บทที่ 19 ผู้มาใหม่แห่งสำนักภูเขาใต้
ลัทธิขงจื๊อไม่ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ค่อนข้างห่างไกลซึ่งเป็นที่ตั้งของฉูซาน อย่างไรก็ตาม ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ที่เจริญรุ่งเรือง สถานการณ์จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้อันกว้างใหญ่แห่งนี้มีสถาบันและสำนักลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเพียงไม่กี่แห่ง และสำนักหุบเขาใต้ก็เป็นหนึ่งในนั้น สำนักแห่งนี้ไม่เคยได้พัฒนาผู้สมัครที่สามารถสอบได้ที่หนึ่งหรือสองในการสอบของจักรพรรดิได้เลย
อย่างไรก็ตาม มีผู้สมัครจากสำนักภูเขาใต้รายหนึ่งเคยได้ถึงอันดับที่สาม น่าเสียดายที่บุคคลนี้ถูกจับกุมและคุมขังในเวลาต่อมา ทําให้สำนักหุบเขาใต้สูญเสียความรุ่งโรจน์ไปบางส่วน
อย่างไรก็ตาม ขุนนางระดับสูงยังคงถือว่าสำนักหุบเขาใต้เป็นสถาบันที่ดีที่สุดในเมืองหยานเจียว
ตอนนี้ สำนักหุบเขาใต้ได้ต้อนรับนักเรียนใหม่คนหนึ่ง
"เหล่านักเรียนรุ่น 37 ต้อนรับชูเหลียงกันเถอะ"
อาจารย์สูงอายุที่ยืนอยู่บนแท่นหน้าห้องเรียนยกมือขึ้น จากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งตัวดีและสง่างามก็เดินเข้ามาในห้องเรียนและดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที
รูปหน้าของหนุ่มคนนี้โดดเด่นสะดุดตา เขาดูเรียบร้อยและหล่อเหลา เขาโดดเด่นมากแม้เขาจะสวมเสื้อคลุมแบบเดียวกับนักเรียนคนอื่นๆ
ข้างหลังเขาเป็นเพียงเด็กถือหนังสือคนหนึ่งเท่านั้น เขามีคิ้วที่โตและผิวสีน้ำตาลทองแดง เขาสวมชุดเด็กรับใช้ หมวกสีดําใบเล็ก และเสื้อผ้าสีดํา เมื่อเด็กถือหนังสือแบกตะกร้าหนังสือหนักๆ ตามเข้ามา เขาดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย
"เอาล่ะ ไปหาที่นั่งว่างเถิด เรากําลังจะเริ่มเรียนวันนี้แล้ว" อาจารย์แนะนําหลังจากแนะนําเขาให้กับนักเรียนทั้งห้อง
“ขอรับ” ชูเหลียงกล่าว
จากนั้นเขาก็ได้เดินไปทางด้านหลังของห้องเรียน
มีนักเรียนชายประมาณ 20 คนและนักเรียนหญิงอีก 10 คนในห้องเรียนนี้ แต่ละคนมีโต๊ะของตัวเอง เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็เลือกที่นั่งว่างด้านหลัง คนที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขาคือหลี่เยว่ ซึ่งดูเหมือนเขาจะรักษาระยะห่างอยู่
ขณะที่ชูเหลียงและเด็กถือหนังสือของเขากําลังจะนั่งลง อาจารย์ก็ตําหนิว่า เด็กถือหนังสืออย่าเข้าห้องเรียน เจ้าไปรออยู่ข้างนอกเถิด ถ้าเจ้าเกิดสนใจเรียนจริงๆ ล่ะก็ เจ้าสามารถฟังอย่างเงียบๆ ที่หน้าต่างได้ อย่ารบกวนในห้องเรียน"
เด็กหนังสือที่อยู่ข้างหลังชูเหลียงแข็งทื่อแล้ววางตะกร้าหนังสือนั้นลง
"ขอรับ..." เด็กถือหนังสือตอบก่อนออกจากห้องเรียนด้วยความหงุดหงิด
