บทที่ 22 เทพหล่นลงมา
ฝนพรำลงมาทำให้ศาลาเต๋าเล็กๆ เปียกชุ่ม
หลี่ผิงอันถอดเสื้อคลุมนักพรต เหลือเพียงเสื้อชั้นในหลวมๆ ลากเก้าอี้ไม้ไผ่ไปนั่งสงบใจมองระยะไกลอยู่ใต้ชายคาและม่านฝน ไม่นานก็หลับตาลง ทำใจให้ว่างเปล่า
พลังลมปราณที่ผ่านการชำระล้างด้วยน้ำฝนมีความเย็นสดชื่นขึ้นอีกนิด
นี่เป็นวันที่สี่แล้วนับตั้งแต่ผู้อาวุโสเยี่ยนเชิ่งจากไป หลี่ผิงอันยังไม่แน่ใจว่าตอนนี้กลับไปสำนักว่านหยุนจงจะปลอดภัยแค่ไหน
วานนี้ เวยเหยียนจื้อได้รับป้ายหยกสื่อสารหนึ่งอัน ในนั้นถามถึงความปลอดภัยของเวยเหยียนจื้อในตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ทางทะเลตะวันออกยังคงตึงเครียดมาก นักพรตศักดิ์สิทธิ์ภายในสำนักบางส่วนดูเหมือนจะสูญเสียการติดต่อกับสำนักชั่วคราว
'ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวข้าในตอนนี้อยู่แล้ว'
ผู้ฝึกตนขั้นควบแน่นปราณหลี่ผิงอันคิดเช่นนั้น
ตัวเขาไม่ใช่คนชอบลุ้นเรื่องที่ร้อนแรงอยู่แล้ว และในสายตาเขาแล้ว อุปกรณ์วิเศษและโอสถศักดิ์สิทธิ์ภายนอกนั้น มีความสำคัญน้อยกว่าการตระหนักรู้ในมรรคาของตนเองมาก
ถึงตอนนี้เขาจะอยู่ในขั้นหยวนเซียน เจินเซียน แต่หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์หรือสำนัก เขาก็คงไม่ไปยุ่งกับเรื่องนี้อยู่ดี
"ผิงอัน! เร็วๆ มาลองชิมเนื้อแปลกๆ ที่ข้าพึ่งทำเสร็จใหม่ๆ ดูสิ!"
เฉินกงหมินถือกระต่ายย่างเดินฝ่าม่านฝนพรมพรายในภูเขา รีบเข้ามาในศาลาเต๋าพร้อมกับตะโกน
หลี่ผิงอันเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา
ปกติพรตเฉินก็ชอบทำสัตว์ป่าที่มีพลังปราณเล็กน้อยเป็นกับแกล้ม ปรากฏว่าเรื่องนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย
หลี่ผิงอันหยิบโต๊ะเล็กมา เอาสุราดีสองไหที่ตักตวงมาจากพ่อของตัวเองออกมา พรตเฉินกงหมินขนผักป่ามาอีกกำหนึ่งจากด้านหลังศาลาเต๋า ขุดถั่วเปรี้ยวหวานที่หลี่ผิงอัน 'ประดิษฐ์' มาตั้งแต่สมัยก่อนออกมานิดหน่อย
เฉินกงหมินเอ่ยถามอย่างสงสัย "ผู้จัดการเวยเหยียนจื้อไปไหน"
"บอกว่าไปฝึกตนหลังภูเขา" หลี่ผิงอันยักไหล่ "พลังปราณเขาอยู่ห่างจากที่นี่แค่สิบลี้ รู้หรือไม่ว่าเขากำลังทำอะไร"
"รอจนผู้จัดการกลับมาข้าจะหาให้เขาตัวหนึ่ง พวกเราค่อยรีบกินตอนร้อนๆ กันก่อน"
เฉินกงหมินฉวยขากระต่ายยัดให้หลี่ผิงอัน
หลี่ผิงอันกว่าปีแล้วที่ไม่ได้กินอะไรโดยตรง พอเห็นขากระต่ายย่างหนังกรอบมันวาวนี้ก็โดนกระตุ้นความอยาก ก้มหน้าฝังฟันลงไปคำหนึ่ง เคี้ยวอย่างละเอียดช้าๆ ปุ่มรับรสก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนลึกในจิตใจเพิ่มความรู้สึกพอใจมากขึ้นอีกนิด
มรรคาแห่งตัณหา ไม่ได้อยู่ที่รูปร่าง แต่อยู่ที่จิตใจ
