บทที่ 330: บริษัทเครื่องดื่มมากมายมารวมตัวกันเหรอ? บอสใหญ่เบื้องหลังบริษัทชิงหลิน!
เมื่อดูข้อมูลทั้งสองวิธีแล้วฉินหลินก็ถามเฉิ่นลี่ “คุณเฉิ่น ถ้าเป็นคุณจะเลือกวิธีไหน”
เฉิ่นลี่ไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่ใช้วิธีวิเคราะห์ให้ฟังแทน “จากมุมมองของนักธุรกิจ คนส่วนใหญ่จะเลือกตัวเลือกแรก เพราะถ้าหากทำสำเร็จล่ะก็จะได้ผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งถ้ามีเงินทุนจากบริษัทชิงหลินฟู้ดช่วยด้วยแล้วความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมีมากแน่นอนครับ”
“แต่ถ้ามองจากมุมมองของเหตุและผลล่ะก็ควรเลือกตัวเลือกที่สอง เพราะจะช่วยลดวิกฤติที่ต้องแบกรับได้ ถึงยังไงยักษ์ใหญ่ทั้งสองนั่นมันก็ไม่มีจรรยาบรรณในการต่อสู้อยู่แล้ว”
“แต่ถ้าบริษัทอื่น ๆ เป็นผู้นำเราสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตัวแทนจำหน่ายตามสัดส่วนของผลกำไร แม้ว่ากำไรที่เราจะได้จะน้อยกว่าวิธีแรกมากแต่ก็สามารถทำกำไรได้อย่างมั่นคงครับ”
ฉินหลินพยักหน้าหลังจากได้ฟังการวิเคราะห์ของเฉิ่นลี่และบอกไปว่า “งั้นคุณก็ไปเลือกบริษัทเครื่องดื่มที่เหมาะสมมาเถอะ เราจะใช้วิธีการที่สองกัน”
ในท้ายที่สุดแล้วฉินหลินก็ไม่ได้เลือกวิธีแรกที่เป็นการผูกขาดผลประโยชน์ เพราะนั่นคือเส้นทางของผู้มีอำนาจ
ความจริงอันเป็นนิรันดร์ก็คือนักรบที่สังหารมังกรได้นั้นจะกลายเป็นมังกรชั่วร้ายในที่สุด
หากมังกรไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไปแล้วล่ะก็นักรบกนั่นแหละที่จะกลายเป็นภัยคุกคาม
เขามีชายามว่างชิงหลินอยู่แล้วซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่บดขยี้เครื่องดื่มชูกำลังทั้งหมด อีกทั้งยังมีน้ำสมุนไพรชิงหลินและแม้แต่สูตรซุปสิ่งเฉินที่ยังไม่ได้เปิดตัว
แค่นี้มันก็เพียงพอให้เขาครอบครองเค้กชิ้นใหญ่ที่สุดในตลาดเครื่องดื่มในอนาคตได้แล้ว
และหากต่อไปเขายังเข้าไปครองตลาดโคล่าอีกล่ะก็ ไม่ใช่แค่เขาจะกลายเป็นหนามที่ทิ่มแทงบริษัทโคล่ายักษ์ใหญ่ทั้งคู่นั่นเท่านั้น แต่หลังจากที่ยักษ์ใหญ่ทั้งสองนั่นพ่ายแพ้เขายังจะกลายเป็นเป้าหมายที่คนในชาติควรจัดการทิ้งในที่สุดด้วย
ที่ทันทีที่จำหน่ายผลโคล่าออกสู่ตลาดและแข่งขันกันกับบริษัทโคล่าทั้งสองจะมีคนที่อิจฉาริษยาที่อาจแทงข้างหลังเพื่อพยายามแย่งผลโคล่าจะยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
และเป็นไปได้ที่คนเหล่านั้นจะร่วมมือกับบริษัทโคล่ายักษ์ใหญ่ด้วยซ้ำ
หากจะส่งเสริมผลโคล่าจำเป็นต้องปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างแน่นอน ซึ่งการป้องกันจะเป็นเรื่องยากที่ยากมาก
ที่สำคัญคือตอนนี้เขาไม่ได้ขาดเงิน
บ้านไร่ชิงหลิน, ห้องแล็บชิงหลิน และบริษัทชิงหลินฟู้ดกำลังทำเงินได้มากมายในทุก ๆ วัน จนเงินกลายเป็นเพียงแค่ตัวเลขสำหรับเขาไปแล้วจริง ๆ
