บทที่ 35: เดินเล่นกับฉันหน่อยสิ
บทที่ 35: เดินเล่นกับฉันหน่อยสิ
“หลังจากนี้พวกนายน่ะต้องเรียกฉันว่าพระเอกโม่แล้วนะ ฮ่าๆๆๆๆ!”
ทั้งสามคนจ้องไปที่โม่ซิ่วด้วยสีหน้าอันเย็นชา โม่ซิ่วจึงยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะๆ! ภารกิจครั้งนี้จบลงแล้ว มาแบ่งรางวัลที่จะได้กันเถอะ!”
เมื่อพูดถึงการแบ่งรางวัลแล้ว แม้ว่านอกจากโม่ซิ่วแล้วอีกสามคนจะไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงิน แต่นี่ก้เป็นภารกิจแรกของพวกเขา และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาหาเงินได้ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างตื่นเต้น
โม่ซิ่วหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดซอฟต์แวร์องกรณ์เพื่อหาภารกิจทันที
หลังจากนั้นเขาก็เห็นว่าภารกิจนั้นได้กลายเป็นภารกิจระดับ B และยังมีคําอธิบายอื่นๆอยู่ด้านล่างด้วย
“เนื่องจากมีข้อผิดพลาดของระบบในการประเมินความยากของภารกิจ ระดับของภารกิจจึงเพิ่มขึ้นจากระดับ C เป็นระดับ B รางวัลคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 2,000 แต้มเป็น 8,000 แต้ม และรางวัลเงินสดเพิ่มขึ้นจาก 800,000 เรียวเป็น 4 ล้านเรียว”
หลิวซี่หยางถึงกับอุทานออกมาว่า “เชี่ยย! เพิ่มขึ้นเยอะจังวะ!!”
เย่หยวนลูบคางของเขาและพูดว่า "ถ้าได้รางวัลแบบนี้ก็ค่อนข้างคุ้มหน่อย"
หลังจากที่รับภารกิจมา โม่ซิ่วที่เป็นหัวหน้าทีมจึงได้รับรางวัลทั้งหมด
โม่ซิ่วได้ทำการแบ่งรางวัลออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกัน ดังนั้นแต่ละคนจึงได้รับ 2,000 แต้มและหนึ่งล้านเรียว
ในขณะเดียวกัน มู่ชิงอี้ได้พูดว่า “โม่ซิ่ว ภารกิจในครั้งนี้นายแทบจะทำอยู่คนเดียว มันคงไม่ดีสําหรับพวกเราที่จะรับรางวัลเอาไว้มากขนาดนี้หรอก”
เย่หยวนพูดเสริมว่า “นั่นสิ พวกเราช่วยนายน้อยมาก นอกจากนี้นายก็ยังเป็นคนที่เข้าไปเสี่ยงและต่อสู้กับศัตรูอยู่ตลอด พวกเราคงไม่สามารถรับรางวัลทั้งหมดเอาไว้ได้”
หลิวซี่หยางเองก็พูดด้วยเช่นกัน “ใช่แล้วล่ะ ครั้งนี้ฉันน่ะไม่ต้องการรางวัลใดๆอะไรหรอก แค่ได้เรียนรู้จากนายก็พอแล้ว”
โม่ซิ่วจ้องไปที่หลิวซี่หยางและพูดว่า “แล้วนายเรียนรู้อะไรล่ะ? หากนายไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยก็เก็บรางวัลเอาไว้ ในเมื่อฉันเป็นหัวหน้าทีม เรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับฉัน ถ้าพวกนายไม่พอใจ พวกนายก็เป็นหัวหน้าทีมแทนฉันในครั้งต่อไปได้”
หลังจากที่โม่ซิ่วพูดจบมู่ชิงอี้และคนอื่นๆจึงไม่สามารถปฏิเสธและทำได้เพียงรับรางวัลไปเท่านั้น
โม่ซิ่วได้พูดต่อว่า “เดิมทีฉันอยากทําภารกิจอีกสองสามอย่าง แต่ฉันไม่คาดคิดว่าภารกิจนี้จะใช้เวลาถึงสิบวัน นอกจากนี้ยังเหลือเวลาอีกเพียงห้าวันก่อนที่จะต้องออกจากโรงเรียน ดูเหมือนว่าฉันคงจะไม่สามารถทําภารกิจอื่นได้อีกแล้ว”
หลิวซี่หยางและเย่หยวนต่างก็ดูผิดหวัง ซึ่งเป็นเพราะทั้งคู่รู้สึกว่าการทำภารกิจกับโม่ซิ่วนั้นง่ายดายมากและพวกเขาก็สามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้จริงๆ
มู่ชิงอี้พูดออกมาเศร้าๆเล็กน้อยว่า “งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันคงได้เจอนายวันนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะนะ”
โม่ซิ่วถอนหายใจ "เฮ้อ แล้วเธอจะไปเมื่อไหร่เหรอ?"