เขาสะสมความเข้าใจบางส่วนเอาไว้ เคี้ยวเนื้อกระต่ายอย่างช้าๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ
"มีอะไรไม่สบายใจหรือ"
เฉินกงหมินพิงพนักเก้าอี้ไม้ไผ่ จิบเหล้าที่ปากไหหนึ่ง เปิดเผยสีหน้าเคลิ้มฝัน
"เหล้าเจ๋ง! นี่คือเหล้าเซียนของแท้เลย! ไม่เหมือนกัน เหล้าที่ผู้ฝึกเซียนกลั่นน่ะไม่เหมือนกับเหล้าที่พวกเรากลั่นเลยจริงๆ !"
หลี่ผิงอันหัวเราะ "ต่างกันตรงที่ถ้าดื่มมากไปจะปวดหัวหรือหัวหมุนเท่านั้นเอง"
"ตะกี้ได้ยินเจ้าถอนหายใจ... โดนรังแกในสำนักหรือ"
เฉินกงหมินมีรอยยิ้มเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าขาวสะอาดไร้หนวดเครา และดวงตาก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
"ไม่กี่วันนี้ ข้าได้ยินผู้จัดการเวยเหยียนจื้อเล่าเรื่องราวของเจ้าและพ่อหลายเรื่อง ไม่คิดว่าพ่อเจ้าจะมีอัตราพลังชะตาเข้มแข็งขนาดนั้น
"ข้าในฐานะผู้รักษาการณ์นครหว่านอันนี่ คงมองข้ามไปแล้วจริงๆ
"เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลหรอก สำนักมีคำสั่งเข้มงวดว่าห้ามเผยแพร่ ข้าก็จะเก็บเป็นความลับ"
"ก็แค่ดูเหมือนว่าแต่เดิมท่านจะมีการติดต่อกับพ่อข้าไม่มากนักเท่านั้นเอง"
หลี่ผิงอันรินสุราให้ตัวเอง มองน้ำในจอกที่สั่นระริกเล็กน้อย เปล่งเสียงเบาๆ
"ตอนนี้ข้าคิดจะอยากได้อาจารย์เซียนแท้สอนยังลำบากอยู่เลย แต่สิ่งที่อาจารย์ให้ข้าได้ พ่อก็ให้ข้าได้ทั้งหมดแล้ว ถือว่าก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหรอก
"ก็แค่ขาดอาจารย์นำทางฝึกฝน ก็เลยไม่รู้ว่าต่อจากนี้ตัวเองจะหลงผิดไปสู่ทางที่ผิดหรือเปล่า"
"ความกลัดกลุ้มของเจ้านั่นทำให้คนอื่นอิจฉาจริงๆ "
เฉินกงหมินหัวเราะ
"เจ้าสำนักคนปัจจุบันเป็นหลานศิษย์รุ่นหลานของอาจารย์ใหญ่คงหมิง สำนักของเรานิยมทั้งในลำดับรุ่นเสมือนและรุ่นจริงควบคู่กันไป
"รุ่นเสมือนคือ ระดับการฝึกฝนหนึ่ง รุ่นหนึ่ง พอถึงขั้นเทียนเซียนก็สามารถเรียกเทียนเซียนท่านอื่นๆ ได้ว่าเป็นสหาย ส่วนรุ่นจริงก็คือรุ่นจริงๆ ขึ้นอยู่กับการสืบทอดความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์
"ตอนที่ผู้ฝึกเซียนหาศิษย์ก็ยังต้องดูที่รุ่นจริง ดังนั้นเจ้าเลยหาอาจารย์ยากหน่อย
"แต่ความเร็วในการฝึกฝนของเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ เจ้าทำได้อย่างไร ถึงได้ก้าวเข้าสู่ขั้นควบแน่นปราณได้ในเวลาแค่สามปีเท่านั้น"
หลี่ผิงอันยักไหล่ "สิ่งที่จำเป็นนั้นก็คือโชคหนึ่งส่วน โอกาสสามส่วน และเหงื่อพยายามอีกหกส่วน"
ในแววตาของเฉินกงหมินเต็มไปด้วยความสงสัย
หลี่ผิงอันจึงต้องเสริมอีกประโยค "และการสนับสนุนจากพ่อข้าอย่างเต็มกำลังเก้าสิบส่วน"
"ฮ่าๆๆๆ !"
เฉินกงหมินเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง หลี่ผิงอันส่ายหน้า แล้วก็กัดขากระต่ายต่อ
อีกครู่ หลี่ผิงอันพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า "ท่านพ่อของข้าคงจะเป็นเซียนแล้ว"
เฉินกงหมินหยุดหัวเราะในทันที มองหน้าหลี่ผิงอันอย่างซับซ้อนใจ ก่อนจะก้มหน้ากัดขากระต่าย
เมื่อสุราล่วงลงคอไปได้หลายอึก พรตเฉินทนไม่ไหวจึงระบายออกมา
"ช่างว่างระหว่างผู้ฝึกปราณกับผู้ฝึกปราณด้วยกันมันต่างกันเกินไป!
พรสวรรค์ที่ดีเกิดมาเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า การฝึกฝนก้าวหน้าง่ายเหมือนดื่มน้ำเย็น แต่พวกเราผู้ฝึกปราณที่มีพรสวรรค์ธรรมดา ฝืนฝึกได้อย่างยากลำบากเช่นนี้
สำนักไม่ให้ความสำคัญ ความเร็วในการฝึกฝนช้าล่าช้า อยากได้ทรัพยากรในการฝึกฝนยังต้องไปแย่งชิงด้วยตัวเอง
เพราะเรื่องพวกนี้ที่ทำให้ติดกรรม แล้วจิตใจยังจะนิ่งสงบได้อย่างไร
เฮ้อ!
เจ้ายิ่งใหญ่แห่งเกาะจินเอ๋อที่ทะเลตะวันออกกล่าวว่า เต๋าคือสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับสรรพชีวิต แต่ในสายตาข้าแล้ว ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันจะมีความเท่าเทียมได้อย่างไร"
หลี่ผิงอันหัวเราะ "สามารถฝึกเต๋าได้ ก็เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตเกินเก้าส่วนสิบแล้วไม่ใช่หรือ"
"ใช่แล้ว" เฉินกงหมินหัวเราะ "พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ เต๋าของข้าก็สบายขึ้นมากเลย"
หลี่ผิงอันถือไหสุราจิบหนึ่งอึก เหลือบมองม่านฝนที่พรำลงมา
เขาพึมพำ "ความแตกต่างของแต่ละบุคคลในโลกนี้ใหญ่เกินไป คำว่าเท่าเทียมนั้น ไม่ต่างอะไรกับความฝันของคนโง่"
"ความแตกต่างของแต่ละบุคคล?"