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เส้นทางของผู้มีอำนาจเลย อีกทั้งยังเป็นการดีกว่าที่จะลดภัยคุกคามของตัวเองไปตั้งแต่ต้น และรวมพลังที่สามารถรวมเข้าด้วยกันเพื่อจัดการกับบริษัทโคล่ายักษ์ใหญ่ทั้งสองตั้งแต่ต้นด้วย
ถึงยังไงเมื่อตอนที่ได้ผลโคล่ามาครั้งแรก จุดประสงค์แรกเริ่มของเขาคือการจัดการกับบริษัทโคล่าทั้งสองแห่งนี้เท่านั้น ไม่ใช่การเป็นศัตรูกับคนในชาติ
“ครับคุณฉิน” เฉินหลี่พยักหน้า
เขาเดาได้แต่แรกแล้วว่าคุณฉินจะต้องเลือกวิธีที่สองแน่ ๆ เพราะว่าเถ้าแก่เป็นคนแบบนั้น
ยังสามารถเดาได้จากเหตุการณ์การบริจาคก่อนหน้านี้
บางทีเถ้าแก่อาจเป็นผู้ประกอบการในความหมายดั้งเดิม ไม่ใช่นักธุรกิจหรือนายทุน
นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาชื่นชมมากที่สุดในตัวของเถ้าแก่
ถ้าเป็นตนเองเลือกล่ะก็ระหว่างผลกำไรมหาศาลกับที่เถ้าแก่เลือกนั้นถือว่ายากมาก เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าบริษัทโคล่าทั้งสองนั้นทำกำไรได้มากขนาดไหนในแต่ละปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่โหดมาก
แต่พอเห็นเถ้าแก่เลือกตัวเลือกที่สองด้วยหน้านิ่ง ๆ ไม่มีลังเลแล้วเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายยังเป็นแค่ชายหนุ่มในวัยยี่สิบ
หลังจากที่เฉิ่นลี่กลับไปที่ห้องแล็บแล้วเขาก็สั่งให้ลูกน้องดำเนินการตามแผนที่สองทันที
เถ้าแก่ได้เลือกวิธีที่สองแล้ว ดังนั้นการคัดเลือกบริษัทเครื่องดื่มเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องทำอย่างรอบคอบด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกมาทุกบริษัท
ภายในสองวันเฉิ่นลี่ก็ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเครื่องดื่มในประเทศทั้งหมดมาไว้ในมือ ไม่ว่าจะเป็นสถานะของบริษัท บุคคลที่รับผิดชอบ และข้อมูลติดต่อของคนพวกนั้น
เขาต้องคัดกรองบริษัทเหล่านี้ก่อน
บริษัทเครื่องดื่มบางแห่งที่ครองตลาดดีอยู่แล้วมักจะไม่เลือกเข้าร่วมตลาดนี้
บริษัทเหล่านี้ย่อมต้องการผลประโยชน์สูงมาก แต่ความตั้งใจที่จะร่วมมือกลับไม่กระตือรือร้นมากนัก
บริษัทแรก ๆ ที่เข้าตาของเฉิ่นลี่ได้แก่เท่อต้าจิ้น, เล่อหู่, เจินชิงฉ่วง... ประมาณ 7 บริษัท
เหตุผลที่เขามอง 7 บริษัทนี้เป็นอันดับแรกก็เพราะว่าเดิมทีอีกฝ่ายเน้นไปที่เครื่องดื่มชูกำลง
แม้ว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ เช่นกระทิงแดงกับม่ายตงจะเคยครองตลาดเครื่องดื่มชูกำลงมาก่อนก็ตาม แต่เครื่องดื่มชูกำลงเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาดเช่นกัน
หลังจากที่ชายามว่างชิงหลินเข้าสู่ตลาดแล้วแม้แต่เครื่องดื่มชูกำลังของทั้งสองบริษัทนี้ก็ยังต้องสูญเสียพื้นที่และส่วนแบ่งการตลาดไป
ร่วมมือกับทั้งสองบริษัทนี้คงยิ่งยากเข้าไปใหญ่
ในเวลานี้หากห้องแล็บชิงหลินเสนอน้ำให้แก่คนที่กำลังกระหายเพื่อเสนอผลกำไรล่ะก็ คนเหล่านั้นย่อมยินดีที่จะลงทุนแน่นอน