ซึ่งเด็กถือหนังก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลินเป่ยนั่นเอง
หลินเป่ยยืนอยู่นอกหน้าต่างห้องเรียน จ้องมองข้างใน เขาเพิ่งสบตากับชูเหลียงพอดี ชูเหลียงมองออกว่าหลินเป่ยโกรธเล็กน้อย
พวกเราทุกคนมาทำภารกิจด้วยกัน เหตุใดเขาถึงได้เป็นนักเรียน แต่ข้ากลับเป็นเด็กถือหนังสือ หลินเป่ยแสดงความคับข้องใจด้วยสายตาอย่างเงียบๆ
อาจเป็นเพราะพวกเราให้อารมณ์ที่ต่างกัน
ชูเหลียงตอบด้วยสายตา
หลินเป้ยยังรับไม่ได้และไม่เข้าใจ
เมื่อมองไปที่ชูเหลียงเขาก็คาดเดา ชูเหลียงคงจะสื่อสารกับเขาว่าเมื่อเขาเป็นเด็กถือหนังและน่าจะเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น เหตุใดจึงไม่ลองหาข้อมูลในแวดวงเด็กถือหนังสือดูเล่า บางทีอาจสามารถหาเบาะแสบางอย่างจากคดีลึกลับนี้เจอก็เป็นได้
ในที่สุดหลินเป่ยก็เลิกขับข้องใจ เขาหันไปคลุกคลีกับกลุ่มเด็กถือหนังสือเพื่อพยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด..
นักเรียนของสำนักภูเขาใต้ส่วนใหญ่เป็นบุตรของผู้มีอํานาจหรือข้าราชการ นั่นหมายความว่า แน่นอนว่าพวกเขาจะมาพร้อมกับเด็กรับใช้หรือเด็กถือหนังสือที่จะคอยดูแลพวกเขา อย่างไรก็ตามทั้งนักเรียนและเด็กถือหนังสือไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากันในห้องเรียนได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงมีข้อกำหนดให้เด็กถือหนังสือมีพื้นที่แยกต่างหากเพื่อพักผ่อนจนจบกว่าจะจบคาบเรียน นอกจากนี้หากเหล่าเด็กหนังสือสนใจเรียนก็สามารถไปยืนริมหน้าต่างห้องเรียนและฟังจากด้านนอกได้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ส่งเสียงดัง พวกเขาก็ไม่ถูกจำกัดให้ทำอะไร
หลักสูตรของสำนักภูเขาใต้กินเวลานานทีเดียว เมื่อจบคาบแรกนักเรียนต่างมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย มีเพียงชูเหลียงเพียงคนเดียวที่ยังกระปรี้กระเปร่า นั่นเพราะเขาเคยเป็นถึงนักเรียนดีเมื่อโลกก่อน และระหว่างเรียนอยู่มันจึงทําให้เขารู้สึกคิดถึงบรรยากาศในห้องเรียนของเขามาก
อดีตครูของเขาบอกว่าเขาขาดความทุ่มเท ถ้าเขาตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่มากกว่านี้จะไม่มีใครก้าวข้ามเขาได้ เขาจะประสบความสำเร็จอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหาคือเขาสนใจหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป กีฬาต่างๆ กระดานเกมและวิดีโอเกม อย่างไรก็ตามเขาทำผลงานได้ดีในทุกเรื่อง
แต่มันก็แลกมากับเวลาและพลังงาน ทำให้เขาได้เพียงอันดับที่ 3 ของจังหวัดเท่านั้น
