บทที่ 3 : นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?!
บทที่ 3 : นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?!
พลังติดตัว? มันคืออะไรกัน? นอกจากนี้มันยังไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือที่เขาเรียนมาตลอดสามปีด้วยซ้ำ
เมื่อพลังนี้ปรากฏขึ้น โม่ซิ่วจึงยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก
มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่ปรากฎอยู่ซึ่งก็คือคําว่า "พลิ้ว" แม้แต่การแนะนําการใช้พลังก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
แม้ในหนังสือจะระบุอย่างชัดเจนว่าเมื่อคนๆหนึ่งได้ทำการปลุกพลังของพวกเขา พวกเขาจะอยู่ในสถานะพิเศษ ในมุมมองภายนอก คนๆนั้นจะอยู่ในสภาวะว่างเปล่า แต่ในความเป็นจริงสมองของพวกเขาจะทํางานอย่างรวดเร็วและพวกเขาก็จะเลือกพลังของตน
การตื่นขึ้นของพลังอีกสามครั้งที่เหลือก็จะเป็นเหมือนกัน ซึ่งพลังทั้งสามจะปรากฏขึ้นในใจพร้อมชื่อและการแนะนําการใช้พลังก็จะปรากฏขึ้นด้วย
แต่ตอนนี้มีเพียงพลังเดียวเท่านั้นที่ปรากฏในหัวของโม่ซิ่ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนี้เขายังไม่รู้ด้วยว่าพลังนี้ใช้ทําอะไรได้
แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แต่โม่ซิ่วก็ยังสงบมาก และเนื่องจากไม่มีการจํากัดเวลาในการเลือกพลัง ดังนั้นโม่ซิ่วจึงรอดูอีกสักพักว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่?
หลังจากที่เวลาผ่านไป โม่ซิ่วเองก็ไม่รู้ว่าเขารอมานานแค่ไหนแล้วในสภาวะนี้ นอกจากนี้เขายังไม่มีความรู้สึกถึงการไหลของเวลาด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกันพลัง “พลิ้ว” ก็ยังลอยอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนเดิม
“ตอนนี้โลกภายนอกผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?”
“เอาเถอะ ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็คงจำเป็นต้องเลือกพลัง ”พลิ้ว“นี่ไปก่อน!”
โม่ซิ่วทําอะไรไม่ถูกและทําได้เพียงเลือกพลังนี้ไปเท่านั้น
เมื่อเขาสัมผัสกับพลังนั้น พลังได้กลายเป็นแสงสีทองและพุ่งเข้าไปในจิตใจของเขา
ในขณะที่โม่ซิ่วกำลังจะตรวจสอบพลังนี้ เขาก็เริ่มตระหนักว่าเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้
หรือก็คือเขายังไม่ได้หลุดออกจากสภาวะนี้!
ท่ามกลางความสับสนของเขา ลำแสงอีกดวงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา และเมื่อแสงนั้นใกล้เข้ามา สำแสงที่สามก็ปรากฏขึ้น
“อ้าว? ก่อนหน้านี้แค่ของหลอกงั้นเรอะ? หรือว่าตอนนี้จะเป็นช่วงการเลือกพลังที่แท้จริงแล้วกันแน่?”