จากนั้นเฉิ่นลี่ก็เลือกบริษัทเครื่องดื่มอื่น ๆ อย่างเช่นเทียนฝู่โคล่า, เหลาซานโคล่า, เส้าหลินโคล่า... อะไรพวกนี้
เนื่องจากว่าบริษัทโคล่าเหล่านี้ได้ครองตลาด 15% แม้จะยังห่างจากบริษัทโคล่ายักษ์ใหญ่ทั้งสองก็ตามแต่ก็มีส่วนสำคัญอยู่
เฉิ่นลี่เลือกบริษัทเหล่านี้ด้วยตัวเองเลย พวกนี้อาจไม่ได้มีพาวเวอร์อะไรนักก็จริง แต่ถ้าเอามารวม ๆ กันแล้วล่ะก็พาวเวอร์ก็ไม่น้อย
ขอเพียงวางแผนให้ดี ๆ ก็สามารถเซอร์ไพรส์บริษัทโคล่ายักษ์ใหญ่ทั้งสองได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้บริษัทโคล่ายักษ์ใหญ่ทั้งสองยังสามารถสร้างรายได้ในประเทศนี้กว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี ด้วยผลกำไรที่มหาศาลเช่นนี้เขาย่อมเชื่อสนิทใจเลยว่าว่าบริษัทเล็ก ๆ เหล่านี้ต้องยินดีที่จะร่วมมือกับห้องแล็บชิงหลินชัวร์
หลังจากที่เฉิ่นลี่เลือกบริษัทเสร็จแล้วก็เริ่มให้คนติดต่อกับเถ้าแก่ของบริษัทเหล่านี้ทีละแห่ง ๆ
............................................................................................
บริษัทเท่อต้าจินเบเวอเรจที่ตงกวง
ตงกวงยังเป็นนครใหญ่ที่มีบรรยากาศทางธุรกิจที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าสถานะของมันจะไม่สูงเท่าสถานที่อย่างเมืองแห่งเวทมนตร์อย่างเซี่ยไฮ้ก็ตาม แต่ตงกวงก็ยังเป็นสถานที่ที่อยู่คู่ประวัติศาสตร์ธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่าสองพันปีโดยเฉพาะที่โจวกวง
ที่ตงกวงแห่งนี้แค่ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวก็มีมากมายหลายอย่างแล้ว
เท่อต้าจินนี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทต้าจินฟู้ดโปรโมตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เดิมทีเท่อต้าจินนี้ยังครองตลาดเครื่องดื่มชูกำลงด้วยและมีแนวโน้มว่าจะไปได้สวย
แต่ด้วยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันชายามว่างชิงหลินทำให้ตลาดที่เท่อต้าจินครอบครองอยู่เดิมนั้นไม่อาจรักษาไว้ได้อีกต่อไป และส่วนแบ่งที่ได้ก็น้อยลงเรื่อย ๆ
มันทำให้เท่อต้าจินประสบปัญหาเล็กน้อยอย่างปัจจุบันทันด่วน
ในห้องทำงานของเถ้าแก่ของบริษัทเท่อต้าจิน เหยียนหลินกำลังนั่งดูสถานะส่วนแบ่งการตลาดล่าสุดของบริษัทเท่อต้าจินเบเวอเรจด้วยสีหน้าที่น่าเกลียดมาก
ในช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนี้มันลดลงอีกแล้ว
ทว่าก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เลย
ถึงตอนนี้เหตุผลที่เท่อต้าจินสามารถครอบครองตลาดในบางแห่งได้ไม่ใช่เพราะเครื่องดื่มของที่นี่ดี แต่เพราะชายามว่างชิงหลินยังไม่ได้ขยายตลาดเข้ามาที่นี่ ซึ่งชายามว่าชิงหลินยังไม่มีการวางจำหน่ายในหลาย ๆ เมืองระดับนครใหญ่ ๆ
