บทที่ 21 เว้นเสียแต่ว่าจะมีโอสถระดับสี่ดาว
“เป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยงั้นหรือ” หลัวเฉิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
หลังได้ฟังวาจาของหลินหยานที่พ่นออกมาเมื่อครู่ เขาก็กล่าวว่า “หลัวฉีเอ่ยปากเสนอการประลองฝีมือครั้งนี้ด้วยตนเอง ในการประลองนั้นย่อมต้องมีบาดเจ็บเป็นธรรมดาซึ่งเขาเองก็รู้ดี ข้าใช่เป็นผู้โหยหาการประลองนี้ไม่”
“ในการประลองฝีมือกับเขาข้าไม่เคยคิดอย่างจริงจัง แต่เมื่อหลัวฉีต้องการเอาชนะข้าต่อหน้าธารกำนัล แล้วเขาไม่มีปัญญาทำเช่นนั้นได้ มันเป็นความผิดของข้างั้นหรือ หากผู้ที่พ่ายแพ้วันนี้เป็นข้า ท่านจะกล่าววาจาเช่นนี้กับเขาหรือไม่”
“เจ้า! ดี! ดีมาก! หลัวหงนี่คือลูกชายที่เจ้าเลี้ยงดูปูเสื่อมาอย่างดี! ไฉนกลับกล้ากล่าววาจาหยาบคายเช่นนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสเช่นข้า! ข้าใคร่สงสัยนักว่าเจ้าสั่งสอนเขามาแบบไหนกัน” หลินหยานตะโกนถามหลัวหงด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
นางเบิกตาคู่สีแดงฉานดั่งหงส์เพลิงออกกว้าง ทั่วทั้งร่างของหลินหยานขณะนี้สะท้านด้วยความโกรธ
หลัวหงหายใจลึกๆ ก่อนเปิดปากกล่าวอย่างใจเย็น “สิ่งที่เฉิงเอ๋อร์กล่าวนั้นมิผิด การบาดเจ็บจากการประลองฝีมือนั้นเป็นสิ่งที่มิอาจเลี่ยงได้”
“ต่อให้ผู้บาดเจ็บในครานี้เป็นเฉิงเอ๋อร์ ข้าก็หาได้คิดติเตียนหลัวฉีไม่ หลินหยานนี่เป็นเพียงการละเล่นของเด็กเท่านั้น เลิกแค้นเคืองแล้วให้มันจบลงแต่เพียงเท่านี้เถิด!”
หลินหยานเลิกคิ้ว แล้วตวาดด้วยเสียงแข็งกร้าว “แค่นั้นหรือ ขอให้ข้ายุติเรื่องนี้งั้นหรือ การที่เจ้าคิดเช่นนั้นได้เนื่องจากผู้ที่พ่ายแพ้ครานี้คือลูกชายข้า แต่ในเมื่อพลังยุทธ์ของหลัวเฉิงเหนือกว่า เขากลับรับคำท้าประลองกับฉีเอ๋อร์ นั่นมีเท่ากับรังแกกันไปหน่อยหรือ ข้าจะไปบอกหลัวเหิง ว่าเจ้าสองพ่อลูกจงใจรังแกฉีเอ๋อร์ของข้า!”
หลัวเหิงเป็นลุงของหลัวเฉิง และเป็นบิดาของหลัวฉี
ในตอนที่หลัวหมิงซานได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ฟื้นคืนสติ ยามนี้หลัวเหิงคือผู้ดูแลตระกูลหลัวเป็นการชั่วคราว
ครั้นหลินหยานกำลังจะไปร้องเรียนเรื่องนี้ต่อสามีนาง จู่ๆ ทหารยามของตระกูลหลัว ก็รีบวิ่งเข้ามาในสนามประลองอย่างกะทันหัน
“ท่านผู้นำตระกูลได้สติฟื้นคืนแล้ว! ขอให้ทุกท่านไปรวมกันยังโถงหลัก!” ทหารยามกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ท่านปู่ได้สติแล้วงั้นหรือ!” หลัวเฉิงดีใจมากหลังได้ฟังเช่นนั้น เขาหันหลังโดยไม่รั้งรอสิ่งใดอีกแล้วรีบเร่งฝีเท้าไปยังโถงหลักตระกูลหลัวทันที
ณ โถงหลักตระกูลหลัว
ภายในโถงขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลหลัวจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีตำแหน่งสูงและเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหลัว
หลัวหมิงซานขณะนี้กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลักของตระกูล ถัดจากเขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาดีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ ซึ่งกำลังรายงานให้เขาฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฉีซานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ชายวัยกลางคนคือลุงของหลัวเฉิง หลัวเหิง
“ฮึ่ม ช่างต่ำช้าไร้ยางอายนัก! เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังรวมหัวกันทำลายตระกูลข้า!”
ใบหน้าของหลัวหมิงซานมืดลงเมื่อเขาได้ยินว่าตระกูลฉีและตระกูลหลิน ได้เลื่อนงานชุมนุมล่าสัตว์ใกล้เข้ามาให้เกิดขึ้นในเดือนหน้า
“ตลอดระยะเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ตระกูลฉีและตระกูลหลินปรารถนาจะล้มล้างตระกูลเรามาโดยตลอด แต่พวกเขาไม่กล้าเพราะเกรงกลัวอำนาจของตระกูลจี ทว่าตอนนี้ ฮึ่ม!” หลัวหมิงซานกล่าวพลางกระชับหมัดแน่น
“ท่านกังวลในสิ่งใด! หากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด เราก็แค่ต้องต่อสู้กับพวกมันเท่านั้นเอง!”
