บทที่ 2 ปลุกพลัง
บทที่ 2 ปลุกพลัง
ทุกคนต่างตกตะลึงและไม่มีใครเข้าใจว่าโม่ซิ่วพยายามทำอะไรอยู่
ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นพยายามทำให้โม่ซิ่วดูแย่อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นทุกคนจึงคิดที่จะช่วยโม่ซิ่
แม้ว่าโม่ซิ่วจะไม่มีเพื่อนสนิทมากนักแต่เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง นอกจากนี้เขายังแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งเช่นกัน
แต่โม่ซิ่วนั้นอยากจะสู้กับหวังซวนหูต่อไป ซึ่งไม่เพียงแต่หมายความว่าเขาไม่สนใจการละเมิดกฎของหวังซวนหูเท่านั้น แต่เขายังทำให้ตัวเองลำบากมากขึ้นไปอีก
ในความคิดของทุกคน เป็นไปไม่ได้ที่โม่ซิ่วจะเอาชนะหวังซวนหูได้โดยใช้พลังร่างกายเพียงอย่างเดียว
หวังซวนหูนั้นดีใจมากเมื่อเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าโม่ซิ่วจะโง่ขนาดนี้เช่นกัน
แต่ถ้าโม่ซิ่วอยากจะสู้ต่อ เขาก็จะทำให้โม่ซิ่วทรมานมากยิ่งขึ้น!
“ได้สิโม่ซิ่ว ในเมื่อนายต้องการแบบนั้นฉันก็ไม่ขัดข้อง”
โม่ซิ่วไม่มีปฏิกิริยาอะไรหลังจากได้ยินแบบนั้นและตอบกลับด้วยการพยักหน้าแทน
แต่กลับกัน เจิ้งอี้นั้นโกรธจัด ในใจของเขาตอนนี้อยากจะต่อหวังซวนหูให้สุดแรงสักสองสามหมัด
“หน้าไม่อายจริงๆ! อย่างแกน่ะฉันจะสั่งสอนเอง!”
โม่ซิ่วดึงเจิ้งอี้กลับมาแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ “ให้ฉันจัดการเองเถอะ มีอีกหลายวิธีที่จะมอบบทเรียนให้กับใครสักคน นอกจากนี้นายคิดว่าฉันเป็นคนที่ยอมแพ้ใครง่ายๆงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่ซิ่ว เจิ้งอี้จึงใจเย็นลงและเดินออกไป เขาแค่อยากรู้ว่าโม่ซิ่วนั้นคิดจะทำอะไร
อย่างมากที่สุด เขาจะเข้าไปช่วยโม่ซิ่วเมื่อโม่ซิ่วไม่สามารถสู้กับหวังซวนหูได้จริงๆ
หลังจากนั้น โม่ซิ่วก็หันกลับไปแล้วพูดกับหวังซวนหู “เข้ามาเลย!”
แต่หวังซวนหูกลับนั่งลงกับพื้นแล้วพูดว่า “รอแป๊บนึง ฉันเพิ่งใช้พลังเยอะไปหน่อย เพราะงั้นให้ฉันพักก่อนสักแปปแล้วค่อยเริ่มอีกครั้งนะ”
คนที่เฝ้าดูต่างไม่เข้าใจที่หวังซวนหูพูดว่าเขาใช้พลังไปเยอะ เพราะทั้งคู่เพิ่งแลกกันแค่สามหมัดเท่านั้น ซึ่งหวังซวนหูก็โดนไปหมัดเองในขณะที่โม่ซิ่วยังคงมีเลือดออกอยู่
แต่โม่ซิ่วนั้นไม่สนใจ เขาเองก็นั่งลงกับพื้นและมองหวังซวนหูด้วยสายตาที่สื่อความหมายอะไรบางอย่าง
“ก็ได้!”
…
โม่ซิ่วยังคงจ้องมองหวังซวนหูอยู่
จนกระทั่งหวังซวนหูบอกว่าพักเสร็จแล้ว การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
หวังซวนหูลุกขึ้นยืนอย่างหยิ่งยโสแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ยกที่สองเริ่มแล้ว!”
คราวนี้โม่ซิ่วไม่ได้สงบนิ่งเหมือนเดิมแต่เขารีบโจมตีทันทีหลังจากที่หวังซวนหูพูดจบ
พลังที่ระเบิดออกมาจากขาสองข้างของเขานั้นชวนตะลึงเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเขาชกหมัดใส่หน้าหวังซวนหูทันที
หวังซวนหูรู้ดีว่าโม่ซิ่วมีพละกำลังมากแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารับหมัดนั้นและป้องกันด้วยแขน
“พลังที่หนึ่ง เขี้ยวพิฆาต!”