เฉินกงหมินยิ้มเล็กน้อย
"ที่เจ้าพูดมานี่ก็แปลกดี เป็นเช่นนั้นจริงๆ"
"สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือข้าหรอก"
หลี่ผิงอันหัวเราะ
"พวกเราก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนเล็กๆ คนหนึ่ง ขอแค่พยายามเป็นเซียนถามเต๋า หยวนเซียนก็ยังแค่ฝืนยืนหยัดในสวรรค์แผ่นดินได้เท่านั้น พอใจในตัวเองก็เพียงพอแล้ว"
เฉินกงหมินหัวเราะพยักหน้ารับ แล้วก็ถามขึ้นอีก "ผิงอัน เจ้าตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่"
"อีกสองสามวันนี้ล่ะ"
หลี่ผิงอันเอ่ย
"ถ้าข้างทะเลตะวันออกยังรบกันอยู่ ก็อ้อมไปทางด้านตะวันตกเท่าที่จะทำได้ ให้ผู้จัดการเวยเหยียนจื้อพาข้าไป ก็กลับสำนักได้ภายในหนึ่งวันแล้ว"
"ต้องการให้ข้าเขียนจดหมายแจ้งกลับไปด้วยไหม"
พรตเฉินหัวเราะ
"ก็เขียนว่า ข้าได้รับจดหมายจากภายในสำนักแล้ว ศิษย์คนนี้เป็นเลิศ สามารถเข้าเรียนฝึกฝนในสำนักภายนอก ฮ่าๆ! เกรงว่าผู้อาวุโสในสำนักภายนอกคงจะปลิวมาทุบตีข้าสักยก!"
ทว่าหลี่ผิงอันกลับพูดอย่างจริงจังว่า "ท่านควรมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ข้าจริงๆ เขียนตามที่ท่านพูดเมื่อครู่เลยก็ได้ ส่วนข้อความที่ว่าศิษย์นี้เป็นเลิศนั้นไม่ต้องเขียนก็ได้"
พรตเฉินชะงักงัน "ตะกี้ข้าก็แค่พูดล้อเล่นนะ"
หลี่ผิงอันพูดอย่างจริงจัง "เราควรจะทำทุกอย่างให้รอบคอบสักนิด เพื่อไม่ให้คนอื่นหาเรื่องจับผิดได้"
พรตเฉินเต็มไปด้วยความงุนงง "พ่อของเจ้าได้อาศัยสำนักแล้วนี่ ทำไมยังต้องระแวดระวังมากขนาดนี้ด้วย"
"ความเข้มงวดไม่เคยเป็นเรื่องแย่หรอกนะ"
หลี่ผิงอันเอ่ยเสียงเบา
"พ่อข้าตอนนี้เพิ่งแค่กำลังจะเป็นเซียน ไม่ใช่ถึงขั้นเทียนเซียนแล้ว ทุกสวัสดิการที่ข้ากับพ่อได้รับในสำนัก ล้วนมาจากของกำนัลที่อาจารย์ใหญ่มอบให้ สิ่งเหล่านี้ยังไงก็เป็นน้ำที่ไม่มีต้นตอ ไม่อาจยั่งยืนได้นานนัก
หรือพูดอีกอย่างก็คือ พ่อข้าได้อาศัยอำนาจของอาจารย์ หากวันหนึ่งอำนาจเสื่อมถอย ก็จะต้องมีผู้ที่อิจฉาเกลียดเข้าโจมตีชำระบัญชีพ่อลูกเรา
ดังนั้น เรื่องใดๆ อย่าให้เป็นช่องโหว่ให้คนอื่นพูดจาเสียดสีได้ เช่นนั้นค่อยมีความกังวลภายหลังน้อยลง
หากสักวันพ่อข้าได้เลื่อนขั้นสูงส่ง ไต่ขึ้นแตะเจินเซียน เทียนเซียน พ่อลูกเราค่อยจะยืนหยัดในสำนักได้อย่างแท้จริง
ที่ข้าอยากหาเทียนเซียน เจินเซียนในสำนักเป็นอาจารย์ตลอดมา ก็เพราะมีความคิดในส่วนนี้เช่นกัน"
เฉินกงหมินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ "ความคิดเช่นนี้ของเจ้าถูกต้อง พวกเจ้าพ่อลูกฐานรากตื้นเขินเกินไป หากวันหนึ่งเผลอไปพูดจาทำให้อาจารย์ใหญ่ไม่พอใจ เกรงว่าชีวิตความเป็นอยู่จะกลับตาลปัตรทันที... ข้าจะกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!"