ผู้คนส่วนมากต่างโต้เถียงกันไปมา แต่มีสิ่งหนึ่งที่กลับคล้ายคลึงนัก คือสีหน้าที่เคร่งเครียดและเป็นกังวลยิ่งในยามนี้
หลัวหมิงซานบาดเจ็บสาหัส ทำให้ความแข็งแกร่งของตระกูลหลัวนั้นถดถอยลงอย่างมาก จนมิอาจทัดเทียมกับตระกูลฉีและตระกูลหลินได้ในขณะนี้
“ท่านปู่!” เสียงของหลัวเฉิงดังขึ้นท่ามกลางผู้คนที่โต้เถียงกัน
เขาเดินเข้าไปในโถงหลักก่อนเห็นว่าหลัวหมิงซานซูบผอมลงไปมาก พานให้ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธแค้นที่เดือดพล่านในใจ
ดวงตาของหลัวหมิงซานอ่อนโยนลงในขณะนี้ ครั้นเขาเห็นหลานชายที่เขารักจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เฉิงเอ๋อร์ มาใกล้ๆ ให้ปู่ดูเจ้าชัดๆ ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาครึ่งเดือนแล้ว ดูเหมือนเจ้าจะโตขึ้นมาก… แค่ก! แค่ก!”
ระหว่างที่เขากล่าวยังไม่ทันจะจบ หลัวหมิงซานก็ไออย่างรุนแรงจนทำให้ใบหน้าเขาซีดลงทันที
หมอประจำกายที่อยู่ข้างๆ จึงรีบกล่าวในทันที “ใต้เท้า ท่านยังมิหายดีนัก อย่าได้ตื่นเต้นเกินไป มิฉะนั้นอาการของท่านจะยิ่งแย่ลงนะขอรับ”
หลัวเฉิงกังวลจึงหันไปถามหมอผู้นั้นว่า “เมื่อไหร่ท่านปู่ของข้าจึงจะหายเป็นปกติ”
หมอผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้ ทั้งเส้นลมปราณยังเสียหายหนักอีกด้วย ข้าเกรงว่าคงใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปีจึงจะหาย เว้นเสียแต่ว่า…”
“เว้นเสียแต่ว่าอะไรท่านหมอ” หลัวเฉิงรีบกล่าวด้วยความร้อนใจ ครั้นได้ยินว่ามีหนทางที่จะรักษาท่านปู่ของเขาให้หายดี
“เว้นเสียแต่ว่าจะมีโอสถระดับสี่ดาว...” หมอท่านนั้นกล่าวอย่างจริงจัง
เมื่อได้ฟังสิ่งนี้ ทั่วทั้งโถงหลักก็เต็มไปด้วยเสียงทอดถอนใจ
โอสถระดับสี่ดาว ไม่เคยปรากฏพบในเมืองเมืองฉีซานมาก่อน
หรือต่อให้มีโอสถระดับนี้อยู่ก็ตาม มูลค่าของมันก็หาได้น้อยสำหรับตระกูลหลัว เกรงว่าต่อให้ใช้ทรัพยากรทั้งตระกูลก็ยากนักที่จะซื้อมันได้
“พวกเจ้าอย่าได้กังวลใจไป มันเป็นเพียงแค่อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานเดี๋ยวข้าก็หายดี” หลัวหมิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางโบกมือปัด เพื่อไม่ให้ผู้คนรอบข้างเป็นกังวล
เขาเอื้อมมือไปแตะที่ศีรษะของหลัวเฉิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูว่า “เฉิงเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้ายังตั้งใจฝึกฝนดีหรือเปล่า”
“ขอรับท่านปู่” หลัวเฉิงพยักหน้าแล้วตอบด้วยท่าทางเคารพ
ระหว่างนั้นเอง ก็มีคนย่างกรายเข้ามายังโถงหลักอีกหลายร่าง นั่นรวมถึงหลินหยาน หลัวหงและคนอื่นๆ
ครั้นมาถึง หลินยานก็ไม่สนใจสิ่งใด นางตะโกนเสียงดังทันที “พี่เหิง ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับฉีเอ๋อร์!”
หลังกล่าวเช่นนั้น นางก็มองไปยังหลัวเหิงด้วยดวงตาสีแดง น้ำเสียงนางประหนึ่งว่ากำลังจะร่ำไห้ออกมาตรงหน้า
หลัวเหิงขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ พลันเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับฉีเอ๋อร์งั้นหรือ”
หลินหยานรีบสืบสาวเท้าความถึงเรื่องระหว่างการประลอง ก่อนจะกล่าวเสริมว่า
“หลัวเฉิงทำตัวต่ำช้าแล้วกล่าววาจาหยาบคายกับข้า! เขาไม่สนว่าข้าจะรู้สึกเช่นไร เขาไม่เห็นว่าข้าเป็นผู้อาวุโสของเขาด้วยซ้ำ ท่านพี่ท่านต้องลงโทษเขาให้ข้า!” หลินหยานจ้องไปยังหลัวเฉิง ด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย
หลัวเหิงรับรู้นิสัยของฮูหยินตนเป็นอย่างดี เขามีสีหน้าเขินอายเล็กน้อยแล้วกล่าวกับนางว่า “กลับถึงจวนเราค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง…”
ทันใดนั้น หลินหยานระเบิดความโกรธ แล้วแผดเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “ลูกชายของท่านถูกทุบตี! แล้วฮูหยินท่านก็ถูกดูหมิ่น ไยจึงกล่าววาจาไม่ต่างจากผายลม ท่านยังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่!”