หลี่เยว่ที่นั่งอยู่ข้างชูเหลียง ดูเหมือนว่าเมื่อคืนจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะเขาหลับไปเร็วมากในเวลาเรียน ชูเหลียงจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเขา
ชูเหลียงมองไปรอบๆ และมองหาคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้ และนั่นคือตอนที่เขาได้พบกับหญิงสาวที่มีฝ้าเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ เธอนั่งอยู่ทางด้านซ้ายและหันหน้ามาหาเขา
เธอถามด้วยความสงสัย "ชูเหลียง เจ้ามาจากเมืองใดกัน"
เหล่านักเรียนมักจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนักเรียนที่ย้ายเข้ามาใหม่เสมอเลยสินะ
"ข้าเป็นคนซิงโจว" ชูเหลียงตอบและบอกข้อมูลบางส่วนที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้า
"เมืองซิงโจวหรือ เช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงต้องมาเรียนถึงที่นี่เล่า"
ชูเหลียงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เป็นเพราะครอบครัวข้าน่ะ เราย้ายมาอยู่แถวนี้ข้าจึงต้องย้ายมาเรียนที่นี่”
เมื่อฟังเช่นนั้นเธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า "อืม สำนักภูเขาใต้ไม่เลวเลย ที่นี่เป็นหนึ่งในสถาบันที่ดีที่สุดในตะวันตกเฉียงใต้"
"ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนมาที่นี่ บางทีการสมัครที่นี่อาจจะดีสําหรับข้า" ชูเหลียงกล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย "แต่ตอนนี้ ข้ารู้สึกกังวลเล็กน้อย.."
"กังวลสิ่งใดหรือ" หญิงสาวถามทันที
"..ได้ยินว่าช่วงนี้มีวิญญาณหลอกหลอนที่นี่อยู่" ชูเหลียงพูดเบาๆ
"อา…”
สีหน้าของเธอเริ่มจริงจังอย่างรวดเร็ว เธอมองไปรอบๆ แล้วลดเสียงของเธอลง "ก็ใช่ มันมีจริงๆ แต่เจ้ามิต้องกลัวไป มีแต่พวกก่อปัญหาเท่านั้น.."
"หลี่ชุนเซีย!" จู่ๆ ก็มีเสียงตําหนิเสียงดังขึ้นจากบริเวณใกล้เคียง "เธอนินทาอีกแล้วเหรอ? "
หลี่ชุนเซียเด็กสาวที่พูดคุยกับชูเหลียงถึงกับตัวสั่นด้วยความกลัว เธอส่ายหัวอย่างรวดเร็วและไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ผู้ที่พูดจาโผงผางขึ้นมาเป็นชายหนุ่มมีกล้ามดูแข็งแรง ยืนอยู่ข้างที่นั่ง จ้องมองชูเหลียงและนายหลี่ชุนเซี่ยด้วยสีหน้าเป็นปรปักษ์
แม้ว่าที่นั่งของเขาจะอยู่ห่างไปไม่กี่แถว แต่เขาบังเอิญได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดถึงซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวข้อที่อ่อนไหวมากสําหรับชายหนุ่มคนนี้
ชายหนุ่มที่แข็งแรงชี้ไปที่ชูเหลียงและเตือนเขา "นี่เด็กใหม่ ถ้าเจ้าเพียงแค่อยากตั้งใจเรียนที่นี่ให้จบๆ ก็มิจำเป็นต้องสอบถามไปทุกเรื่องหรอก เข้าใจหรือไม่"