หากบริษัทชิงหลินฟู้ดมีเงินทุนมากพอ มีการบูรณาการ และซื้อโรงงานเครื่องดื่มอื่น ๆ เพื่อขยายขนาดการผลิตและกระจายตลาดอย่างมหาศาลล่ะก็ เกรงว่าพวกตนต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดนี้ไปโดยสมบูรณ์เลย
ดูท่าว่าคงจะต้องถอนตัวออกจากตลาดเร็ว ๆ นี้แล้ว เพราะแม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างกระทิงแดงกับม่ายตงก็ยังไม่อาจหยุดยั้งชายามว่างชิงหลินได้เลยนี่นา
นอกจากนี้ตัวเองก็ยังเคยใช้ชายามว่างชิงหลินมาแล้ว แม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายทุบตีอย่างหนักแต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าอีกฝ่ายมันแกร่งจริง ๆ
เขาไปหาความสำเริงสำราญนอกบ้านบ้างเป็นครั้งคราวและต้องดื่มชายามว่าชิงหลินขวดหนึ่งก่อนกลับบ้านเพื่อไปจัดการกับเมียที่บ้านต่อ
ขณะที่เหยียนหลินกำลังคิดอยู่นั้นจู่ ๆ มือถือก็ดัง ซึ่งพอเอามาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ไม่คุ้น
แล้วก็กดรับสายด้วยความงุนงง
แม้จะมีแนวโน้มมากที่สุดที่คนโทรมาจะเป็นพวกขายประกันก็ตาม แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นลูกค้าได้มาหาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว
ทันทีที่รับสายเหยียนหลินก็ได้ยินเสียงจากปลายสายอีกฝั่ง “สวัสดีครับคุณเหยียน ผมหลินตงเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ของห้องทดลองชิงหลินนะครับ ห้องแล็บของเรามีความร่วมมือที่อยากจะหารือกับคุณไม่ทราบว่า...”
เหยียนหลินตัดสายทิ้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ไอ้นี่ไม่ใช่คนขายประกันแต่เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซะงั้น
‘คนจากห้องแล็บชิงหลินมีความร่วมมืออยากจะหารืองั้นเรอะ มึงไม่รู้เลยเหรอวะว่าชายามว่างชิงหลินกับเท่อต้าจินของพวกกูเป็นศัตรูกันน่ะหา!’
‘ไอ้แก๊งคอลเซนเตอร์นี่มันโง่แท้วะ แกล้งเป็นใครไม่เป็นดันมาเป็นคนจากห้องแล็บชิงหลินซะงั้น’
ทว่าในใจจะคิดแบบนั้นอยู่ก็ตาม แต่ก็เปิดหน้าเว็บทางการของห้องแล็บชิงหลินในมือโดยไม่รู้ตัวและหาดูเบอร์ติดต่อของห้องแล็บชิงหลิน
ถ้าเกิดว่าเป็นเบอร์ของห้องแล็บชิงหลินจริง ๆ ล่ะ?
และเหยียนหลินต้องอึ้งไปเลยก็คือเบอร์ที่โทรมากับเบอร์ที่ประกาศไว้หน้าเว็บกลับตรงกันซะงั้น
หรือก็คือไอ้คนที่ชื่อหลินตงเมื่อกี๊เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ของห้องแล็บชิงหลินจริง ๆ น่ะสิ ใช่มั้ย?
คิดได้ดังนั้นเขาก็รีบโทรกลับอย่างไว
เป็นบริษัทชิงหลินฟู้ดเองที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทตนต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด แล้ววันนี้ห้องแล็บชิงหลินจะโทรมาทำไม?
ยิ่งไปกว่านั้นคนจากห้องแล็บชิงหลินพึ่งบอกว่ามีความร่วมมืออยากจะหารือกันด้วย
............................................................................................