ทั่วทั้งร่างของหวังซวนหูถูกปกคลุมด้วยหนามแหลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้โม่ซิ่วเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้วดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือและฟันไปที่ช่องว่างระหว่างหนามสองอันบนแขนของหวังซวนหู
ป้าบบ! (เสียงฟาด)
หลังจากการโจมตีของโม่ซิ่วเข้าเป้า เขาก็รีบถอยกลับ
หวังซวนหูลดแขนลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮึๆๆ นี่แกคิดว่าแกหาจุดอ่อนของฉันเจอแล้วงั้นเรอะ?!”
โม่ซิ่วทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของหวังซวนหูและพึมพำกับตัวเองว่า “อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
“โม่ซิ่ว เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?!”
“เปล่า เข้ามาอีกสิ!” ยังไม่ทันพูดจบประโยค โม่ซิ่วก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง มือของเขายังคงเตรียมพร้อมสำหรับการฟันด้วยฝ่ามือ แต่เขาไม่ได้ฟันไปที่แขนแต่ใช้ปลายนิ้วโจมตีช่องว่างระหว่างหนามแหลมของหวังซวนหูแทน ด้วยวิธีนี้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี
ในขณะเดียวกัน โม่ซิ่วก็อาศัยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของเขาในการต่อสู้และถอยกลับ ซึ่งเพียงชั่วพริบตาทั้งสองคนก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ด้านนอกสนาม เจิ้งอี้กำลังขมวดคิ้วเมื่อเห็นการโจมตีที่ไร้รูปแบบของโม่ซิ่วที่เขารู้จักดี
ในขณะเดียวกัน เสียงในหัวของเจิ้งอี้ก็ดังขึ้น “โม่ซิ่ว นี่นายกำลังใช้”ฝ่ามือแปดทิศ“ อยู่งั้นเรอะ?!”
เจิ้งอี้ถึงกับไม่อยากจะเชื่อว่าโม่ซิ่ว กำลังใช้ฝ่ามือแปดทิศซึ่งเป็นวิชาที่สอนในคาบศิลปะการต่อสู้พื้นฐานตอนม. 4
โม่ซิ่ว ได้เปลี่ยนฝ่ามือแปดทิศเป็นการฟันด้วยฝ่ามือและใช้ปลายนิ้วโจมตี นอกจากนี้ด้วยความแข็งแกร่งและกำลังขาที่มั่นคง การเคลื่อนไหวของโม่ซิ่วจึงคาดเดาไม่ได้
ดูเหมือนว่าคำถามในใจของเจิ้งอี้จะได้รับคำตอบแล้ว นอกจากนี้ทุกคนที่ยืนดูทั้งหมดต่างก็เริ่มเข้าใจแล้วเช่นกัน
“โห! พื้นฐานของโม่ซิ่วแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวเหรอ?! ถึงจะเป็นศิลปะการต่อสู้พื้นฐานที่ทุกคนดูถูกแต่เขากลับสามารถนำมาใช้ได้ดีถึงขนาดนี้เลยเรอะ?!”
ในขณะนี้ คนที่กำลังตกที่นั่งลำบากที่สุดคือหวังซวนหู เขาไม่มีความมั่นใจเหมือนตอนแรกอีกต่อไป แต่คิ้วของเขากลับขมวดแน่นและมีสีหน้าจริงจังมากขึ้น
เขาคิดว่าเขาสามารถเอาชนะโม่ซิ่วและทำให้เขาอับอายได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถทำได้แค่เสมอเท่านั้นแม้ว่าจะใช้พลังที่ถูกปลุกขึ้นแล้วก็ตาม
ทันใดนั้นหนามแหลมของหวังซวนหูก็หายไป จากนั้นมือขวาของโม่ซิ่วก็เปลี่ยนเป็นหมัดและต่อยไปที่หน้าของหวังซวนหู
“ยอมแล้ว ไม่เอาแล้ว!!!” หมัดของโม่ซิ่วหยุดเมื่ออยู่ห่างจากหน้าของหวังซวนหูไปห้าเซนติเมตร ซึ่งทำให้หวังซวนหูถอนหายใจออกมายาวๆ
“เฮอะ! ฉันยอมแพ้ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น ไว้สู้กันคราวหน้าฉันจะกลับมาแก้แค้น!”
