บทที่ 22 ข้าต้องการเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์!
“ข้า…” ใบหน้าของหลัวเหิงเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มราวตับหมู ครั้นถูกฮูหยินตนตำหนิต่อหน้าผู้คน ไฉนเลยเขาจะไม่รู้สึกอับอาย
“พอแล้ว!”
หลัวหมิงซานปาดมือตบโต๊ะฉาด และตวาดด้วยความโกรธ “นี่คือโถงหลักของตระกูล มีผู้อาวุโสมากมายเข้าร่วมประชุม มันหาใช่ที่สมควรจะมาเสียงดังกระนั้นหรือ!”
หลังเสียงแข็งกร้าวดังก้อง ทั่วทั้งโถงก็พลันเงียบสงัดลง แม้แต่หลินหยานที่คร่ำครวญโวยวายอยู่เมื่อครู่ ก็มิอาจปริปากกล่าวสิ่งใดอีก ทั่วร่างของนางสั่นสะท้าน คงเป็นครั้งแรกกระมัง ที่นางได้เห็นหลัวหมิงซานโกรธมากถึงเพียงนี้
หลัวหมิงซานเพ่งสายตาไปยังหลินหยาน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้าง “หลัวฉีถูกเจ้าเลี้ยงจนเสียนิสัย หลังปลุกได้วิญญาณยุทธ์ระดับห้าดาว เขาก็หลงละเลิงจนไม่รู้ว่าโลกนี้มีผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่าตน! บทเรียนนี้อาจเป็นสิ่งดีกับเขา อย่าได้กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาอีก!”
หลังได้ยินเช่นนั้น ในแววตาของหลินหยานก็เปลี่ยนไปด้วยความลังเล แม้นนางจะไม่พอใจนัก แต่ก็มิกล้าที่จะปฏิเสธ
ด้วยนั่น เป็นคำสั่งของผู้นำตระกูลหลัว แล้วนางจะไม่กลัวได้อย่างไร
หลัวหมิงซานหันกลับมามองหลัวเฉิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ปู่ได้ยินมาว่า มีชายตัวเล็กจากตระกูลเรา ไปทุบตีกลุ่มคนของตระกูลฉีในโรงเตี๊ยมจุ้ยอวิ๋นเชวี่ย ปู่ยังไม่เชื่อเท่าไรนัก ปู่อยากรู้ว่าข่าวลือนั่นเป็นจริงหรือไม่?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คนของตระกูลหลัวมากมายที่อยู่ในโถงขณะนี้ ต่างมองไปยังหลัวเฉิงเป็นตาเดียว
ก่อนหน้าไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
เพียงแต่ว่า การต่อสู้แบบหนึ่งต่อห้า ยากนักที่จะชนะได้พวกเขาจึงไม่เชื่อ
หลัวเฉิงมิได้ปริปากกล่าวสิ่งใด เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น
“ฮ่าฮ่า ดี! เป็นการย้ำเตือนให้ผู้คนได้รู้ ว่าตระกูลหลัวของเราหาใช่ใครก็ได้จะมารังแก!” หลัวหมิงซานระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสำราญ
แต่หลังจากหัวร่อไปสักพัก เขาก็ตระหนักสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามว่า “ปู่จำได้ว่า ครึ่งเดือนที่แล้วเจ้าอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับสี่เท่านั้น แล้วเจ้าทะลวงเข้าสู่ระดับหกได้อย่างไรรวดเร็วถึงปานนี้?”
หลัวเฉิงตกตะลึงไปครู่ ไม่คาดคิดว่าปู่เขาจะถามเข้าตรงประเด็นพอดี เขาเริ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะเพื่อหาข้อแก้ตัว
ครั้นนึกได้ หลัวเฉิงก็พลันเปิดปากกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าเข้าไปฝึกฝนในหุบเขาเมฆาทมิฬ เพื่อหาประสบการณ์การต่อสู้จริง แต่ระหว่างอยู่ในนั้นก็บังเอิญเจอผลไม้สีแดงสดใสน่าลิ้มลอง เมื่อกินเข้าไปก็รู้สึกว่าทั่วร่างนั้นร้อนราวกับไฟลุก แล้วข้าก็ทะลวงระดับโดยไม่รู้ตัว”
“ผลไม้สีแดง มันเป็นผลผลึกทับทิมหรือผลระฆังเพลิงงั้นหรือ”
“ผลผลึกทับทิมหรือผลระฆังเพลิง ไม่น่าจะมีพลังมากราวกับเวทมนตร์เช่นนี้”
ผู้คนโดยรอบต่างสนทนากันไปต่างๆ นานา พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ว่า หลัวเฉิงใช้โอสถชนิดใด ในการทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับหกได้ภายในเวลาเพียงครึ่งเดือน
เมื่อหลัวหมิงซานได้ฟังเช่นนั้น เขาก็แย้มยิ้มกล่าวว่า “หลานชายสุดที่รักของปู่ หุบเขาเมฆาทมิฬนั้นล้วนเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย แม้แต่กับปรมาจารย์ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ปู่เกรงว่าเจ้าจะมีภัย ต่อไปปู่จะสบายใจขึ้นมากหากเจ้าไปฝึกฝนที่นั่นให้น้อยลง”
เขาเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของหลัวเฉิงด้วยความเอ็นดู และในแววตาก็เต็มไปด้วยความห่วงใย เพราะในใจของเขานั้นห่วงหลานชายคนนี้มากกว่าใคร
การเป็นผู้มีความกล้าหาญที่จะไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬเพียงลำพัง ช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจห้าวหาญยิ่งนัก หากเจ้าสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับสูงได้ ปู่คิดว่าความสำเร็จของเจ้าในอนาคตจะต้องไร้ขีดจำกัดเป็นแน่
แต่ไฉนสวรรค์จึงลงโทษหลานชายของข้า ด้วยการให้เขาปลุกได้วิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา!