ห้องทดลองชิงหลิน
หลินตงกำลังเซ็ง ๆ เพราะตนเองพูดไปยังไม่ทันจบประโยคอีฝ่ายก็ตัดสายทิ้งซะงั้น เป็นเชี่ยไรวะแค่ฟังให้จบก่อนก็ไม่ได้
ขณะที่กำลังคิด ๆ อยู่นั้นจู่ ๆ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายโทรกลับมาแล้ว
แล้วก็กดรับสายแบบมึน ๆ
เสียงของเหยียนหลินดังขึ้นมาทันที “ขอโทษจริง ๆ ครับหลินจู๋ก่วน เมื่อกี๊จู่ ๆ สัญญาณก็ตัดไปเองเลย ผมนี่รีบโทรกลับเลยนะครับ ไม่ทราบว่าต้องการหารือเรื่องความร่วมมือแบบไหนเหรอ”
หลินตงจึงตอบกลับไปว่า “ประธานของเรากับคุณเฉิ่นอยากหารือเรื่องความร่วมมือในตลาดเครื่องดื่ม ถ้าไม่ลำบากเราก็อยากจะเชิญคุณมาพูดคุยกันที่ห้องทดลองชิงหลินน่ะครับ”
อีกด้านหนึ่ง เหยียนหลินที่ได้ยินคำตอบก็ตกตะลึงไปเลย จากนั้นก็ให้คำตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ลำบากเลยครับ มีตรงไหนกันที่ลำบาก ไม่ต้องห่วงครับหลินจู๋ก่วน ผมจะไปแน่นอน”
ไอ้คุณเฉิ่นเป็นใครนั้นไม่รู้ แต่ที่รู้คือประธานที่ว่านั่นจะต้องเป็นคนเดียวกันกับบอสใหญ่ของบริษัทชิงหลินฟู้ดเท่านั้น และยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมของบ้านไร่ชิงหลินด้วย
เพียงแต่ว่าบอสใหญ่คนนี้ก็ช่างลึกลับซะเหลือเกิน หากบอกว่าสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่อยากรู้มากที่สุดคือคนคนนั้นเป็นใครก็ไม่เกินจริง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมรับคือบุคคลที่อยู่เบื้องหลังบริษัทชิงหลินนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน ก็ดูซิ มันง่ายซะที่ไหนล่ะไอ้การสร้างอุตสาหกรรมซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงอย่างบ้านไร่ชิงหลิน, บริษัทชิงหลินฟู้ด และห้องทดลองชิงหลินในช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนี้
ในยุคสมัยใหม่ที่การจัดสรรทุนใกล้จะถึงจุดอิ่มตัวแล้วแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทใด ๆ ในประเทศจะสร้างอุตสาหกรรมประเภทนี้ขึ้นใหม่ตั้งแต่ศูนย์จนจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ของแท้ในระยะเวลาอันสั้น
แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังบริษัทชิงหลินฟู้ดกลับทำได้
นี่คือคนที่มีความสามารถพิเศษ
และตอนนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่าต้องการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับตนและยังบอกด้วยว่ามันเกี่ยวข้องกับตลาดเครื่องดื่มซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างแน่นอน บางทีพวกนั้นอาจให้โอกาสเกาะแข้งเกาะขาและทำให้ตนได้รับส่วนแบ่งชิ้นเนื้อบ้างก็เป็นได้
หลินตงได้ยินคำตอบก็ยิ้มและบอกว่า “โอเคครับ ถ้าคุณหยานมาถึงเมื่อไหร่สามารถโทรหาเราได้เลยครับ แล้วทางเราจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”
ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ได้รับสายจากหลินตงโดยพื้นฐานแล้วล้วนมีทัศนคติแบบเดียวกับเหยียนหลิน
ก็ไม่แปลก เพราะถึงยังไงคนที่เชิญพวกตนไปก็เป็นถึงบอสใหญ่เบื้องหลังบริษัทชิงหลินเลยทีเดียว และใครก็ตามที่มีสมองจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่
เหยียนหลินสั่งให้เลขาจองตัวเครื่องบินด่วนที่สุดและบินตรงไปยังเขตเมืองหมิง
เนื่องจากที่อำเภอเล็ก ๆ อย่างโหยวเฉิงนั้นไม่มีสนามบินเขาจึงทำได้เพียงบินไปลงที่เขตเมืองหมิงก่อนแล้วค่อยไปที่อำเภอโหยวเฉิง