พอพูดจบ เขาก็หันหลังจะเดินออกไป ในขณะเดียวกันเจิ้งอี้ก็วิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า “โม่ซิ่ว นี่นายจะปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ? ตอนที่มันวางแผนเล่นงานนาย ถ้าไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาที่ว่องไวของนาย นายอาจจะไม่บาดเจ็บแค่นี้และมันอาจจะส่งผลต่อการสอบเข้าของนายด้วยซ้ำ ถ้านายกลัวว่าจะมีผลอะไรภายหลัง เดี๋ยวฉันจะไปจัดการมันเอง!”
“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
เจิ้งอี้ขมวดคิ้วและถามว่า “นี่นายพูดอะไรของนายเนี่ย?”
หวังซวนหูที่กำลังเดินจากไปถึงกับหันกลับมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
จากนั้น เขาก็กลับมาเป็นคนหยิ่งผยองดังเดิมและพูดว่า “เฮอะ นี่แกยังพูดไม่รู้เรื่องแบบนั้นอีกงั้นเรอะ?!”
โม่ซิ่วยิ้มและสงบนิ่ง เขาเพิกเฉยต่อการเยาะเย้ยของหวังซวนหู
แต่โม่ซิ่วค่อยๆเดินไปทีละก้าวไปด้านข้างของหวังซวนหูและตบไหล่ของเขาเบาๆ
หวังซวนหูปัดมือของโม่ซิ่วออกไปและพูดว่า “เลิกบ้าสักทีซิวะ! แกอยากจะพูดอะไรกันแน่?!”
น้ำเสียงของโม่ซิ่วนั้นไม่ดังหรือเบาเกินไป เขาใช้ระดับเสียงที่พอดีให้คนรอบข้างได้ยินและพูดว่า “หวังซวนหู พลังเขี้ยวพิฆาตของนายเป็นการปล่อยพลังจนทำให้ทั้งร่างกายของนายจะถูกปกคลุมด้วยหนามแหลม นอกจากนี้มันยังเพิ่มความเร็ว พละกำลังและการป้องกันของนายประมาณ 20% แต่มันใช้ได้แค่ : 45 วินาที และต้องพักฟื้นพลัง : 30 นาที”
หวังซวนหูมองไปที่โม่ซิ่วด้วยความไม่เชื่อ ทุกอย่างที่โม่ซิ่วพูดนั้นถูกต้องหมด แต่ว่า... โม่ซิ่วรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?
ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างก็พากันถกเถียงกันจ้าละหวั่น การเปิดเผยรายละเอียดพลังของหวังซวนหูอย่างละเอียดขนาดนี้ ย่อม
ส่งผลต่อการพัฒนาพลังในอนาคตของเขาอย่างแน่นอน
เป็นที่รู้กันดีว่าทุกคนจะมีพลังที่อยู่ในร่างกายเพียงสี่อย่างเท่านั้น และทุกคนจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปิดบังพลังของตนเอง
เพราะว่าถ้าหากมีสองคนที่สู้กัน คนแรกไม่รู้พลังของอีกคน แต่คนที่สองรู้ถึงพลังของคนแรก คนที่สองก็จะคิดแผนการต่อสู้และตอบโต้พลังของคนแรกได้ นอกจากว่าคนแรกจะแข็งแกร่งกว่าคนที่สองมากเท่านั้นถึงจะไม่แพ้
โมซิ่วนั้นสามารถบอกความลับพลังของหวังซวนหูได้อย่างละเอียด และรู้แม้กระทั่งระยะเวลาพักฟื้นหลังใช้วิชา (คูลดาวน์) ซึ่งนี่เป็นการทำให้หวังซวนหูแทบจะหมดอนาคตได้เลยทีเดียว เพราะคงไม่มีสถาบันไหนๆที่อยากได้คนที่เพิ่งปลุกพลังได้แต่ถูกแฉพลังซะหมดเปลือกแบบนี้
ตอนนี้หวังซวนหูโกรธมากจนพูดไม่ออก หลังจากนั้นหวังซวนหูก็หาว่าโม่ซิ่วพูดไร้สาระ แต่โม่ซิ่วก็อธิบายให้หวังซวนหูว่าเขารู้ได้ยังไงโดยใช้หลักฐานจากช่วงเวลาที่พลังหยุดทำงาน
หลังจากที่โม่ซิ่วอธิบาย หวังซวนหูจึงโมโหแล้วก็รีบวิ่งหนีไปทันที
แม้ว่าโม่ซิ่วจะโดนโกง แต่เขาก็ยังวางแผนสู้ต่อโดยใช้ศิลปะการต่อสู้พื้นฐาน “ฝ่ามือแปดทิศ” จนหวังซวนหูสู้ไม่ได้และสุดท้ายก็ยังโดนโม่ซิ่วเปิดโปงความลับของพลังได้อีก
ถึงอย่างนั้นการฝึกที่สนามหลังเลิกเรียนของโม่ซิ่วก็ต้องหยุดชะงักลง เพราะตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บดังนั้นต้องกลับบ้านไปทำแผลและพักผ่อน