เมื่อเผชิญกับคําเตือนที่ก้าวร้าวนี้ ชูเหลียงเพียงแค่ยิ้มและพยักหน้าโดยไม่พูดสิ่งใด เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในเวลานี้เสียงที่อ่อนโยนก็ดังขึ้นข้างหลัง "เหยียนเสี่ยวหวู่ ทําไมเจ้าถึงก้าวร้าวขนาดนี้อีกแล้ว"
"คุณซ่ง..." เหยียนเสี่ยวหวู่ชายหนุ่มที่แข็งแรงกล่าว
ทันทีที่เขาได้ยินเสียงที่อ่อนโยนนี้เขาก็มีท่าทีสงบลงและหันกลับมานั่งลงทันที
จากนั้นผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของเสียงอ่อนโยนก็เดินเข้ามา
เธอมีรูปร่างสูง สง่างาม ค่อนข้างผอม สวมชุดเดรสสีน้ำเงินสีธรรมดา เสื้อคลุมสั้นสีเขียว เธอมัดผมเป็นทรงผมที่เรียบง่ายเผยให้เห็นหูและคอสีขาว ใบหน้าของเธอดูสวยเพราะทรงหน้าที่โค้งมนและผิวที่ขาวเหมือนหิมะ บวกกับดวงตาสีเข้มที่แวววาวอย่างน่าหลงใหล
โดยเธอมีสีหน้าเคร่งเครียดและใส่ชุดที่อายุมากกว่าอายุจริง แต่เมื่อมองแวบแรกเธอก็ยังดูเด็กมาก
อาจารย์งั้นหรือ.. ชูเหลียงพึมพําด้วยความประหลาดใจ
ผู้หญิงคนนี้ดูเด็กเกินไปที่จะเป็นครู
คุณซ่งเดินไปในห้องเรียนและหยุดที่หน้าที่นั่งของหลี่เยว่ เธอเขย่าเขาเบาๆ เพื่อปลุกเขา
พอหลี่เยว่ตื่นขึ้นมา คุณซ่งก็ค่อยๆ เดินไปหน้าชั้นเรียน
เธอเพียงพูดเบาๆ ว่า “เริ่มเรียนกันเถอะ”
เมื่อมองไปที่อาจารย์หญิงคนนี้ หลี่เยว่ก็ตื่นและนั่งเรียบร้อย
อาจารย์สูงอายุในชั้นเรียนที่แล้วเคยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปลุกนักเรียนด้วยเสียงที่แหบแห้ง แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเทียบกับเธอ... เสียงของคุณซ่งนุ่มนวล อ่อนโยนและผ่อนคลาย มันเกือบจะเหมือนกระซิบกระซาบ อย่างไรก็ตาม เสียงของเธอทําให้นักเรียนทุกคนทั้งชายและหญิงตื่นตัวมากขึ้นและไม่งีบหลับอีกต่อไป
"ได้ยินมาว่าวันนี้เรามีนักเรียนใหม่" คุณซ่งเริ่มพูด เธอมองชูเหลียงแล้วพูดต่อ "เช่นนั้นขอแนะนำตัว ข้าชื่อซ่งชิงอี้ สอนบทกวีและวรรณคดีที่นิกายภูเขาใต้แห่งนี้"
เขาจ้องมองดวงตาที่อ่อนโยนของซ่งชิงอี้อย่างตรงไปตรงมา และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ..
แม้ว่าซ่งชิงอี้จะอายุยังน้อย แต่เธอก็มีความสามารถอย่างลึกซึ้งในบทกวีและวรรณกรรม เธอถ่ายทอดความรู้วิธีที่น่าสนใจและน่าสนใจซึ่งแยกแนวคิดที่ซับซ้อนออกเป็นคําศัพท์ง่ายๆ
หลังเลิกคาบเรียนก็ถึงเวลาพักเที่ยง
ชูเหลียงได้พบกับหลินเป่ยระหว่างทางไปกินอาหารเที่ยง
"เป็นอย่างไรบ้าง" ชูเหลียงถาม
หลินเป่ยกล่าวอย่างตื่นเต้น “ข้าตรวจสอบทุกอย่างแล้ว อาจารย์ที่ชื่อซ่งชิงอี้เป็นคนเจียงหนาน เธอเป็นอาจารย์ใหม่ของสำนักภูเขาใต้แห่งนี้ เช่นเดียวกับเรา เพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอดูเหมือนจะอายุสิบแปดหรือสิบเก้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรา... และยังไม่ได้แต่งงานด้วย”
"...? "