บทที่ 4 : ปีศาจอินทรีบุก!
บทที่ 4 : ปีศาจอินทรีบุก!
เจิ้งอี้ซึ่งกําลังเดินอยู่ก็เริ่มรู้สึกโกรธเล็กน้อยเมื่อเห็นโม่ซิ่วหยุดเดินอีกครั้ง
“โม่ซิ่ว นี่นายเป็นบ้าอะไรของนายอีกเนี่ย?! รีบกลับเข้าโรงเรียนได้แล้ว!”
"อะ..เอ้อ โทษทีนะ"
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปจนถึงห้องเรียน
เนื่องจากการสอบเข้าวิทยาลัยกําลังจะเริ่มขึ้น พวกเขาจึงต้องศึกษาด้วยตัวเองในตอนเช้า จากนั้นพวกเขาจะไปที่สนามฝึกซ้อมในตอนบ่าย
โม่ซิ่วซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งของเขากำลังตรวจสอบพลังของเขาอย่างละเอียด
พลังติดตัวนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ในขณะเดียวกันพลังเนตรแห่งพระเจ้ากลับหายไปและถูกแทนที่ด้วยพลังก้าวข้ามขีดจำกัด
หลังจากที่คิดเรื่องนี้ โม่ซิ่วจึงรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่ทุกสิ่งที่เขาเห็นเมื่อคืนนั้นอาจเป็นจริงๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาได้เลือกพลังถึงสามอย่างจริงๆ
เขามีพลังติดตัวหนึ่งอย่างและพลังที่ใช้ใส่ผู้อื่นได้อีกสองอย่าง ถ้าหากเป็นปกติเขาจะเห็นพลังปรากฎอยู่เพียงพลังเดียว แต่ด้วยผลของพลังติดตัวนั่นคือการบิดพลิ้วซึ่งหมายถึงกับสลับพลังทั้งสองอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้เงื่อนไขในการเปลี่ยนพลังและไม่สามารถเปลี่ยนพลังที่ใช้งานอยู่ได้โดยอัตโนมัติ
“พลังติดตัวของฉันมันใช้ยังไงกันแน่?”
จู่ๆโม่ซิ่วก็ลุกขึ้นและวิ่งออกจากห้องเรียนไปที่ห้องสมุด
นักเรียนชั้นม. 6 นั้นสามารถเลือกเรียนในห้องสมุดได้เช่นกัน แต่เนื่องจากการสอบเข้าวิทยาลัยในตอนนี้จึงเน้นไปที่ความสามารถในการต่อสู้และความแข็งแกร่งด้านพลังของพวกเขา ดังนั้นโดยปกติแล้วจึงไม่มีคนมาที่ห้องสมุดมากนัก
ตลอดทั้งช่วงเช้า โม่ซิ่วอ่านหนังสือไปหลายเล่ม แต่เขาก็ไม่พบบันทึกใดๆที่บันทึกถึงพลังติดตัวเลย
พลังเดียวที่ถูกกล่าวถึงและคล้ายกับพลังติดตัวของเขาคือพลังของสัตว์ร้าย
สัตว์ร้ายนั้นไม่ได้มีแค่สี่พลังเหมือนมนุษย์ พวกมันมีแค่พลังเดียวเท่านั้นแต่มันเป็นพลังที่ทรงพลังสูงสุด
นับตั้งแต่ที่อุกกาบาตได้ตกลงมาในโลกมนุษย์ ทั้งมนุษย์และสัตว์ก็กลายพันธุ์ ซึ่งความสามารถทางกายภาพของทั้งสองเผ่าต่างก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ความฉลาดของสัตว์ยังเพิ่มขึ้นอย่างมากและพวกมันได้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆมานานกว่าสิบปีแล้ว
แต่หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ทำการลงนามในข้อตกลงที่จะไม่แทรกแซงซึ่งกันและกัน ดังนั้นมนุษย์จึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินใจกลางโลกในขณะที่พวกสัตว์นั้นจะอาศัยอยู่บริเวณรอบนอก
แม้ว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่การต่อสู้ดังกล่าวก็เป็นเพียงการเผชิญหน้าโดยบังเอิญเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทําไมมนุษย์ถึงใช้ชีวิตค่อนข้างสบาย
หลังจากที่ค้นหาอยู่นาน โม่ซิ่วก็นั่งบนเก้าอี้อย่างหดหู่
เขาไม่รู้ว่าควรทําอย่างไร? นอกจากนี้พลังติดตัวก็ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะใช้พลังพลิ้วอีกครั้งได้อย่างไร?