เมื่อพลังทั้งสามหยุดลง โม่ซิ่วจึงตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
"พลัง : ระเบิดเพลิงอนันต์"
"ผล : สามารถใช้เปลวไฟที่กลายเป็นระเบิดได้"
"ระยะเวลาคูลดาวน์: 5 นาที"
"พลัง : เนตรแห่งพระเจ้า"
“ผล : ตรวจสอบพลังผู้ได้โดยประมาณซึ่งรวมถึงรายละเอียดการคูลดาวน์และระยะเวลาการใช้พลังของเป้าหมายได้ ซึ่งใช้ได้เพียงคนเดียวต่อหนึ่งครั้งเท่านั้น”
"ระยะเวลาคูลดาวน์ : 1 ชั่วโมง"
"พลัง : ก้าวข้ามขีดจำกัด"
"ผล : เพิ่มคุณสมบัติทั้งหมดในร่างกาย (ความเร็ว ความแข็งแกร่ง ความอดทน ฯลฯ) 100%"
"ระยะที่ได้รับผล : 3 นาที"
"ระยะเวลาคูลดาวน์ : 3 ชั่วโมง"
ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าโม่ซิ่วจะยังสงบนิ่งได้แม้ว่าจะได้เห็นแค่พลังเดียว แต่เมื่อได้เห็นพลังทั้งสามนี้โม่ซิ่วจึงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป
“เฮ้ย! พลังพวกนี้มันทรงพลังมากเกินไปรึเปล่าเนี่ย?!”
หลังจากที่อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ โม่ซิ่วจึงตกอยู่ในสภาวะความคิดลึกๆ เนื่องจากพลังทั้งสามนี้ทรงพลังมากแต่ละอย่างก็มีความแตกต่างกัน
ระเบิดเพลิงอนันต์มีระยะเวลาคูลดาวน์สั้น แม้ว่าผลของพลังจะไม่ได้ระบุว่ามันทรงพลังแค่ไหน แต่ก็ไม่น่าต่ำต้อยมากนัก บางทีพลังจากการระเบิดดังกล่าวอาจจะยาวนานกว่าระยะเวลาคูลดาวน์ของพลังก็ได้
การที่พลังมีระยะเวลาคูลดาวน์สั้นๆ หมายความว่าเขาสามารถใช้พลังได้หลายครั้งในการต่อสู้ได้
ในขณะเดียวกัน พลังก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นสามารถใช้เพื่อเพิ่มพลังทุกด้านได้ถึง 100%
ส่วนพลังเนตรแห่งพระเจ้าเป็นพลังที่ทําให้โม่ซิ่วตกใจมากที่สุด เพราะเขาไม่เคยได้ยินถึงพลังที่สามารถตรวจสอบพลังของผู้อื่นได้โดยตรง เพราะการรักษาความลับของพลังนั้นเป็นสิ่งสําคัญมาก
ถ้าเขารู้พลังของคู่ต่อสู้ก่อนที่จะต่อสู้ เขาก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้น
หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง โม่ซิ่วจึงเตรียมที่จะเลือกระหว่าง เนตรแห่งพระเจ้า และ ก้าวข้ามขีดจำกัด
พลังเนตรแห่งพระเจ้าไม่ต่างอะไนกับการโกง ซึ่งโม่ซิ่วเองก็ไม่ต้องการปล่อยให้พลังนี้หลุดลอยไป
ในทางกลับกันพลังก้าวข้ามขีดจำกัดก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้ในระยะเวลาอันสั้น และเนื่องจากโม่ซิ่วเชี่ยวชาญด้านต่อสู้มาตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นพลังนี้จึงเหมาะกับเขามาก
พลังอย่างหนึ่งทําให้เขาได้รับสิทธิพิเศษและช่วยเขาได้มากในการสอบเข้า ในขณะเดียวกันพลังอื่นๆสามารถช่วยให้เขาได้ผลลัพธ์ที่ดีในการสอบเข้า
นี่เป็นคําถามว่าเขาควรจะเลือกพลังที่จะช่วยเขาในปัจจุบันหรืออนาคต
หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง โม่ซิ่วจึงตัดสินใจเลือกพลังก้าวข้ามขีดจำกัดเพราะมันมีประโยชน์มากกว่า
หลังจากที่จิตสํานึกของเขาสัมผัสเข้ากับพลัง พลังก้าวข้ามขีดจำกัดก็กลายเป็นลำแสงสีทองและพุ่งเข้าสู่จิตใจของเขา
หลังจากที่ตัดสินใจเลือกแล้ว พลังอีกสองอย่างกลับไม่หายไปซึ่งทำให้โม่ซิ่วขมวดคิ้วสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก
“อะไรอีกล่ะเนี่ย? ทำไมถึงได้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นมากขนาดนี้ได้กัน?”
“หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติกับพลังจนทำให้ฉันไม่สามารถเลือกพลังก้าวข้ามขีดจำกัดได้?”
โม่ซิ่วส่ายหัวและใช้สติของเขาเพื่อสัมผัสถึงพลังเนตรแห่งพระเจ้า
คราวนี้ก่อนที่ลำแสงสีทองจะสลายไป ทุกอย่างรอบๆตัวโม่ซิ่วได้เปลี่ยนเป็นสีขาวและจากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น
“นี่...นี่มันอะไรกัน? ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่เลย?”
จู่ๆโม่ซิ่วก็ลุกขึ้นมานั่งหลังพลังทั้งสองอย่างก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “พลิ้ว” ในขณะที่อีกอย่างคือ “เนตรแห่งพระเจ้า”
“เฮ้ย? บ้าอะไรเนี่ย? ทําไมฉันถึงได้มีพลังสองอย่างได้ล่ะ? นี่ฉันปลุกพลังสองอย่างพร้อมกันได้งั้นเรอะ?! ไม่สิ ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าหากได้รับพลังหลายอย่างในระหว่างการปลุกพลังครั้งแรก พลังนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนและหลังจากเลือกพลังแรกแล้วฉันก็จะตื่นขึ้นในอีกหนึ่งวันข้างหน้านี่?”
"โม่ซิ่ว ลูกตื่นรึยัง?"
เสียงของแม่ดังเข้ามาขัดความคิดของโม่ซิ่ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นว่าเป็นแม่ของเขา
เนื่องจากโม่ซิ่วไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลยทั้งคืน หลี่หยวนจึงนอนอยู่เคียงข้างเขาตลอดทั้งคืน
"ลูกปลุกพลังของลูกหรือยังน่ะ?"
"เรียบร้อยครับแม่!"
"พลังเป็นยังไงบ้าง ดีไหม?"
"ก็ไม่แย่นะครับ"
“ดีแล้วล่ะลูก เอาล่ะลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวแม่ต้มบะหมี่ให้กินนะ”
แม่ของเขาไม่ได้ถามคําถามอะไรอีก ในขณะเดียวกันโม่ซิ่วก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเขารู้ว่าแม่ของเขาเชื่อว่าเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้
หลังจากจัดการตัวเองอีกสักพัก โม่ซิ่วก็เดินมาที่โต๊ะอาหารและมองไปที่ชามบะหมี่และสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม่ของเขาเลี้ยงดูครอบครัวนี้เพียงลําพัง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาเงินได้
เมื่อเขาไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาจะต้องสอบชิงทุนหรือไม่ก็ต้องทำงานเพื่อหารายได้เพิ่ม
"ขอบคุณมากครับแม่!"
หลี่หยวนยิ้มและพูดว่า "แหม วันนี้ปากหวานแปลกๆนะลูกเนี่ย"
โม่ซิ่วเกาหัวและพูดว่า "ฮ่ะๆ ครับแม่"
ไม่นานหลังจากทานอาหารเสร็จ โม่ซิ่วก็ออกจากบ้านไป แม้ว่าเขาจะตั้งตารอที่จะทดสอบพลังของเขาแต่เขาก็ยังต้องไปโรงเรียน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหาที่ที่เงียบสงบเพื่อตรวจพลังที่พึ่งปลุกของเขาได้
เมื่อโม่ซิ่วเดินไปถึงประตูโรงเรียน เขาก็ชนเข้ากับเจิ้งอี้ โม่ซิ่วจึงรู้สึกงงเล็กน้อยเพราะเพื่อนของเขามักจะมาถึงโรงเรียนสาย แต่วันนี้กลับเป็นเขาที่มาเร็ว
“ไงเจิ้งอี้ วันนี้ขึ้นผิดฝั่งรึเปล่านายถึงได้มาเร็วแบบนี้น่ะ?”