“ท่านผู้นำตระกูล เดือนหน้าคือการแข่งขันล่าสัตว์ ถึงเวลาที่พวกเราต้องคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันในครั้งนี้แล้ว” หนึ่งในผู้อาวุโสพลันกล่าวขึ้น
หลัวหมิงซานเหลือบมองบรรดาผู้อาวุโสแล้วถามว่า “พวกท่านคิดว่าใครกันที่เหมาะสม”
“จากที่เราได้หารือกันมา ในบรรดาลูกศิษย์วัยเยาว์ของตระกูล ที่อยู่ในขั้นหลอมกายาและมีอายุไม่เกินสิบหกปี หลัวชิงหว่าน หลัวเฟยและหลัวจื่อซิง เนื่องจากทั้งสามได้ทะลวงเข้าสู่ช่วงปลายของขั้นหลอมกายาหมดแล้ว”
“อีกทั้งหลัวจื่อซิง ซึ่งอยู่ในขั้นหลอมกายาช่วงกลางเมื่อหลายเดือนก่อน บัดนี้เขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดสำเร็จแล้ว!”
“โอ้ จื่อซิงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดแล้วงั้นหรือ” หลัวหมิงซานพยักหน้าเล็กน้อย
แล้วเขาก็พลันถามว่า “พวกเขามีฝีมือทัดเทียมกับผู้ที่อ่อนแอสุด ของตระกูลหลินและตระกูลฉีหรือไม่”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้……”
ผู้อาวุโสในโถง ต่างมองหน้ากันซ้ายขวา ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามนี้ได้แม้แต่คนเดียว
ในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลฉี ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมคือฉีถิง ซึ่งนางได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดเมื่อสามเดือนก่อน
ส่วนหลินอวิ๋นผู้เป็นอัจฉริยะของตระกูลหลิน กลับน่ากลัวยิ่งกว่านางเสียอีก เพราะเขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นล้อมกายาระดับแปดเมื่อครึ่งปีที่แล้ว! เขาผู้นี้คอยรังแกศิษย์ตระกูลหลัวมาโดยตลอด!
ครั้นสีหน้าของผู้อาวุโสโดยรอบประทับอยู่ในดวงตา หลัวหมิงซานก็แอบทอดถอนใจอย่างเงียบๆ
บรรดาลูกศิษย์ของตระกูลหลัวที่มีพรสวรรค์สูงสุด กลับมิอาจเทียบได้กับผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์ต่ำสุดของตระกูลอื่นด้วยซ้ำ
“ท่านปู่ ข้าอยากเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย!” หลัวเฉิงยืนขึ้นกล่าวท่ามกลางสีหน้าหวั่นวิตกของผู้อาวุโส
“คุณชายหลัวเฉิง ขออย่าได้เข้ามาก้าวก่าย ในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้สามารถเข้าร่วมได้เพียงสามคนเท่านั้น ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและเกียรติของวงศ์ตระกูล หาใช่เรื่องจะมาล้อเล่น!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นปรามเขา
เพราะในงานชุมนุมล่าสัตว์ของทุกปี ทั้งสามตระกูลหลักล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ในกิจการ โดยอาศัยการจัดอันดับของการแข่งขันล่าสัตว์!
สิ่งที่ทุกตระกูลต้องเข้าต่อสู้นั้นหาใช่เพียงชื่อเสียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลประโยชน์ทางกิจการอีกด้วย!
ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้ ยิ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันของตระกูลหลินและตระกูลฉี หากพ่ายแพ้ในครานี้! เกรงว่าสกุลหลัวจะถูกขับออกจากสามตระกูลใหญ่ในเมืองเป็นแน่!