"ขอบคุณท่านพรต"
"โอ๊ย ตอนนี้พวกเราเป็นสหายเดียวกันแล้ว ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ก็ทำให้ข้าหน้าบานเป็นพองได้แล้ว!"
เฉินกงหมินสะบัดแขนเสื้อ รีบร้อนเดินกลับเข้าบ้านไปเลย
ส่วนหลี่ผิงอันกลับมานั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ ฉีกเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่ง จิบสุราอึกหนึ่ง แล้วก็จ้องม่านฝนอย่างเหม่อลอย
ไม่นาน พรตเฉินก็โยนป้ายหยกสื่อสารอันหนึ่งมาให้หลี่ผิงอัน
หลี่ผิงอันกำลังจะขอบคุณ แต่เต๋าในใจกลับมีความรู้สึกสั่นสะเทือนขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
มันคือความรู้สึกสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายโดยฉับพลัน
หึ่ง หึ่งๆ!
หลี่ผิงอันรีบเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อ ดึงถุงจัดเก็บแยกเฉพาะที่มีป้ายคำสั่งกลับสำนักว่านหยุนจงเก็บไว้นั้นออกมา
ถุงนั้นกำลังสั่นดิ้น ลวดลายสีทองกำลังแวววาบบนนั้น นั่นคือลวดลายอาคมห้ามบนอุปกรณ์วิเศษ
ลวดลายอาคมเหล่านั้นดูเหมือนกำลังละลายอย่างรวดเร็ว!
หลี่ผิงอันโยนถุงนั้นขึ้นไปกลางอากาศทันที แสงเกราะป้องกันหลายสายส่องสว่างรอบกาย พลางฉวยเฉินกงหมินมาซ่อนไว้ข้างหลังตัวเอง และถอยหนีอย่างรวดเร็ว
ปัง!
ถุงอุปกรณ์วิเศษระเบิดออก ป้ายหยกรูปทรงคล้ายเหรียญนั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศ แสงที่ฉายออกมาสูงเทียมฟ้า!
พลังปราณรีบรวมกันกะทันหัน เกิดกังหันน้ำวนล้อมรอบแสงสว่างขึ้น สายฟ้าหลากสีวาบขึ้นตามกัน
หลี่ผิงอันและเฉินกงหมินหนีออกมานอกศาลาเต๋าแล้ว
จังหวะนั้นเอง!
สายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งผ่าลงมาจากกลางน้ำวน เชื่อมโยงเข้ากับป้ายคำสั่งกลับสำนักว่านหยุนจงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ร่างโปร่งบางร่างหนึ่งร่วงลงมาตามสายฟ้าอย่างตรงๆ!
ปรากฏการณ์ประหลาดในที่ต่างๆ จางหายไปอย่างรวดเร็วหลี่ผิงอันและเฉินกงหมินมองตากัน เฉินกงหมินรีบจะวิ่งเข้าไปช่วยคนทันที แต่กลับถูกหลี่ผิงอันยื่นมือออกมาดึงไว้
"ผิงอัน! นางเป็นคนของสำนักว่านหยุนจงเรา! ในมือนางก็มีป้ายคำสั่งกลับสำนักเช่นกัน!"
"อย่าเข้าไป พลังปราณในตัวนางอาจจะเสียการควบคุมเมื่อไรก็ได้... ผู้จัดการเวยเหยียนจื้อ! อย่าอ่านหนังสือแล้ว!"
หลี่ผิงอันหันหลังตะโกนเสียงดัง
"รีบมาช่วยคนเร็วเข้า!"
"มาแล้วๆ ! เกิดอะไรขึ้นน่ะ!"