“ไงนักเรียน อ่านหนังสือหลายเล่มขนาดนี้กำลังอยากรู้อะไรอยู่รึเปล่า?”
ความคิดของโม่ซิ่วถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของผู้สูงอายุคนหนึ่งอย่างกะทันหัน เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นบรรณารักษ์ที่ดูแลห้องสมุด
“อ่า…ครับ ผมมีบางเรื่องที่ผมคิดเท่าไหร่ก็ไม่ออกจริงๆอยู่เรื่องนึง”
ชายชราคนนั้นค่อยๆนั่งลงและหยิบหนังสือจากมือของโม่ซิ่วก่อนจะปิดมันและวางไว้ใต้ฝ่ามือของเขา
“ไหนว่ามาสิ ฉันน่ะอยู่ที่นี่มาเป็นสิบปีแล้วและคุ้นเคยกับทุกคนที่อยู่ที่นี่ด้วย”
“ทุกคน? ที่นี่มันมีแต่หนังสือไม่ใช่เหรอ?”
แม้โม่ซิ่วจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ยังคงถามคําถามของเขา "ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่ามีพลังมันมีทั้งหมดกี่ประเภท?"
ชายชราตอบช้าๆว่า "พลังได้ถูกแบ่งออกเป็นประเภทการปล่อยพลัง พลังที่คงสภาพ พลังที่ใช้ได้ครั้งเดียว และพลังที่สามารถแปรผันตามสถานการณ์ได้"
"แล้วประเภทย่อยลงไปกว่านี้ล่ะ?"
เห็นได้ชัดว่าโม่ซิ่วจะไม่ถามตรงๆว่าพลังติดตัวคืออะไร ดังนั้นโม่ซิ่วจึงค่อยๆถามลงลึกไปทีละขั้น
"มีพลังประเภทการโจมตี พลังประเภทการตรวจจับ พลังประเภทสร้างความสับสน และพลังประเภทพิเศษ"
"แล้วมีประเภทที่ย่อยลงไปกว่านี้อีกไหม?"
“มีพลังที่สามารถพัฒนาได้และพลังที่ไม่สามารถพัฒนาได้”
"แล้วประเภทที่ใหญ่กว่านั้นล่ะ!"
“นี่! นายอยากถามอะไรกันแน่?”
โม่ซิ่วยืนขึ้นและเกาหัวของเขา “เอ่อ..เปล่าครับ ผมแค่สงสัยเท่านั้น ขอโทษนะครับที่รบกวน!”
"ฮึๆ ฉันรู้นะว่านายคิดอะไรอยู่"
โม่ซิ่วไม่เข้าใจว่าชายชราหมายถึงอะไร เขาจึงทําได้เพียงแค่ยิ้มและพยักหน้าก่อนจากไป
“พลังนั้นแบ่งออกเป็นพลังทั่วไปและพลังโดยกําเนิด ซึ่งพลังโดยกําเนิดนั้นไม่เพียงแต่ถูกครอบครองโดยสัตว์ร้ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมนุษย์บางคนด้วยตัวอย่างเช่น...บุคคลระดับสูงในโลกนี้!”
โม่ซิ่วที่กําลังเดินจากไปถึงกับหยุดเดินเมื่อเขาได้ยินแบบนี้
แต่หลังจากนั้นโม่ซิ่วก็เร่งฝีเท้าของเขา
ในขณะเดียวกัน ชายชราก็ยืนเฝ้าดูขณะที่โม่ซิ่วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มที่มุมปากราวกับว่าเขาได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจบางอย่าง
...
หลังจากที่โม่ซิ่วเดินออกมาจากห้องสมุด เขาก็ทานอาหารและมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม เขาต้องการทดสอบพลังก้าวข้ามขีดจำกัดหลังจากที่มีคนในสนามฝึกซ้อมน้อยๆก่อน
“พลังโดยกําเนิดที่ชายชราพูดถึงอาจจะเป็นพลังติดตัวก็ได้ แต่คนอย่างฉันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกคนระดับสูงในโลกได้ยังไงกัน?”
