจิ้งอี้ตั้งใจใช้พลังร่างกายของเขา แต่เสียงตะโกนของเขานั้นดังก้องกังวาลไปทั่วสนามฝึกทันที
"อ๊ากก! ไปเลย! โม่ซิ่ว!"
เจิ้งอี้ใช้แรงส่งโม่ซิ่ให้ลอยขึ้นจากพื้นดิน โม่ซิ่วเองก็ใช้พลังของตัวเองเพื่อกระโดดข้ามหัวของปีศาจอินทรีไปได้สำเร็จ
แน่นอนว่าปีศาจอินทรีไม่ปล่อยโม่ซิ่วไปง่ายๆ มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวเพื่อเตรียมที่จะตบโม่ซิ่วให้ตาย
แต่ดูเหมือนว่าโม่ซิ่วจะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาจึงถือดัมเบลล์ไว้ในมือและมองไปที่ปีศาจอินทรีอย่างใจเย็น
ฝ่ามือของปีศาจอินทรีใกล้จะตบเข้ามาแล้ว และพลังของโม่ซิ่วก็ใกล้จะหมดเช่นกัน
ทันใดนั้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือโม่ซิ่วแต่แล้วแรงกระแทกบางอย่างได้ผลักร่างของโม่ซิ่วให้กระเด็นออกไป
คนที่โจมตีใส่โม่ซิ่วนั้นก็คือชายหนุ่มใส่แว่น
มือของปีศาจอินทรีที่ตบไปนั้นมีแต่ความว่างเปล่า
ขณะนี้โม่ซิ่วกำลังตกลงมาอย่างรวดเร็ว หลังของเขาหันได้หน้าเข้าหาปีศาจอินทรี เขากำลังจะถึงขีดจำกัดของพลัง
ห้า… สี่… สาม… “ซ้วบบ!” โม่ซิ่วใช้ดับเบลล์สองอันเข้าไปที่ใต้รักแร้ของปีศาจอินทรีทันที
ปีศาจอินทรีตัวนั้นถึงกับทรุดตัวลงนั่งและไร้เรี่ยวแรงที่จะสู้อีกต่อไป
พวกเขาทำตามแผนได้สำเร็จ ซึ่งทุกขั้นตอนที่พวกเขาทำนั้นไม่ต่างอะไรกับการเดิมพันและโชคดีที่พวกเขาชนะการเดิมพันในครั้งนี้
โม่ซิ่วรู้สึกได้ว่าปีศาจอินทรีสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงถือดัมเบลล์นั้นไว้แล้วแขวนมันไว้ที่หลังของปีศาจอินทรี
เขาถอนหายใจออกมายาวๆแล้วพูดว่า “ฟู้ว! สำเร็จแล้วพวกเรา!”
…
ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่งของสนามฝึกซ้อม ถ้าหากโม่ซิ่วได้เห็นเขา เขาจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน เพราะว่าชายชราคนนี้คือบรรณารักษ์ในห้องสมุด!
ชายชราคนนั้นมองไปที่โม่ซิ่วราวกับว่าเขาได้เห็นสมบัติล้ำค่า หลังจากนั้นเขาได้พึมพำกับตัวเองว่า “เป็นไปได้ยังไงกัน?”