ร่างของเวยเหยียนจื้อร่อนลงมาจากหลังเขาอย่างเร่งร้อน รีบเก็บสมุดภาพในมือ ใบหน้าแดงก่ำกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
...
อีกครู่หนึ่ง
ในศาลาเต๋าของพรตเฉิน
หลี่ผิงอันยืนอยู่ข้างเตียงพลางขมวดคิ้ว มีแก้วและขวดวางระเกะระกะอยู่ข้างมือ
เวยเหยียนจื้อและเฉินกงหมินคนหนึ่งกำลังร่ายอาคมอยู่ด้านนอก อีกคนยืนอยู่ด้านหลังเฝ้ามองอย่างเป็นห่วง
บนเตียงมีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่
หน้าตาของนางดูอายุน้อย คล้ายเป็นเจินเซียน แต่ก็เหมือนระดับวิชาจะสูงกว่าเจินเซียน... สิ่งนี้สูงเกินไปสำหรับหลี่ผิงอันในตอนนี้ที่จะตัดสินได้อย่างชัดเจน
คงจะเป็นกึ่งก้าวเทียนเซียนหรือเปล่านะ?
ใบหน้าของนางซีดเซียว ผมยาวที่ปกติถักเป็นทรงผมซวงหงส์กระจายออก บนร่างที่ผอมแห้งมีแผลฉกรรจ์หลายแห่ง
โชคดีที่หลี่ผิงอันมียาลูกกลอนศักดิ์สิทธิ์ติดตัวมาหลายชนิด มียาบางตัวที่แม้แต่เทียนเซียนก็ใช้รักษาแผลได้ นางจึงได้กินลงไปแล้วในตอนนี้
การใช้ญาณทัศนะระดับควบแน่นปราณสำรวจร่างเซียนของเจินเซียน นั่นก็เหมือนกับการหาเรื่องลำบากใส่ตัวเอง
หลี่ผิงอันจึงไม่ลองทำอะไรมาก เพียงสังเกตสีหน้าท่าทางและความรู้สึกถึงพลังปราณที่เปลี่ยนแปลงรอบๆ ตัวนางหลังจากให้ยา
หญิงนักพรตขมวดคิ้วเบาๆ ริมฝีปากแห้งผากนั้นเผยอเล็กน้อย
หลี่ผิงอันรีบเอ่ยว่า "ข้าคือหลี่ผิงอัน ศิษย์ของสำนักว่านหยุนจง เป็นสหายของมู่หนิงหนิง ศิษย์ของชิงสวี่ ขอท่านอาจารย์วางใจรักษาตัวเถิด ท่านอาจารย์ใช้ป้ายคำสั่งกลับสำนักว่านหยุนจงมา ย้ายมายังป้ายคำสั่งกลับสำนักว่านหยุนจงที่อยู่ในมือข้าพอดี"
คิ้วที่ขมวดอยู่ของหญิงนักพรตค่อยๆ คลายลง ดูเหมือนจะได้ยินชื่อคุ้นหูแล้ว
เฉินกงหมินถาม "ผิงอัน? เจ้ารู้จักนางหรือ?"
หลี่ผิงอันเอ่ย "นี่น่าจะเป็นเจินเซียนของยอดเขาสายหมอก นามเต๋าชิงซู่"
จริงๆ แล้วหลี่ผิงอันก็เพียงแค่เคยได้ยินมู่หนิงหนิงเล่าว่า ชิงซู่น้องอาจารย์ของนางเป็นผู้บ้าบำเพ็ญเต๋า ฝึกวิชาเต๋าดวงใจบริสุทธิ์ มีรอยประทับดอกบัวอยู่บนหน้าผาก ถูกขนานนามว่าเป็นเซียนดีเด่นที่สุดในพันปีของยอดเขาสายหมอก ฝึกฝนเพียงราวสามร้อยปีก็มีความหวังจะทะลุสู่ขั้นเทียนเซียน
หญิงนักพรตผู้นี้มีป้ายคำสั่งกลับสำนักว่านหยุนจง ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการเน้นย้ำจากภายในสำนักอย่างแน่นอน ระดับวิชาเข้ากัน และพลังปราณที่ไม่มีสิ่งเจือปนเลยแม้แต่น้อย ก็เข้ากันกับคุณสมบัติเฉพาะของวิชาเต๋าดวงใจบริสุทธิ์...