เมื่อเขาคิดไม่ออก เขาจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
เมื่อเขามาถึงสนามฝึกซ้อม ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนเที่ยงแต่มันก็แออัดไปด้วยผู้คนแล้ว
แต่เนื่องจากเขามาถึงแล้ว โม่ซิ่วจึงทําได้เพียงฝึกไปตามปกติของเขาเท่านั้น นอกจากนี้พลังก้าวข้ามขีดจำกัดยังสามารถเพิ่มคุณสมบัติทั้งหมดของเขาขึ้น 100% ยิ่งคุณสมบัติพื้นฐานของเขาสูงเท่าไร ความสามารถของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่เขาใช้พลังก้าวข้ามขีดจำกัดของเขา
เมื่อเขามาถึงลู่วิ่งที่ทําขึ้นมาเป็นพิเศษ โม่ซิ่วได้เตรียมฝึกความเร็วและความอดทนของเขาจนหมดแรงตามปกติ จากนั้นเขาจะพักผ่อนเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะฝึกความแข็งแกร่งต่อไป
โม่ซิ่วได้ข้อสรุปว่าวิธีนี้สามารถทําให้เขาสามารถกระตุ้นศักยภาพของเขาและทําลายขีดจํากัดของเขาได้
แต่ก่อนที่โม่ซิ่วจะทันได้เริ่มฝึก เขาเห็นเจิ้งอี้วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“นี่โม่ซิ่ว นายเป็นอะไรไปเนี่ย? จู่ๆทําไมนายถึงหายไปหลังจากคาบแรกล่ะ? ฉันอุส่าห์ออกไปตามหานายทุกที่แต่ก็ไม่เจอนายเลย”
โม่ซิ่วตอบช้าๆว่า "ฉันไปห้องสมุดเพื่อค้นหาข้อมูลบางอย่างน่ะ"
เจิ้งอี้เท้าเอวของเขาแล้วพูดว่า “ก็ได้ๆ ไม่เป็นไร...”
"ตู้มมมมม!!!"
ก่อนที่เจิ้งอี้จะทันได้พูดจบ ก็มีเสียงดังทะลุลงมาจากเพดาน
มีรูขนาดใหญ่บนเพดานเหล็กของสนามฝึกซ้อม จากนั้นร่างเงาสูงสามเมตรก็ตกลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับฝุ่นควันที่กระจาย
เมื่อฝุ่นควันเริ่มสลายไป ทุกคนในจึงเริ่มอุทาน
"อะไรกัน...นั่นมันสัตว์ร้ายงั้นเหรอ?"
โม่ซิ่วขมวดคิ้วและพูดว่า “นั่นคือปีศาจอินทรี! นอกจากนี้มันยังไม่ได้เข้าสู่โหมดพร้อมต่อสู้ด้วย เพราะฉะนั้นรีบหนีไปเร็วเข้า!”
เสียงของโม่ซิ่วนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาพูดคําว่า “รีบหนีไป” ทุกคนก็ถึงกับสะดุ้ง
เมื่อได้ยินคําเตือนของโม่ซิ่ว ทุกคนจึงตอบสนองและรีบวิ่งหนีออกไปที่ประตูทันที
โม่ซิ่วนั้นเคยเห็นปีศาจตัวนี้ในหนังสือมาก่อน ชื่อของมันคือปีศาจอินทรี มันมีนิสัยที่ฉุนเฉียวและพลังของมันคือการเปลี่ยนแปลง
ปีศาจอินทรีนั้นมีสองร่าง ร่างแรกคือร่างที่ใช้บินซึ่งพลังโจมตีจะลดลงเล็กน้อย
อีกร่างหนึ่งคือร่างหลังจากการเปลี่ยนแปลง ปีกของมันจะถูกหดกลับเข้าไปในร่างกายและแทนที่ด้วยแขนขาหน้าที่แข็งแรงสองข้าง หลังจากเปลี่ยนร่างแล้ว พลังของปีศาจอินทรีจะเพิ่มขึ้นและกลายเป็นปีศาจที่บ้าคลั่งทันที
แม้ว่าโม่ซิ่วจะพูดเตือนให้ทุกคนหนีไป แต่ทุกคนก็ยังใช้เวลานานเกินไปในการตอบสนอง ในขณะเดียวกันปีกสีดําของ ปีศาจอินทรีได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยแขนขาสีเลือดคู่หนึ่ง
ปีศาจอินทรีพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและทันใดนั้นมันก็มาถึงประตูทางเข้าออกและขวางทางทุกคนเอาไว้
ทุกคนต่างตื่นตระหนกและมองไปที่โม่ซิ่ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าโม่ซิ่วจะเอาชนะปีศาจอินทรีได้
โม่ซิ่วที่เห็นแบบนั้นจึงก้มหน้าลงเล็กน้อยและโยนเสื้อแจ็คเก็ตของเขาลงกับพื้น
"ก็สวยสิ แน่จริงก็เข้ามาเลนไอ้ปีศาจอินทรี!!!"