อีกเหตุผลที่โม่ซิ่วโกรธคือเพราะหวังซวนหูอยากจะทำให้เขาสอบเข้าไม่ได้
พอโม่ซิ่วกลับถึงบ้านก็เห็นข้าวเย็นบนโต๊ะอาหารซึ่งใต้จานมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่
แม่ของโมซิ่วชื่อหลี่หยวน เธอทำงานในโรงงานเล็กๆซึ่งการใช้ชีวิตในโลกที่วุ่นวายสำหรับแม่ลูกคู่นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เพื่อหาเงินเพิ่ม แม่ของโมซิ่วจึงมักจะทำงานล่วงเวลาในตอนกลางคืน ดังนั้นโมซิ่วจึงไม่ได้เจอแม่มาแล้วหลายวัน
โมซิ่วนั้นเห็นสภาพการณ์ของครอบครัวและความพยายามอย่างหนักของแม่มาตลอด นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาพยายามตั้งใจเรียนและฝึกฝนอย่างหนัก
หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ เขาก็เข้านอนลงบนเตียงรอให้เข็มนาฬิกาเดินไปจนถึงเที่ยงคืนอย่างเงียบๆ
เมื่อเข็มนาฬิกาเดินไปถึงเที่ยงคืน โมซิ่วก็จะปลุกพลังในตัวของเขาขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงกังวลมาก
“พลังแรกของฉันจะเป็นอะไรกันนะ? ถึงหนังสือจะบอกว่าเมื่อถึงวันเกิดของฉันจะมีพลังสามอย่างปรากฎขึ้นในใจ ซึ่งฉันสามารถเลือกได้แค่พลังใดพลังหนึ่งได้เท่านั้น แล้วพลังนั้นจะเป็นอะไรกันนะ?”
อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยมากเกินไปจากการต่อสู้หรืออาจเป็นเพราะเขากังวลเกินไป ดังนั้นโมซิ่วจึงผลอยหลับไป
เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงคืน หลี่หยวนก็กลับมาที่บ้าน เนื่องจากเที่ยงคืนนี้จะเป็นวันเกิดลูกชายของเธอ ในขณะเดียวกันลูกชายของเธอก็กำลังจะปลุกพลังของเขาขึ้น ดังนั้นเธอจึงกลับมาอยู่เป็นเพื่อนลูกชาย
เมื่อเห็นโมซิ่วหลับไป เธอจึงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
หลี่หยวนมองโมซิ่วด้วยความสงสารและขอโทษ
เธอเห็นความพยายามของโมซิ่วมาตลอดหลายปี แม้ว่าเธอจะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวมากแค่ไหน แต่หลี่หยวนก็รู้ดีว่าความพยายามที่โมซิ่วตั้งใจทำลงไปนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าเธอเลย
โมซิ่วเองก็อยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองและของแม่เหมือนกัน
หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน…
คลื่นพลังอันมหาศาลได้ไหลพุ่งเข้าสู่จิตใจของโมซิ่วจนทำให้เขาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ หลังจากนั้นสายตาของเขาก็เลื่อนลอย
ระหว่างการปลุกพลัง สมองจะอยู่ในสภาวะว่างเปล่าและจะไม่รับรู้สิ่งใดจากภายนอก
หลี่หยวนรู้สึกกังวลเมื่อเห็นแบบนี้และเธอก็รู้ว่าการปลุกพลังได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในขณะเดียวกัน โมซิ่วได้มองไปที่พลังที่ปรากฎขึ้นในใจของเขาด้วยความกังวลซึ่งมันกำลังลอยมาจากระยะไกล
ขณะที่พลังนั้นกำลังลอยเข้ามาใกล้ โมซิ่วจึงเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เขาไม่รู้ว่าทำไมมีแค่พลังเดียว? หรือว่าเขาเลือกไม่ได้กันแน่?
พลังนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น จนกระทั่งโมซิ่วเริ่มเพ่งสายตาไปข้างหน้า
“พลังติดตัว : ความพลิ้ว”
“ห้ะ?”
“พลังติดตัว…มันคืออะไรกัน?”