"ถ้าฉันกลับไปที่บ้าน ฉันก็จะไปทันที"
หลิวซี่หยางและเย่หยวนมองหน้ากันและเริ่มรู้ว่าพวกเขากำลังเป็นก้างขวางคอ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการปลีกตัวออกไป
ในขณะเดียวกัน มู่ชิงอี้ก็เปลี่ยนเรื่องพูดโดยที่ดวงตาของเธอเบิกกว้างขณะที่เธอพูดว่า "อ้อ ฉันเกือบจะลืมอะไรไปแหนะ"
โม่ซิ่วและอีกสองคนมองไปที่มู่ชิงอี้ทันที
มู่ชิงอี้หยิบบัตรธนาคารออกมาและยื่นให้โม่ซิ่ว
"เงินทั้งหมดที่ฉันชนะการพนันอยู่ในนี้แล้ว"
โม่ซิ่วได้มอบภารกิจอื่นให้กับมู่ชิงอี้ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือให้เธอเดิมพันเงินทั้งหมดกับเขา และหลังจากที่ได้รับชัยชนะมา เธอจะนำเงินที่เธอได้มาจากการเดิมพันครั้งก่อน มาเดิมพันใหม่แบบหมดหน้าตก แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ามีเงินในบัตรเท่าไหร่ แต่มันต้องไม่ใช่จํานวนน้อยๆอย่างแน่นอน
โม่ซิ่วยิ้มและหยิบมันขึ้นมา จากนั้นเขาพูดก็กับทั้งสามคนว่า "ฉันจะเอาเงินนี่..."
ทันใดนั้นทั้งสามคนก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
โม่ซิ่วนั้นอยากจะพูดว่า "มาแบ่งเงินในนี้กันเถอะ" แต่เมื่อมองไปที่ทั้งสามคน คงไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะยอมรับเงินก้อนนี้ไว้
พวกเขาทั้งสามคนรู้ว่าพวกเขาเอาเปรียบโม่ซิ่วในการรับรางวัลภารกิจมาแล้ว นอกจากนี้เงินจํานวนนั้นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาสองสามคนคุยกันสักพักก่อนจะลงไปชั้นล่าง
หลิวซี่หยางกับเย่หยวนนั้นรู้ดีว่าพวกเขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นทันทีที่พวกเขาลงไปชั้นล่าง พวกเขาก็หาข้ออ้างเพื่อกลับบ้านทันที
โม่ซิ่วถามว่า “จะว่าไปบ้านของเธออยู่ที่ไหนน่ะ?”
มู่ชิงอี้พยักหน้าและพูดว่า "ได้สิ บ้านของฉันอยู่แถวๆเขตวิลล่าฝั่งตะวันออกของเมืองน่ะ"
เนื่องจากเขตวิลล่าฝั่งตะวันออกของเมืองนั้นอยู่ไกลจากที่นี่มาก ดังนั้นโม่ซิ่วจึงถามว่า “เธอจะนั่งแท็กซี่กลับเหรอ? หรือว่าเธอมีคนมารับ?”
มู่ชิงอี้เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของเธอและพูดว่า "ไปเดินเล่นกันเถอะ"
หลังจากที่เธอพูดแบบนั้น โม่ซิ่วจึงเดินตามเธอไปอย่างงงๆ
“โม่ซิ่ว ฉันน่ะไม่เคยใช้ชีวิตวัยเด็กเลย นายช่วยบอกฉันเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของนายได้ไหม?”
โม่ซิ่วคิดถึงเรื่องนี้และพูดว่า “เท่าที่ฉันจําได้ ฉันจะชอบวิ่งเล่นในสวนสาธารณะตอนเช้าแล้วไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดตอนบ่าย และฝึกหนักถึงตอนกลางคืน พอฉันเริ่มไปโรงเรียน ฉันก็จะเข้าเรียนช่วงเช้าและฝึกหนักมวยถึงกลางคืนน่ะ”
มู่ชิงอี้มองไปที่โม่ซิ่วราวกับว่าเธอกําลังมองไปที่อะไรบางที่ดูประหลาดและถามว่า "ทําไมชีวิตของนายถึงได้สำบากขนาดนั้นล่ะ?"
“ตั้งแต่ฉันยังเด็ก แม่ของฉันพยายามอย่างหนักเพื่อดูแลฉัน ตอนนั้นแม่ของฉันไม่มีงานประจำทําด้วยซ้ำ ฉันเลยรู้ว่าแม่น่ะเหนื่อยมาก แต่แม่ก็มักจะยิ้มให้ฉันอยู่เสมอ ตั้งแต่ตอนนั้นฉันก็คิดมาตลอดว่าจะคอยดูแลแม่ให้สบาย”
สายตาของมู่ชิงอี้ที่มีต่อโม่ซิ่วนั้นเปลี่ยนไปเป็นความอ่อนโยนทันที
หลังจากนั้นโม่ซิ่วก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินเล่นกันไปอย่างเงียบๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังเดินเล่นอยู่ที่หินก้อนนั้นที่ชั้นเรียนระดับสูง
"ถ้าอย่างนั้นฟังเรื่องในวัยเด็กของฉันบ้างนะ!"