ถึงแม้มันจะเป็นการเดินทางที่ยุ่งยากหน่อย ๆ ก็ตาม แต่ว่าอีกฝ่ายคือห้องแล็บชิงหลิน ดังนั้นต่อให้การเดินทางจะลำบากกว่านี้เขาก็ไม่เกี่ยงและจะหาวิธีการจัดการที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเพื่อไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดอยู่ดี
เมื่อเหยียนหลินมาถึงอำเภอโหยวเฉิงปุ๊บก็โทรไปที่หมายเลขติดต่อของห้องแล็บชิงหลินทันที จากนั้นก็มีคนมารับและพาไปเช็กอินที่โรงแรมจงหมิน
ที่โรงแรมจงหมินนั้นนักท่องเที่ยวจำเป็นต้องจองห้องพัก แต่หากห้องแล็บชิงหลินต้องการจัดเตรียมห้องพักให้แขกล่ะก็ขอเพียงแค่โทรกริ๊งเดียวพอ
วันต่อมา
หลังจากที่เหยียนหลินตื่นนอนและกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ได้รับสายจากห้องแล็บชิงหลินซึ่งอีกฝ่ายได้จัดรถมารอรับแล้ว
พอลงไปที่ล็อบบี้ก็เห็นคนที่ถือป้าย [ห้องทดลองชิงหลิน] ยืนรออยู่
และยังพบว่ามีคนรู้จักยืนอยู่ข้าง ๆ พนักงานต้อนรับซึ่งเป็นเถ้าแก่ของบริษัทเครื่องดื่มรายอื่น
เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่ของบริษัทเครื่องดื่มเหล่านี้เองก็ประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เจอกัน ทุกคนต่างก็รู้จักกันดีและกล่าวทักทายซึ่งกันและกัน!
“ว่าไงคุณเฉิน มาด้วยเหรอ”
“ไม่เจอกันนานเลยนะคุณเหยียน”
“อ้าวคุณหลี่ เจอกันครั้งสุดท้ายที่เมืองเวทมนตร์หลังจากนั้นก็ไม่เจอกันอีกเลยเนอะ”
“...”
หลังจากที่เหยียนหลินทักทายเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มที่รู้จักกันแล้วก็พากันเดินตามคนจากห้องทดลองชิงหลินไปที่รถ
พวกเถ้าแก่เหล่านี้ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เพราะแต่ละคนต่างก็คิดว่าคงมีแค่ตนที่ได้รับเชิญ แต่นี่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่เป็นเช่นนั้น
มีเถ้าแก่บริษัทเครื่องดื่มถูกเชิญมากมายในเวลาเดียวกันแบบนี้ย่อมแปลว่าต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว
เห็นทีครั้งนี้ห้องแล็บชิงหลินกะจะก่อเรื่องใหญ่ชัวร์ ๆ
และแล้วเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มเหล่านี้ที่ได้รับเชิญก็ไปถึงที่สำนักงานของห้องทดลองชิงหลิน
อาคารสำนักงานนี้ยังคงเป็นอาคารเช่าหลังเดิมที่ข้างเก่า แต่บรรดาเถ้าแก่ทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็ไม่กล้าดูหมิ่นเพราะต่างตระหนักดีถึงความแข็งแกร่งของห้องแล็บชิงหลิน และการจะสร้างอาคารสำนักงานก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
พวกเหยียนหลินต่างก็ถูกพาไปที่ห้องประชุม ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นกันอย่างถ้วนทั่ว
เรื่องคุณเฉิ่นหรือก็คือเฉิ่นลี่นั้นพวกตนได้จัดการหาข้อมูลมาไว้ในมือแล้วเรียบร้อย
แต่ว่าข้อมูลของบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทชิงหลินจริง ๆ นั้นหายังไงก็ไม่พบ มีแค่รูปถ่ายของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่ไอ้ชายวัยกลางคนที่ว่าก็ไม่ได้มีออร่าของคนที่เป็นบอสใหญ่อยู่เลย ดูแล้วเหมือนเป็นรปภ.มากกว่า
และวันนี้แหละที่พวกตนจะมีโอกาสพบกับบอสใหญ่ในตำนานที่อยู่เบื้องหลังบริษัทชิงหลินนั่นแล้ว
ขณะที่เจ้าของบริษัทเครื่องดื่มเหล่านี้กำลังอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่งอยู่นั้นเองประตูห้องทำงานก็เปิดออก
เป็นคุณเฉิ่นที่เดินเข้ามากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดิน
ประเด็นสำคัญคือคุณเฉิ่นคนนั้นกำลังเดินตามก้นเด็กหนุ่มอยู่ก้าวหนึ่ง
ซึ่งฉากนี้ทำให้ทุกคนในห้องต้องตกตะลึง