เจิ้งอี้พูดด้วยความไม่สบอารมเล็กน้อยว่า “แหมปากหนอปาก ฉันรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดนายฉันก็เลยรีบมาโรงเรียนเพื่อมารอนายไง! ว่าพลังของนายเป็นยังไงบ้าง?”
ในยุคนี้ทุกคนต่างรู้ดีถึงความสําคัญของการปิดซ่อนพลังของตน ดังนั้นเจิ้งอี้จึงไม่ได้ถามโม่ซิ่วตรงๆว่าพลังของเขาคืออะไร ถามว่าดีแค่ไหนแทน
โม่ซิ่วหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า "ก็ไม่เลวนะ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากในการสอบเข้าน่ะ"
“หรอ? หมายความว่ามันไม่ใช่พลังด้านต่อสู้สินะ? งั้นถ้าคะแนนเต็ม 100 นายจะให้คะแนนพลังของนายเท่าไหร่ล่ะ?”
" 95 คะแนนก็พอแล้ว"
เจิ้งอี้ค่อนข้างแปลกใจ เขานั้นรู้จักโม่ซิ่วเป็นอย่างดี แม้ว่าโม่ซิ่วมักจะชอบพูดติดตลกแต่เขาจะจริงจังมากเมื่อพูดถึงเรื่องต่างๆ
นั่นจึงหมายความว่าพลังของโม่ซิ่วนั้นค่อนข้างดี
อันที่โม่ซิ่วเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย เหตุผลที่เขาให้คะแนน 95 แทนที่จะเป็น 100 เป็นเพราะมีเรื่องแปลกๆมากเกินไปในระหว่างการปลุกพลัง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถระบุความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพลังได้
“เอ๊ะ? ถ้าหากฉันลองใช้พลังเนตรแห่งพระเจ้าดูล่ะ?”
เมื่อคิดได้แบบนี้ โม่ซิ่วจึงคว้าแขนของเจิ้งอี้และลากเขาไปที่ซอยเล็กๆข้างโรงเรียน
"เฮ้ เฮ้ เฮ้ โม่ซิ่ว นี่นายจะลากฉันไปไหนเนี่ย?"
โม่ซิ่วมองไปที่เจิ้งอี้อย่างจริงจังและพูดว่า "ขอโทษนะ!"
หลังจากนั้นโม่ซิ่วได้ใช้พลังเนตรแห่งพระเจ้ากับเจิ้งอี้และข้อความก็ปรากฏขึ้นในใจของโม่ซิ่ว
"พลัง : อัสนีสีม่วง"
“ผล : หลังจากที่ปล่อยสายฟ้าออกมา ร่างกายจะถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้าสีม่วงซึ่งจะเพิ่มความเร็ว 100%เมื่อโจมตีและมีส่งผลทําให้ร่างกายชา”
"ระยะเวลาการใช้พลัง : 2 นาที"
"ระยะเวลาคูลดาวน์ : 3 ชั่วโมง"
เขาสามารถล่วงรู้พลังของคนอื่นได้อย่างละเอียดจริงๆซึ่งมันน่าเหลือเชื่อมาก
โม่ซิ่วระงับความตื่นเต้นในใจของเขาและเงยหน้าขึ้นมองเจิ้งอี้ “เมื่อกี้มีอะไรแปลกๆในตัวฉันบ้างมั้ย? อย่างเช่นร่างกายของฉันเปล่งแสงออกมาอะไรเงี้ย?”
เจิ้งอี้พูดด้วยสีหน้าสงสัย “ไม่นะ ทําไมเหรอ? ว่าแต่ทําไมนายถึงได้ถามอะไรแปลกๆแบบนี้ล่ะ?”