ประโยคที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันนั้นทําลายความเงียบทันทีซึ่งทำให้ทั้งสองคนมองหน้ากันและหัวเราะ
“ฮ่ะๆๆ ไหนเธอบอกว่าเธอไม่มีชีวิตในวัยเด็กไม่ใช่เหรอ?”
มู่ชิงอี้ปิดปากของเธอและหัวเราะเบา ๆ “ฉันแค่รู้สึกว่าชีวิตในวัยเด็กของฉันดูดีกว่านายนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
"งั้นเหรอ? แล้วมันเป็นยังไงล่ะ?”
“ฉัน... ฉันน่ะเคยเห็นเด็กคนอื่นกระโดดเชือกเล่นตอนที่ฉันยังเด็ก นายเคยเล่นรึเปล่า?”
โม่ซิ่วส่ายหัวและพูดว่า "มันคืออะไรเหรอ?"
แววตาของมู่ชิงอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่เธอพูดว่า "ว่ากันว่าเชือกนั้นจะขยับเองถ้าร่ายมนต์ถูกน่ะ"
โม่ซิ่วถามด้วยความสงสัยว่า “ร่ายมนต์เหรอ? เรื่องแบบนั้นเป็นไปได้จริงๆเหรอ?!”
“เอ้า! นายไม่เชื่อหรอ ฉันน่ะเคยเห็นมากับตาตัวเองเลยนะ!”
“แล้วมันทำยังไงบ้างล่ะ?! แล้วเธอจำมนต์นั่นได้มั้ย?!”
“แน่นอนสิ ถ้าฉันไม่ผิดรู้สึกว่าจะต้องร่ายมนต์แบบนี้นะ ดอกไม้มาลันบุปผา ไอ้หยาๆ ซาลามังตีรอ ปรู๊ด ปรู๊ด...”
ดวงตาของโม่ซิ่วเบิกกว้างขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ "จริงอ่ะ!! นี่เธอจำได้ยังไงเนี่ย?!"
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...”
มู่ชิงอี้หัวเราะออกมาเสียงดังจนเอามือกุมท้องของเธอทันที
เมื่อโม่ซิ่วเห็นมู่ชิงอี้หัวเราะแบบนี้ เขาจึงเข้าใจทันทีว่ามู่ชิงอี้นั้นกําลังโกหกเขา
โม่ซิ่วมองไปที่มู่ชิงอี้ด้วยใบหน้านิ่งๆและพูดว่า “นี่เธอกำลังล้อเล่นอยู่กับพระเอกโม่งั้นเรอะ?!”
เมื่อมู่ชิงอี้ได้ยินคําพูดของโม่ซิ่ว เธอก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งในตอนนี้เธอหัวเราะจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
โม่ซิ่วถามว่า "ตลกมากขนาดนั้นเลยเหรอ?"
มู่ชิงอี้กล่าวว่า “ใช่ ฉันไม่เคยมีความสุขมากขนาดนี้มาก่อนเลย บางทีฉันอาจจะไม่ได้ขำแบบนี้อีกเลยก็ได้”
โม่ซิ่วแสร้งทําเป็นไร้เดียงสาและพูดว่า "ก็ได้ๆ ในเมื่อเธอมีความสุขเพราะแกล้งฉัน ฉันก็จะให้เธอแกล้งฉันได้ทุกวันหลังจากนี้ก็แล้วกัน"
มู่ชิงอี้ยืนขึ้นและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เธอหันกลับมาและพูดว่า “ใครจะอยากแกล้งนาย? หลงตัวเองชะมัด!”
โม่ซิ่ววิ่งไล่ตามเธอไปและยักไหล่ "แล้วถ้าฉันแกล้งเธอบ้างล่ะ?!"
มู่ชิงอี้แลบลิ้นออกมาและพูดว่า "นั่นก็ไม่ได้เหมือนกันย่ะ!"
ทั้งสองคนยังคงเดินไปข้างหน้า แต่จู่ๆมู่ชิงอี้ก็พูดว่า "โม่ซิ่ว ถ้าเป็นไปได้ พวกเราเดินเล่นกันแบบนี้ไปจนกว่าฉันจะถึงบ้านเลยได้มั้ย?"
“ได้สิ ฉันจะเดินไปกับเธอเอง”
...
ทั้งสองคนเดินเล่นกันตั้งแต่รุ่งสางจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น จากพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงดึก และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบ้านของมู่ชิงอี้
ทั้งสองไม่ได้บอกลาเมื่อต้องแยกกัน เพราะทั้งคู่รู้ว่าจะได้พบกันอีกแน่นอน
ในคืนนั้น เป็นคนที่โม่ซิ่วเดินเป็นเวลานานที่สุดในชีวิตของเขา และเป็นคนที่โม่ซิ่วพูดกับคนอื่นมากที่สุดในชีวิตของเขาเช่นกัน…