เขาเดาว่าน่าจะถูกแปดเก้าส่วนไม่ผิดแน่
เวยเหยียนจื้อจัดการอาคมเสร็จ รีบวิ่งกลับมา "ผิงอัน! ข้าตรวจสอบดูแล้วทั้งหมด! ในรัศมีร้อยกว่าลี้รอบนี้ชั่วคราวยังไม่มีความผิดปกติใดๆ! อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง?"
หลี่ผิงอันเอ่ย "ผู้จัดการ ท่านมาดูอาการบาดเจ็บของท่านนักพรตผู้นี้สิ"
"ข้าจะลองดู!"
เวยเหยียนจื้อเดินเข้ามาใกล้ ชี้นิ้วไปที่หญิงนักพรตคนนั้นในระยะไกล ก่อนจะสูดหายใจเฮือกใหญ่
"วิญญาณเชื่อมโยงแทบจะแตกสลายไปแล้ว ร่างเซียนได้รับบาดเจ็บหลายสิบแห่ง อาการบาดเจ็บแบบนี้อันตรายมาก...
แต่ดูเหมือนนางจะใช้วิชาลับบางอย่าง หรือไม่ก็ใช้สมบัติวิเศษอะไรสักอย่าง ในวิญญาณเชื่อมโยงของนางมีพลังปราณประหลาดอย่างหนึ่ง ทำให้วิญญาณเชื่อมโยงที่กำลังแตกสลายอยู่ชายขอบฝืนคงอยู่ได้
บาดแผลบนร่างเซียนสามารถรักษาได้ด้วยยาลูกกลอน ตอนนี้ปัญหาหลักอยู่ที่วิญญาณเชื่อมโยงของนาง ถ้านางมีจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ก็จะเกิดปัญหาได้ง่ายมาก"
เฉินกงหมินถาม "ข้าจะไปรายงานภายในสำนักแล้วนะ!"
"ท่านพรตอย่าเพิ่ง"
หลี่ผิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย
"เรื่องนี้มีความน่าสงสัยอยู่บ้าง ป้ายคำสั่งกลับสำนักว่านหยุนจงควรจะพาผู้ใช้กลับสำนักได้แท้ๆ แต่ทำไมมาโผล่ที่ข้าได้ล่ะ?"
เวยเหยียนจื้อเอ่ย "เจ้าพูดก็จริง นอกจากว่าทางกลับสำนักจะถูกใครใช้วิชาปิดกั้นเอาไว้"
"มี...อาคม...ขวาง..."
หญิงนักพรตเผยอปากเล็กน้อย พูดด้วยเสียงเบาหวิวมาก
"อย่า...ยุ่ง...กับข้า...ออกไป...ก็พอ..."
สามนักพรตมองหน้ากัน
เฉินกงหมินพูดเสียงเบา "หากเห็นสหายร่วมสำนักอยู่ในอันตรายแต่ไม่ช่วย เต๋าของข้าจะสงบได้อย่างไร?"
ดวงตาของเวยเหยียนจื้อเปล่งประกาย "หากสามารถปกป้องนางกลับสำนักได้ นี่เป็นความดีความชอบอันยิ่งใหญ่แน่นอน"
หลี่ผิงอันหยิบแผนที่ที่หามาจากภายในสำนักออกมา กางออกพินิจพิจารณาอย่างละเอียด คิดหาเส้นทางหนีตายสำรองไว้สองสามเส้น